บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัด
ทุกคนไม่ใช่พูดด้วยความรู้สึกก็พูดด้วยเหตุผล ไม่พูดถึงเรื่องเกียรติยศก็พูดเรื่องเจตนา แต่คำพูดแรกขององค์ชายสามกลับเป็นเรื่องของผลประโยชน์
โจวเสวียนหัวเราะเสียงเย็น
“ข้าไม่ได้สนใจอำนาจทางการทหารมากเพียงนั้น” เขาพูด “อำนาจทางการทหารสำหรับข้าเป็นเพียงเครื่องมือในการแก้แค้นให้ท่านพ่อ”
พูดถึงตรงนี้ เขามองไปยังองค์ชายสาม ถามด้วยรอยยิ้ม
“เวลานี้ถึงแม้ข้าจะไม่มีอำนาจทางการทหาร เรื่องของเหล่าท่านโหวก็ยังคงอยู่ในการควบคุมใช่หรือไม่”
องค์ชายสามมองเขาพลางพยักหน้า “ยังคงอยู่ในการควบคุมแล้ว”
โจวเสวียนยิ้ม “ดังนั้นยังมีสิ่งใดน่ากังวล ข้ายังมีความจำเป็นใดต้องเป็นราชบุตรเขย”
หมายความว่า ไม่มีความจำเป็นต้องเกาะเกี่ยวราชวงศ์แล้วหรือ
องค์ชายสามไม่โกรธที่ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เขายิ้ม “เจ้าคิดดีแล้ว รู้ว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดก็ดี”
โจวเสวียนพูดอย่างเกียจคร้าน “ท่านทรงทำเรื่องของตนเองให้ดีก็พอ เวลานี้ท่านถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปมาหาสู่กับคนบางคน อย่าทำให้เรื่องสำคัญของท่านต้องเดือดร้อน”
องค์ชายสามรู้ว่าโจวเสวียนพูดถึงสิ่งใด แต่เขาไม่ได้พยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้มทันทีเหมือนก่อนหน้านี้ เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังครุ่นคิดตัดสินใจ…
“เรื่องของข้า เจ้าไม่ต้องกังวล ข้ามีขอบเขตของตนเอง” เขาพูดด้วยรอยยิ้มในที่สุด “เจ้ารักษาตัวให้ดี ในเมื่อไม่ต้องการเป็นราชบุตรเขย ดื่มด่ำกับความมั่งคั่งร่ำรวย เจ้ายังคงต้องอาศัยร่างกายนี้ในการต่อสู้เพื่ออนาคต”
โจวเสวียนหันหน้าเข้าด้านใน “ใช่ ขอโปรดเหล่าองค์ชายอย่ามารบกวนข้าอีก ให้ข้ารักษาร่างกายให้ดี”
องค์ชายสามตอบรับ ลุกขึ้นขอตัวจากไป องค์ชายสองรออยู่ด้านนอก ปลื้มใจอย่างมากที่ไม่ได้ยินเสียงด่าทอ…องค์ชายสามอ่อนโยนราวกับหยก คงไม่ตีหรือตำหนิคนอื่น
ในขณะที่องค์ชายสองกำลังจะเอ่ยชื่นชมเขา องค์ชายสามก็พูดขึ้นก่อน “พี่สอง คนอื่นอย่าให้พวกเขาพบอาเสวียนอีก ข้าตำหนิเขาแล้ว เรื่องนี้ไม่ควรเกินสามครั้ง หากมีคนมากระทำเช่นนี้อีก จะได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม”
สีหน้าขององค์ชายสองผงะเล็กน้อย ให้เขาห้ามพี่น้องคนอื่นมา? เขาจะไม่ถูกพี่น้องคนอื่นตำหนิหรือ เขาถือตนเป็นองค์รัชทายาทคนที่สองในบรรดาพี่น้อง เข้มงวดกว่าความอ่อนโยนขององค์รัชทายาทเล็กน้อย แต่ก็อ่อนโยนกว่าความเข้มงวดขององค์รัชทายาทเล็กน้อย
องค์ชายสามเห็นสีหน้าของเขา ยิ้มพลางเอ่ย “นิสัยของอาเสวียนเป็นอย่างไร ท่านกับข้าต่างรู้ดี เขากล้าปะทะกับเสด็จพ่อเช่นนี้ ยิ่งไม่เกรงกลัวพี่น้องของพวกเรา เมื่อถึงเวลาหากเขาโมโหขึ้นมา เกิดเหตุไม่ดีขึ้น พี่สอง พวกเราพี่น้อง ยกเว้นองค์รัชทายาท คนอื่นมีฐานะอย่างไรในหัวใจของเสด็จพ่อ ท่านกับข้าต่างรู้ดี”
เขากระแอมไอสองที ตบไหล่ขององค์ชายสองเบาๆ
“เสด็จพ่อเฆี่ยนเขาห้าสิบครั้ง ย่อมสามารถเฆี่ยนพวกเราหนึ่งร้อยครั้ง พี่สอง ท่านลองคิดดู”
หลังจากพูดจบ เขาก็เอาแขนเสื้อปิดปากไอแล้วเดินออกไป ทิ้งองค์ชายสองยืนอยู่ด้านนอกประตูด้วยสีหน้าหลากหลาย
แต่ไม่เหลือเวลาให้เขาครุ่นคิดมากมายนัก ในไม่ช้าก็มีขันทีวิ่งมาทูลว่าองค์ชายสี่และองค์ชายห้าเสด็จมา องค์ชายสองกัดฟัน “รั้งพวกเขาไว้ อย่าให้เข้ามา”
ในเมื่อองค์รัชทายาทให้เขามาดูแล ทุกคนย่อมต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขา ดังนั้นจึงกีดขวางองค์ชายสี่และองค์ชายห้าไว้ด้านนอกประตู
องค์ชายห้าไม่เชื่อ องค์ชายสองกล้ารั้งเขาหรือ?
