หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 945 จะให้โอกาสครั้งสุดท้ายแก่เจ้า

บทที่ 945 จะให้โอกาสครั้งสุดท้ายแก่เจ้า

การจับเวลาการทดสอบเที่ยงตรงยิ่ง จังหวะที่เวทเคลื่อนย้ายเริ่มทำงานนั้น ทุกคนต่างใจเต้นระรัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเจ็ดคนที่ตัดสินใจลงมือ พวกเขาล้วนมีฝีมือการต่อสู้ไม่ธรรมดา ถึงแม้ว่าจะห่างชั้นกับแม่สาวกระพรวนและคนอื่นๆ อยู่บ้าง แต่ความห่างชั้นที่ว่านี้กลับไม่ได้สร้างความแตกต่างมากนัก

อันที่จริงแล้ว พวกเขาเองต้องฝืนซ่อนความสามารถมาตลอด ในบรรดาเจ็ดคนนี้ถึงกับมีบางคนเป็นผู้จ่ายเงินซื้อสิทธิ์ขึ้นเรือจากหวังเป่าเล่อด้วยซ้ำ ทว่าตอนนี้เห็นได้ชัดว่าต่อให้พวกเขาไม่ได้ซื้อ เพียงพึ่งพากำลังตนเองก็ยังสามารถข้ามทะเลกระดาษสีดำได้

ทว่าพวกเขากลับเลือกที่จะทนซ่อนไว้จนถึงยามนี้ การลงมือสายฟ้าแล่บเช่นนี้ย่อมทำให้ผู้คนตกตะลึง แถมฝีมือของพวกเขานั้นยังเกินที่คาดเดาไว้ด้วย อย่างไรก็ดี…ที่นี่กลับไม่ได้มีแค่พวกเขาที่ฉลาด เหล่าผู้ถือครองผลึกบางส่วนที่ถูกทั้งเจ็ดคนเล็งเป้าหมายนั้นต่างก็เป็นผู้มีความสามารถทั้งสิ้น แม้ความสามารถที่ว่านี้อาจไม่สูงส่งนัก แต่ก็มาพร้อมสัญชาตญาณการระวังภัยที่สูงมาก

ดังนั้นแล้วในพริบตาที่พวกเขาลงมือ หกคนที่ถูกเหล่าเจ็ดคนนี้เพ่งเล็งนั้นก็ระเบิดพลังปราณอย่างไม่ลังเล และโต้ตอบทันใด

หวังเป่าเล่อเองก็เป็นเช่นเดียวกัน แม้ฝ่ายตรงข้ามจะจับจังหวะได้ถูก เล็งช่วงเวลาหลังจากที่เขาต้องปลดผนึกหลายๆ ชิ้นและอยู่ในสภาวะอ่อนแรงที่สุด และเป็นจังหวะที่เขากำลังอยู่ในสภาวะอารมณ์แปรปรวนเพราะพลังของเวทเคลื่อนย้ายเหนี่ยวนำ ลงมือร่วมกับแม่สาวกระพรวนเสียเลย แผนการณ์นี้นับว่าสมบูรณ์แบบเสียจนกระทั่งหากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น หรือแม้แต่ชายหนุ่มผู้สง่างามคนนั้น เจอความเรื่องเข้าไปก็อาจพลาดท่าได้

ทว่าสำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว…มันไม่เหมือนกัน!

เพราะใดๆ แล้วจุดอ่อนของเขาก็เป็นของปลอม อีกอย่างพลังของเวทเคลื่อนย้ายก็แทบไม่มีผลอะไรต่อเขาเลย ทุกสิ่งล้วนอยู่ภายใต้ความควบคุมของเขาอยู่แล้ว ถึงแม่สาวกระพรวนจะแข็งแกร่ง แต่หวังเป่าเล่อก็คอยระวังไว้แต่แรก ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ…เขามีความมั่นใจ

ต่อให้คนอื่นๆ ไร้หนทางเข้าสู่การทดสอบรอบต่อไป แต่ตัวเขาต้องทำได้แน่นอน เพราะว่ากระดาษรูปมนุษย์อยู่ที่นี่ และกระดาษรูปมนุษย์นี้ก็ไม่ยินยอมให้เขาแพ้เสียด้วยสิ

ดังนั้น ในพริบตาที่คนผู้นั้นพุ่งตัวเข้ามาหา นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็พลันฉายจิตสังหารทันที

