“ที่คฤหาสน์ผู้พิทักษ์มีกองกำลังลับอยู่ เพื่อหาวิธีที่จะได้กองกำลังนั้นมาไว้ในมือ ท่านพ่อของเจ้ากับข้าถึงได้พยายามทำให้แม่ของเฮ่อเหลียนเวยเวยยอมเปิดปากพูด แต่นังแพศยานั่นกลับปากแข็งอย่างกับก้อนหิน นางไม่ยอมเปิดเผยอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งเดียวที่พวกข้ามั่นใจคือนางได้รับสืบทอดกองกำลังลับนั้นมาแล้ว และกำลังพยายามบีบให้ท่านพ่อของเจ้าลงจากตำแหน่ง แต่ในเวลานั้น นางได้รับบาดเจ็บและตัวติดอยู่กับนังเด็กเหลือขอที่ชื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยนั่น ดังนั้นนางจึงไม่สามารถติดต่อกับพวกเขาได้ ท่านพ่อของเจ้ากับข้าเดาว่ากองกำลังลับนั่นจะปรากฏตัวขึ้นโดยมีเงื่อนไขพิเศษบางประการ หลังจากเค้นถามไปเสียตั้งมากมาย ในที่สุดพวกข้าก็เข้าใจว่าการจะสืบทอดตระกูลเฮ่อเหลียนอย่างแท้จริงนั้น ประการแรกเจ้าจะต้องมีพลังปราณเป็นเลิศ และสอง กองกำลังลับจะต้องยอมรับเจ้าด้วยตัวเอง แต่สิ่งเดียวที่กองกำลังลับจดจำได้ก็คือตราทัพของตนเท่านั้น เมื่อเจ้าได้กองกำลังลับมาเป็นของตน ตระกูลเฮ่อเหลียนจึงจะเป็นของเจ้าอย่างแท้จริง แม้แต่ราชวงศ์ก็จะต้องเกรงกลัวเจ้า เพราะทุกคนภายในกองกำลังนั้นล้วนแต่มีฝีมือล้ำเลิศ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีจำนวนมากเท่ากับยอดฝีมือในกองกำลังจ้านหลง แต่พวกเขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการเดินทัพและการลอบสังหาร พวกเขาเป็นทหารรับจ้างที่ทรงอำนาจมากที่สุดในใต้หล้า และไม่มีผู้ใดสามารถกำราบพวกเขาได้ แต่หลังจากตาแก่เฮ่อเหลียนตาย ก็ไม่มีใครรู้ว่าตราทัพนั่นหายไปอยู่ที่ใด”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์รีบถามขัดจังหวะซูเหยียนโม่ขึ้นมาว่า ”แล้วแม่ของเฮ่อเหลียนเวยเวยล่ะเจ้าคะ นางต้องรู้แน่ว่าตราทัพนั่นอยู่ที่ไหน”
“แน่ล่ะว่านางต้องรู้อยู่แล้ว แต่นางปฏิเสธที่จะบอก จนกระทั่งนางตาย” เมื่อซูเหยียนโม่นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา นางก็กัดฟันกรอดด้วยความเกลียดชัง ”แต่มันก็ไม่สลักสำคัญอะไรอีกแล้ว เวลาสิบปีกำลังจะสิ้นสุดลง หากตราทัพนั้นยังไม่ปรากฏขึ้นมาภายในสามเดือน เมื่อถึงตอนนั้น กองกำลังลับนั่นก็จะยอมรับท่านพ่อของเจ้าเป็นเจ้านายโดยอัตโนมัติ นี่เป็นกฎของตระกูลเฮ่อเหลียน”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แล้วเอ่ยว่า ”ต่อให้นังคนเหลือขอนั่นจะทำอย่างไร นางก็จะไม่ได้อะไรไปสักอย่างเดียว อย่างมากที่สุดนางก็ได้เพียงแค่ชื่อเสียง แต่นางจะไม่มีทางได้คฤหาสน์ผู้พิทักษ์ไป!”
“แน่นอน แม้แต่ราชวงศ์ก็ไม่สามารถเข้ามาก้าวก่ายกับเรื่องภายในตระกูลได้ ชื่อเสียงของนางก็เป็นเพียงแค่ของประดับเท่านั้น” ซูเหยียนโม่เอ่ยอย่างชั่วร้าย พร้อมกับลูบเส้นผมของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ ”ท่านพ่อของเจ้ากับข้าเหน็ดเหนื่อยกับการตามหาตราทัพนั้นมาหลายปี แต่ในเมื่อมีความเป็นไปได้ว่ากองกำลังลับนั้นจะปรากฏตัวขึ้นหลังจากนี้ไปหนึ่งเดือน ดังนั้นห้องนั้นก็คงหมดประโยชน์แล้วกระมัง องครักษ์ เผาห้องร้างที่อยู่ตรงเรือนตะวันออกซะ! อย่าเหลือเอาไว้ให้เป็นเสี้ยนตำตาข้า!”