“อาจเป็นเพราะกังวลว่าพวกเราจะมาก่อเรื่อง” องค์ชายสี่คิดได้อย่างฉลาด อธิบายกับคนเฝ้าประตู “ไปทูลพี่สอง พวกเรามาเยี่ยม นำยารักษาที่ดีที่สุดมาด้วย”
องค์ชายสองเป็นคนหูเบา เข้าไปก่อนค่อยว่ากัน
แต่ไม่คิดว่าองค์ชายสองไม่ฟังผู้ใดทั้งสิ้น เพียงแค่ให้พวกเขากลับไป
“ไม่ว่ามาเยี่ยมหรือมาตำหนิ ล้วนไม่อนุญาตให้เข้ามา เสด็จพ่อลงโทษโจวเสวียนแล้ว เวลานี้เขาต้องการพักผ่อน ข้าในฐานะพี่สองของพวกเจ้า ดูแลและสั่งสอนเขาแทนพวกเจ้าก็เพียงพอแล้ว”
องค์ชายห้าโกรธจนกระทืบเท้า ทั้งตกตะลึง เสียสติไปแล้ว องค์ชายสองนี้ไม่เคยมีตัวตนอยู่ อีกทั้งไม่มีความสำคัญในสายตาคนอื่น เขาเอาใจเหล่าพี่น้องทั้งหมดเสมอมา ทุกคนต่างชื่นชมเขาว่าเป็นพี่ที่ดี เหมือนกับพระสนมเสียนเสด็จแม่ของเขา แต่เวลานี้เกิดอันใดขึ้น บ้าคลั่งไปแล้วหรือ หรือคิดว่าครั้งนี้เป็นโอกาสที่จะทำให้ฮ่องเต้เห็นหน้า
สีหน้าขององค์ชายห้าดำทะมึน มีองค์ชายสามเป็นตัวอย่าง องค์ชายสองก็อยู่อย่างสงบไม่ได้แล้ว
“มีพี่ใหญ่อยู่ ท่านไม่มีหน้าที่สั่งสอนพวกเรา” เขากัดฟันพูด คิดจะบุกเข้าไป
องค์ชายสี่รั้งเขาเอาไว้ “ไม่ได้ น้องห้า พี่ใหญ่เป็นคนให้เขามาดูแลโจวเสวียน พวกเราทำเช่นนี้ จะทำให้พี่ใหญ่ลำบากใจ”
ก็จริง หากพวกเขาพี่น้องทะเลาะกัน คนที่ลำบากใจจะเป็นองค์รัชทายาท ได้ ฉู่เล่อหยง ดูถูกข้าเกินไปแล้ว องค์ชายห้าสะบัดแขนเสื้ออย่างขุ่นเคือง “พวกเรากลับ!”
คอยดูเถิด!