“บางทีอาจเป็นเพราะตั้งแต่มาถึงนี่ ข้าก็ไม่เคยฆ่าใคร พวกเจ้าเลยคิดว่าข้ารังแกง่ายสินะ?” หวังเป่าเล่อตะโกนลั่น พริบตานั้นวิชาดวงเนตรปีศาจด้านหลังตนก็ฉายภาพมายาขึ้น ภาพมายานี้ไม่ได้เล็งไปทางคนเบื้องหน้า ทว่าเล็งไปที่แม่สาวกระพรวนที่โผล่มาจากด้านหลังอีกฝ่าย เขาพลันเบิกดวงเนตรปีศาจกว้างทันที

เมื่อดวงเนตรปีศาจกะพริบ ขุมพลังพันธนาการก็สำแดงฤทธิ์ ต่อให้แม่สาวกระพรวนจะระวังไว้ก่อนแล้ว ร่างกายของนางก็ชะงักอยู่ดี และในจังหวะที่นางชะงักนั้น เกราะจักรพรรดิที่หวังเป่าเล่อสวมอยู่ก็พลันชยายร่างเขาให้เสมือนยอดเขา พลังอำนาจแผ่ซ่านออกมา จากนั้นเขาก็ใช้ร่างอัดกระแทกเข้าใส่หนึ่งในเจ็ดคนที่เล็งเขาเอาไว้คนนั้นโดยตรง!

ผู้ที่โจมตีเขาคนนี้หน้าตาธรรมดานัก อาจกล่าวได้ว่าอัปลักษณ์ทีเดียว เป็นพวกที่มักจะจมหายไปในฝูงชน ปกติสีหน้าของคนผู้นี้จะแข็งเหมือนไม้กระดาน น้อยมากที่เขาจะแสดงอารมณ์ ทว่าบัดนี้เขา…หน้าเปลี่ยนสีแล้ว

สาเหตุเพราะการโจมตีของหวังเป่าเล่อรุนแรงบ้าคลั่งประหนึ่งสัตว์อสูรยักษ์จากบรรพกาล ไม่เพียงแค่ความเร็วสูงล้ำ ยังลงมือได้อำมหิต ไม่เผยให้เห็นจุดอ่อนสักนิด ในจังหวะที่ร่างของหวังเป่าเล่อกระแทกกับตัวเขา ก็พลันเกิดเสียงระเบิดกังวาลในห้วงจิตและสภาวะอารมณ์ขึ้น

แม้จะอธิบายได้ยืดยาวเพียงนี้ แต่จริงๆ ทุกสิ่งนั้นเกิดขึ้นในเพียงชั่วพริบตาหนึ่งเท่านั้น ชายหนุ่มรายนั้นก็พลันร้องโหยหวน กระอักเลือดออกมาเต็มไปหมด สีหน้าของเขาซีดขาวหวังจะถอยหลัง แต่กลับช้าไปแล้ว เพราะหวังเป่าเล่อตัดสินใจรุก ร่างกายของหวังเป่าเล่อมีเสียงดังขึ้นพรึ่บหนึ่งก่อนจะกลายเป็นกลุ่มหมอก ไล่ตามคนคนนั้นไปติดๆ จากนั้นหวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้น เพ่งสมาธิไปยังปลายนิ้ว แล้วชี้ไปยังหว่างคิ้วของชายหนุ่มคนนั้น

เกิดเสียงก้องขึ้นคราหนึ่ง ร่างกายชายหนุ่มสะท้านรุนแรง ดวงตาเบิกโพล่ง ประกายตาหม่นหมองลงทันที ตัวเขาเหลือเพียงแต่แววตาไม่อยากจะเชื่อเท่านั้น หลังหวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้น กะโหลกศีรษะของคนชายคนนั้นก็ระเบิดในพริบตา ร่างกายของเขาแตกสลายกลายเป็นเถ้า…เหลือเพียงลูกไฟดวงหนึ่งที่มีขนาดประมาณเมล็ดพืชและรูปร่างคล้ายกระพรวน ร่างกายส่วนอื่นแตกสลายกลายเป็นฝุ่น อย่างไรก็ดี นี่กลับมิใช่วิญญาณของคนผู้นั้น มันเป็นเพียงปรสิตสิงร่างตัวหนึ่ง จังหวะนี้เองมันก็ลอยถอยไปหาแม่สาวกระพรวนที่อยู่ด้านหลัง!

“หือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตา มือขวางุ้มเป็นกรงเล็บ รีบคว้าลูกไฟกระพรวนเอาไว้ในมือแล้ว ใช้แรงบีบคราจนเกิดเสียงแตกดังแกร๊กขึ้น แล้วลูกไฟนั้นก็สลายไปในพริบตา

“เซี่ยต้าลู่!” หลังจากที่มันแตก แม่สาวกระพรวนก็ร้องคำรามด้วยความแค้น

“เขาเป็นลูกน้องของเจ้าสินะ?” หวังเป่าเล่อหันมามองแม่สาวกระพรวนด้วยสายตาเย็นเยียบ พลันเห็นจิตสังหารในแววตาอีกฝ่าย ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจะเอ่ยปาก แสงเรืองรองของผลึกมายาในมือก็พลันระเบิดออกครอบคลุมทุกสิ่ง

ไม่เพียงแต่แม่สาวกระพรวน สิ่งนี้เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ เช่นกัน ผลึกมายาในมือต่างก็สาดแสงอาบทั้งร่างของพวกเขา ในจังหวะเดียวกันนี้เอง แม้ผู้รับใช้ของแม่สาวกระพรวนจะพ่ายแพ้ให้หวังเป่าเล่อ แต่อีกหกคนที่เหลือ ก็ยังมีถึงสามคนที่ชิงเอาผลึกมาได้สำเร็จ

เหล่าผู้ฝึกตนทั้งสามคนที่ถูกชิงผลึกมายาไปได้แต่ร้องตะโกนแค้นใจ ทว่าพวกเขากลับทำอะไรไม่ได้มาก ได้แต่เบิกตามองร่างกายของเหล่าผู้ชิงผลึกทั้งหลายค่อยๆ ถูกแสงสว่างกลบมิดไป

และในเวลาเดียวกันนี้เอง สิ่งเดียวกันก็ย่อมเกิดกับหวังเป่าเล่อ แสงสว่างนั้นแผ่ออกมาจากอกของเขา ส่งผลให้ผลึกมายาลอยออกมา แต่ทันใดนั้น ผนึกซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรบนตัวมันก็ถูกดึงออกไป ทำให้แสงสว่างนั้นเริ่มแผ่คลุมร่างกายของเขาเช่นกัน

ฉากนี้ นอกจากจะทำให้หวังเป่าเล่อกะพริบตาแล้ว เขายังสังหรณ์ว่าตัวเขาลืมอะไรไปบางอย่างแน่ๆ

วินาทีนี้เอง หวังเป่าเล่อก็พบจุดบกพร่องของตน…เขาสัมผัสได้ทันทีว่าเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่ถูกแสงผลึกอาบร่างจากทุกทิศนั้น ล้วนแต่ค่อยๆ หันมามองทางเขา สีหน้าทุกคนฉายแววประหลาด

“ข้า…ข้า…” พริบตานั้นหวังเป่าเล่อปวดใจยิ่งนัก เพราะเขาเพิ่งจะคิดออกว่าตนเองปลดผนึกให้คนอื่นๆ หมดแล้ว แต่เหลือแค่ส่วนของเขาชิ้นนี้เท่านั้นที่สุดท้ายลืมปลด…นี่ก็โทษเขาไม่ได้ เป็นเพราะตอนแรกพี่ชายผู้สูงส่งท่านนั้นไม่ให้ความร่วมมือ ทำให้เขาต้องแยกสมาธิ แถมต่อมาแม่สาวกระพรวนและลูกน้องก็โจมตีเขาอีก จุดนี้ย่อมทำให้หวังเป่าเล่อเสียเวลาไปกว่าเดิม

และเป็นผลให้ตัวเขาลืมผลึกมายาของตนเองไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะเขารู้ดีอยู่แล้วว่าถึงไม่ปลดผนึกก็ไม่ส่งผลอะไรทั้งนั้น ดังนั้นตัวเองก็เลยไม่ได้ใส่ใจ

มาถึงตอนนี้ ถึงหวังเป่าเล่อคิดจะปกปิดก็พบว่าไม่ทันการณ์แล้ว หลังจากแสงส่องจ้า พลังของเวทเคลื่อนย้ายก็ไหลมารวมกัน ต่อมาในพริบตานั้น เงาร่างของพวกเขาทั้งสามสิบคนก็พร่าเลือนไป

เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้ หวังเป่าเล่อเองก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาปลอบใจตัวเอง

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร ข้าก็เคยบอกไว้แล้วนี่ ว่าไม่ปลดผนึกก็อาจจะผ่านเวทเคลื่อนย้ายได้…”

หลังปลอบใจตนเองเสร็จ ฟ้าดินก็หมุนคว้าง เงาร่างของพวกเขาทั้งสามสิบคนก็หายไป พวกเขาถูกพลังเวทเคลื่อนย้ายอันมโหฬารนั้นลากห่างจากดาวมายา

หลังจากนั้น เมื่อเวทเคลื่อนย้ายสิ้นสุดลง ทุกคนก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขานั้นช่างน่าตื่นตาตื่นใจนัก มันเป็นโลกในอีกดาวเคราะห์หนึ่งซึ่งแตกต่างจากดาวมายาอย่างสิ้นเชิง!