“ขอรับ!” บรรดาองครักษ์รับคำสั่งก่อนจะถอยออกไป
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์คลี่ยิ้ม ”แต่ท่านแม่เจ้าคะ ในวันแต่งงานของนาง เฮ่อเหลียนเวยเวยดูไม่มีอาการผิดปกติไปเลยนี่เจ้าคะ เป็นไปได้หรือไม่ว่าร่างของนางไม่ได้ถูกวิญญาณอีกดวงควบคุมเอาไว้ แต่จู่ๆ นางก็แค่ฉลาดขึ้นมาเอง”
“ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น” ซูเหยียนโม่หรี่ตาลงแล้วกล่าวว่า ”ในเวลานั้นกิเลนอัคคีปรากฏตัวขึ้นที่รถม้าขององค์ชายสาม และขัดขวางการสวดมนต์ของบรรดาพระภิกษุ ในเมื่อกิเลนอัคคีเป็นสัตว์เดรัจฉาน จึงทำให้บทสวดนั้นใช้การไม่ได้ไปโดยปริยาย ข้าเคยคิดที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ต่อ แต่ดูเหมือนว่าวิธีการนั้นของพระภิกษุจะทำให้องค์ชายสามไม่พอพระทัยเข้า ดังนั้นจึงยังไม่สะดวกที่จะลงมือในเวลานี้”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เม้มริมฝีปาก แล้วตอบว่า ”เรื่องนั้นเป็นเพราะองค์ชายไม่รู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยถูกวิญญาณอีกดวงควบคุมร่างกายเอาไว้ หากเขารู้เรื่องนี้เข้า องค์ชายจะต้องตั้งแง่กับนางแน่นอน”
“เจ้าวางใจเถอะ ทันทีที่สาวใช้คนนั้นปรากฏตัวขึ้น เฮ่อเหลียนเวยเวยจะต้องกลายเป็นขยะที่ไม่มีใครต้องการอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น แม่จะทำให้นางได้ลิ้มรสความอับอายอย่างหนักแน่!”
ซูเหยียนโม่กล่าวปลอบเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ต่ออีกสองสามประโยค ตอนที่นางก้าวเท้าออกมาจากห้อง นางก็เห็นเฮ่อเหลียนเหมยนกำลังจ้องหน้านางอยู่ ดวงตาของนางดูเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง แต่ในวินาทีต่อมามันก็ดูราวกับว่าไม่มีสิ่งใดอยู่ในนั้น นางกระซิบว่า ”ท่านแม่เจ้าคะ ข้าเองก็เป็นลูกสาวของท่าน ทำไมข้าถึงต้องแต่งงานในขณะที่พี่รองไม่ต้องแต่งล่ะเจ้าคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฮูหยินซูก็รู้สึกมีน้ำโหขึ้นมา นางแผดเสียงว่า ”เจ้ากล้าพูดเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร! เรื่องมันก็คงไม่ใหญ่โตถึงเพียงนี้หรอกหากเจ้าไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับฮว๋ายหนานเข้า เจ้าทำให้พี่สาวของเจ้าต้องทุกข์ไปกับเจ้าด้วย ข้าทุ่มเทความพยายามไปอย่างมาก และใช้เส้นสายมากมายเพื่อล้มเลิกการแต่งงานในครั้งนี้ มิหนำซ้ำท่านตาของเจ้าก็ยังต้องมาพลอยเสียหน้าเพราะเจ้าไปด้วย!”
เฮ่อเหลียนเหมยกำมือ แล้วเอ่ยว่า ”ท่านแม่ นางปล่อยให้ข้าดื่มน้ำชาทั้งที่นางรู้อยู่แล้วว่ามันมียาพิษ ตอนนี้ข้าสูญเสียพลังปราณไปจนหมดสิ้น ทุกอย่างมันเป็นเพราะนาง! เป็นเพราะนาง! ท่านหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่า ’ข้าทำให้นางต้องมาทุกข์ไปกับข้าด้วย’ นางชั่วร้ายยิ่งกว่าข้าหลายขุม นางกล้าทำแม้กระทั่งฆ่าพี่น้องร่วมสายเลือดของตัวเองเลยด้วยซ้ำ!”
“หยุดพูดเรื่องนี้เสียที” ฮูหยินซูถอนหายใจ แล้วเอ่ยว่า ”ฟังแม่ แม่จะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องทุกข์ทรมานแน่ แม้ว่าเจ้าจะแต่งงานไปแล้วก็ตาม”
เฮ่อเหลียนเหมยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ฮูหยินซูออกคำสั่งกับข้ารับใช้ที่อยู่ข้างๆ ”รีบพาคุณหนูสามกลับไปที่ห้องได้แล้ว พรุ่งนี้เป็นวันแต่งงานของนาง หากเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นตอนนี้คงดูไม่ดีนัก!”
วันแต่งงานหรือ เฮ่อเหลียนเหมยมองดูแผ่นหลังของฮูหยินซูด้วยความขุ่นเคือง นางไม่อยากเชื่อเลยว่าท่านแม่ของนางจะไม่สนใจนางจริงๆ และยังลำเอียงได้ชัดเจนถึงเพียงนี้
แต่งงานกับขันที นางแทบจะทำนายอนาคตได้เลยว่าชีวิตของนางจะทุกข์ตรมเพียงใด
นอกจากนั้น ท่านพ่อของนางก็ให้ค่าเพียงแค่บุตรสาวที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับเขาได้
ตอนนี้นางกลายเป็นตัวตลกของคนทั่วทั้งเมืองหลวงไปแล้ว
หลังจากแต่งงานแล้ว พวกเขาก็จะทอดทิ้งนางเหมือนกับหมากไร้ค่าตัวหนึ่ง
ในเมื่อตอนนี้ข้าก็ใช้ชีวิตอยู่ในนรกแล้ว ข้าก็จะดึงเอาพวกเจ้าทุกคนไปกับข้าด้วย!
เฮ่อเหลียนเหมยก้มศีรษะลง แล้วยิ้มอย่างโศกเศร้า หลังจากนั้นนางก็เรียกให้สาวใช้คนสนิทเข้ามา แล้วกระซิบข้างหูนางว่า ”เอาไปส่งที่วังหลวง…”
…
พระอาทิตย์ตกดินแล้ว ยามค่ำคืนกำลังคืบคลานเข้ามา
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลงขณะอ่านจดหมายที่ทหารรับจ้างนำมามอบให้นาง
หยวนหมิงยิ้มอย่างชั่วร้ายเมื่อเขาเห็นข้อความที่อยู่บนนั้น ”นี่ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าน้องคนที่สามของเจ้าจะส่งข่าวมาหรือ นางเคยอยากฆ่าเจ้าไปเสียทุกครั้งที่เห็นเจ้าเลยมิใช่หรือ”
“เพราะระหว่างการประลองยุทธ์ ความเกลียดชังที่นางมีต่อเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์นั้นรุนแรงเหนือความเกลียดชังที่นางมีต่อข้าอย่างไรล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แล้วยกกระดาษในมือขึ้นส่องกับแสงเทียน ”ศัตรูของศัตรูคือมิตร หลักการนี้ย่อมสามารถใช้ได้กับทุกที่ ยิ่งกว่านั้น ซูเหยียนโม่กับเฮ่อเหลียนกวงเย่าก็ปฏิบัติต่อเฮ่อเหลียนเหมยและเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์แตกต่างกันเป็นอย่างมาก ดังนั้น ย่อมมีความเป็นไปได้อยู่แล้วที่เฮ่อเหลียนเหมยจะระเบิดโทสะออกมาภายในครั้งเดียวหลังจากอัดอั้นมาตลอดหลายปี หยวนเสี่ยวหมิง อย่าได้ประเมินความชั่วร้ายของผู้หญิงผิดไปเชียวล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หยวนหมิงยิ้ม แล้วถามว่า ”เหมือนกับเจ้าน่ะหรือ”
“เหมือนกับข้าน่ะสิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบพร้อมกับค่อยๆ ปัดฝุ่นที่แขนเสื้อของตนออกอย่างไม่ทุกข์ร้อน นางไม่เคยเป็นคนใจดีมีเมตตาอยู่แล้ว
กองกำลังลับหรือ ชื่อนี้ฟังดูคุ้นหูทีเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยนิ่วหน้าเมื่อความเจ็บปวดอันรุนแรงแล่นขึ้นมาที่ขมับของนาง นางเผลอยกมือขึ้นมากุมหน้าผากเอาไว้
“แม่นาง เจ้าเป็นอะไรไป ทำไมเจ้าถึงหายใจหอบเช่นนั้นล่ะ” หยวนหมิงถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยซีดเผือด นางโบกมือแล้วตอบว่า ”อาจเป็นเพราะต้องลมหนาว ข้าแค่ต้องพักสักหน่อย เจ้าจับตาดูแทนข้า แล้วปลุกข้าขึ้นมาด้วยล่ะหากองค์ชายสามกลับมา”
“ได้” เมื่อเห็นนางในสภาพนี้ หยวนหมิงก็ค่อยๆ หลับตาลง นี่เป็นภาพลวงตาของเขาเองหรือ ในเสี้ยววินาทีนั้น ทำไมเขาถึงรู้สึกราวกับว่ามีวิญญาณอีกดวงซ่อนอยู่ในร่างของนาง…