…
ตอนที่จวนโหวของโจวเสวียนเกิดเรื่อง ฮ่องเต้ได้รับข่าวอย่างรวดเร็ว รู้ว่าองค์หญิงจินเหยา องค์ชายสามเสด็จไป รู้ว่าองค์ชายสี่ องค์ชายห้าถูกองค์ชายสองกีดกันไว้นอกประตู เมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาหัวเราะออกมา
“คนอย่างเล่อหยงกล้าทำเช่นนี้” เขาพูด มองขันทีจิ้นจงที่ยืนอยู่ตรงหน้า “เจ้านำอาหารค่ำไปให้เขาแทนข้า”
เขาเห็นด้วยกับการกระทำขององค์ชายสอง ขันทีจิ้นจงรีบตอบรับ ฮ่องเต้มองไปอีกทาง ทางนี้มีชายหนุ่มสูงผอมคนหนึ่งยืนอยู่ แม้ว่าอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ หลังของเขายังคงคาดไปด้วยดาบยาวสองด้าม สวมชุดดำ ไร้สิ้นไร้เสียง ราวกับหลอมรวมตัวเข้ากับม่าน
“มั่วหลิน” ฮ่องเต้ถาม “ซิวหยงพูดสิ่งใดกับอาเสวียน”
มั่วหลินทูล “องค์ชายสามเกลี้ยกล่อมโจวเสวียนว่าอย่าคิดมาก ฝ่าบาทไม่ได้ต้องการยึดอำนาจทางการทหารของเขา”
เมื่อสิ้นคำพูด ขันทีจิ้นจงรีบก้มหน้าต่ำลง ทำตัวไร้ร่องรอย
ฮ่องเต้ถือแก้วชา สีหน้าเรียบเฉย ถามอีกครั้ง “เขาตอบอย่างไร”
มั่วหลินทูล “โจวเสวียนบอกว่าเขาไม่เกรงกลัวว่าฝ่าบาทไม่ให้ความสำคัญกับเขา ดังนั้นจึงไม่ต้องการเกาะเกี่ยวราชวงศ์”
ฮ่องเต้ยิ้ม “เขาไม่เกรงกลัว ดังนั้นจึงไม่ต้องการ ในสายตาของเขาเป็นเพียงการแลกเปลี่ยน” พูดจบ รอยยิ้มสลายไปพร้อมกับเสียง
มั่วหลินหลบซ่อนเข้าไปด้านหลังม่าน
ฮ่องเต้พึมพำ “ที่แท้ในใจของเขาคิดเช่นนี้ ก็ดี จินเหยาย่อมไม่ต้องเคียงคู่ทนทุกข์ทรมานกับเขาทั้งชีวิต เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าต้องขอบคุณเขา”
ขันทีจิ้นจงเดินขึ้นหน้าพูดเสียงเบา “ฝ่าบาท เด็กคนนั้นยังคงพูดด้วยความโกรธ พระองค์อย่าใส่ใจ”
ฮ่องเต้ดื่มชาจนหมด สีหน้าเรียบเฉยและเศร้าสลด “เด็กเติบโตแล้ว เติบโตขึ้นแล้ว ความคิดจึงมากขึ้น”
จิ้นจงเงียบไม่พูดสิ่งใดอีก เขารินชาให้ฮ่องเต้เงียบๆ
ฮ่องเต้ไม่ดื่มอีกต่อไป เขาเอนกายลงอีกครั้ง หลับตาเพื่อพักผ่อน ขันทีจิ้นจงห่มผ้าห่มผืนบางให้ฮ่องเต้ ก้มหัวถอยออกไป
องค์ชายสองที่ได้รับพระราชทานอาหารมื้อค่ำคลายความวิตกกังวลลงอย่างสิ้นเชิง เขาปกป้องจวนโหวอย่างแน่นหนาด้วยจิตใจกระปรี้กระเปร่า ขุนนางคนอื่นล้วนไม่อาจเข้ามาเยี่ยมเยือนได้
อีกทั้งข้างตัวโจวเสวียนนอกจากขันทีและหมอหลวงแล้ว คนอื่นล้วนไม่อาจเข้าใกล้มากได้ เพื่อไม่ให้รบกวนการรักษาตัวของเขา
ภายในห้องของโจวเสวียนเงียบสงัด
“แต่ข้างนอกคึกคักอย่างมาก” ชิงเฟิงกล่าวกับโจวเสวียน “ทั้งเมืองหลวงต่างรู้ว่าคุณชายถูกลงโทษอย่างหนัก อีกทั้งยังมีบางคนบอกว่าท่านถูกเฆี่ยนจนเกือบตาย…ข้าเดาว่าองค์ชายห้าเป็นคนแพร่ข่าวลือ”
โจวเสวียนนอนอยู่บนเตียงสามวัน หลังจากนั้น ถึงแม้บาดแผลจะดูน่ากลัว แต่เขาก็สามารถขยับร่างกายบนเตียงได้แล้ว เวลานี้เขาหลับตาฟังชิงเฟิงพูด ราวกับนอนหลับและไม่ใส่ใจ แต่เวลานี้เขาลืมตาขึ้น
“คนทั้งเมืองรู้แล้ว?” เขาขมวดคิ้วถาม “เฉินตันจูเล่า?”
ชิงเฟิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “คงจะรู้เหมือนกัน องครักษ์ข้างตัวของคุณหนูตันจูที่ชื่อจู๋หลิน หูตาว่องไวยิ่งนัก คอยสืบข่าวไปทั่ว…”
โจวเสวียนขัดจังหวะเขา “เหตุใดนางจึงไม่มาเยี่ยมข้า”