บนโลกใบนี้ มีสายน้ำยาวเหยียดสายหนึ่ง แม้จะมันคดเคี้ยวแต่ก็ยิ่งใหญ่ตระการตา ที่ลอยอยู่ในนั้นกลับไม่ใช่น้ำแต่เป็น…ลาวาเดือดพล่านที่ร้อนระอุ แผ่อุณหภูมิสูง ความร้อนทำให้โลกทัศน์บนโลกนี้ถึงกับบิดเบี้ยว พื้นที่ที่แม่น้ำนี้สายไหลผ่านนั้น ก็ดูประหนึ่งภูผายักษ์สิบลูกไม่ปาน!

ที่กล่าวว่าคล้ายกับภูผานั้น ก็เพราะองค์ประกอบของมันคือหิน แต่รูปลักษณ์ของสถานที่กลับไม่ค่อยปกตินัก ลักษณะของภูเขาแห่งนี้…คล้ายกับหม้อหลอมขนาดยักษ์

และบนยอดสูงสุดของหม้อหลอมทรงภูผาเหล่านี้ ก็สามารถเห็นเงาของไม้กลองแท่งหนึ่งที่ลอยไปมาอย่างอัศจรรย์ได้ เงานี้พร่าเลือน แม้มองเห็นได้แค่ลักษณะโดยรวม แต่แน่นอนว่า…มันกำลังค่อยๆ ประกอบร่างไม่ช้าองค์ประกอบเหล่านี้ก็ค่อยๆ กลายเป็นรูปลักษณ์ที่จับต้องได้!

“ไม้กลองน้อมดารา! ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาแคบ พร้อมพึมพำในใจ

และไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่มองไม้กลองนี้ออก แต่คนอื่นๆ ที่นี่ล้วนดวงตาสว่างวาบ อาศัยความรู้จากบันทึกของแต่ละตระกูลและสำนัก แม้พวกเขาจะพบว่าการทดสอบครั้งนี้ต่างจากรอบอื่นๆ อยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ยังคงได้รับสิ่งเดียวกัน นั่นคือไม้กลองน้อมดารา!

และในเวลานี้เอง เสียงประกาศก้องซึ่งจะมาก่อนการทดสอบทุกครั้งก็ดังขึ้นอีกรอบ

“นี่คือการทดสอบครั้งสุดท้ายที่พวกเจ้ารอคอย ในบรรดาสามสิบคน จะมีผู้ถูกคัดเลือกสิบคนที่ได้รับไม้กลอง สิบคนนี้…หลังจากได้พกผ่อนแล้ว พวกเจ้าจะเป็นผู้ตีกลองสวรรค์ ชักนำดารานับหมื่นหมื่นดวงมาบ่มเพาะโชควาสนา ในวันบูชาฟ้าของพวกเราชาวจักรวรรดิดาวตก”

“ตอนนี้…เริ่มได้! ”

น้ำเสียงนั้นดุจสายฟ้าฟาดสะท้อนไปรอบทิศ พอกล่าวจบ เสียงก็ยังดังก้องไปทั่วทำให้ทั้งบริเวณดาวดวงนี้กระเพื่อมไหว และพาให้ทุกคนหายใจติดขัด แน่นอนว่าพวกเขาบากบั่นมาตลอดเส้นทางนี้ ต่อสู้แย่งชิงมาจนถึงวันนี้ ก็เพื่อ…ให้ได้รับดวงดาราพิเศษ แลกการยกระดับร่างดาวเคราะห์!

และในตอนนี้เอง…ความสำเร็จก็อยู่แค่เอื้อมมือแล้ว ขอเพียงแย่งไม้กลองน้อมดารามาได้ ก็แปลว่าพวกเขาจะได้สิทธ์ในการบ่มเพาะโชควาสนาแล้ว ส่วนจะน้อมดาราได้สำเร็จหรือไม่ ก็ต้องดูความสามารถของแต่ละคนเอา!

กรรมวิธีที่ว่านี้ ทุกตระกูลและสำนักล้วนมี ในจังหวะน้อมดาราสั้นๆ ที่สำคัญยิ่งยวดนี้ย่อมช่วยให้พวกเขาสามารถยกระดับฝึกปรือได้มากมายนัก

ทว่าในตอนที่ทุกคนกำลังจะแยกย้ายไปตามภูผาทั้งสิบลูก แม่สาวกระพรวนก็พลันหันหน้ามาจ้องหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเย็นเยียบ พลางขยับริมฝีปากแล้วส่งกระแสจิตมา

“ข้าจะให้โอกาสสุดท้ายแก่เจ้า จงมาเป็นทาสศึกของข้าเสีย ข้ารับประกันว่าชีวิตเจ้าจะรุ่งโรจน์! ”

……………………………………

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท