ตอนที่ 301 เจอเสี่ยวหม่านโดยบังเอิญ
ทันใดนั้นแม่เสี่ยวหงก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที
ไม่มีใครแถวนี้ที่ไม่รู้จักนักเลงหัวไม้อย่างเฮ่อเชิ่ง ถ้าแม้แต่เขายังเคยถูกหลินม่ายจัดการ แล้วหล่อนจะเอาความกล้าจากที่ไหนไปยั่วยุอารมณ์อีกฝ่าย
พอเห็นว่าหลินม่ายเดินเข้าไปในร้านเซาเข่าเหรินเจียนเยียนหั่ว แม่เสี่ยวหงก็วิ่งข้ามถนนไปยังอาคารฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว เดินอาด ๆ เข้าไปในร้านอาหารของเฮ่อเชิ่ง
หลินม่ายไม่ใช่ญาติเขา แถมยังเป็นหญิงสาวท่าทางอ่อนแอที่เป็นหม้ายลูกติด
แม่เสี่ยวหงไม่เชื่อว่าคนอย่างเธอจะมีความสามารถถึงขนาดที่สามารถจัดการกับเฮ่อเชิ่งได้
ดังนั้นหล่อนจึงต้องการคำยืนยัน ถ้ามันเป็นเรื่องจริงอย่างที่อีกฝ่ายขู่ หล่อนจะยอมจ่ายเงินค่าต่อเติมผนังสาธารณะอีกครึ่งหนึ่งให้หลินม่ายด้วยตัวเอง
ตรงกันข้าม ถ้าหลินม่ายแค่ข่มขู่ให้หล่อนตกใจด้วยเรื่องเกินจริง หล่อนจะยุยงให้เฮ่อเชิ่งไปก่อกวนหลินม่าย
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายในการต่อเติมผนังสาธารณะ อย่าหวังเลยว่าจะได้!
เมื่อเห็นลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน พนักงานของเฮ่อเชิ่งก็รีบก้าวเข้าไปต้อนรับหล่อน ถามแม่เสี่ยวหงด้วยความกระตือรือร้น “พี่สาว เชิญนั่งก่อนค่ะ วันนี้สั่งอะไรดีคะ?”
แม่เสี่ยงหงโบกมือ “ฉันไม่ได้แวะมาอุดหนุนหรอก แต่แวะมาหาเจ้านายของพวกคุณต่างหาก”
“คุณเป็นใคร ต้องการอะไรจากผม?” เฮ่อเชิ่งเดินลงบันไดมาพอดีด้วยท่าทางเกียจคร้าน
แม่เสี่ยวหงพูดยิ้ม ๆ “ฉันอาศัยอยู่ที่ตึกแถวฝั่งตรงข้าม เพื่อนบ้านแถวนี้เรียกฉันว่าแม่เสี่ยวหง มาที่นี่เพราะอยากถามอะไรจากคุณสักหน่อย”
เฮ่อเชิ่งนั่งลงที่โต๊ะ ใช่หางตาเหล่มองแม่เสี่ยวหง “คุณอยากรู้อะไรล่ะ?”
แม่เสี่ยวหงเอาแต่ถูมือไปมา พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
หล่อนควรถามออกไปตรง ๆ ว่าเขาเคยถูกหลินม่ายจัดการจริงไหม?
แต่คนที่เป็นนักเลงหัวไม้อย่างเฮ่อเชิ่งจะยอมเสียหน้าเมื่อได้ยินเรื่องแบบนี้เหรอ?
เกิดหล่อนเผลอไปสะกิดรอยแผล จนทำให้เขาโกรธเพราะรู้สึกอับอายขายหน้า เขาจะยอมให้หล่อนกินไม่หมดแต่แอบห่อกลับง่าย ๆ(1)หรือเปล่า?
หรือหล่อนควรถามแบบอ้อมค้อม ตีขลุมไปเรื่อยๆ จึงจะดี?
แม่เสี่ยวหงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เพื่อนบ้านของฉันชื่อหลินม่าย หล่อนคุยโม้ว่าตัวเองเคยจัดการกับคุณมาแล้วครั้งหนึ่ง ฉันก็เลยอยากได้คำยืนยันจากคุณโดยตรงว่าเป็นเรื่องจริงไหม ถ้าไม่ ฉันกลับไปเมื่อไหร่จะได้เปิดโปงหล่อนซะ”
ใบหน้าเฮ่อเชิ่งดำมืดลงทันใด แค่นเสียงตะคอกออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม “ม่ายจื่อจะเคยจัดการกับฉันจริงไหม ถึงยังไงก็ไม่ใช่เรื่องของเธอ! ถ้าเธอกล้าสร้างปัญหาให้กับม่ายจื่อ คอยดูเถอะว่าฉันจะจัดการกับเธอยังไง!”
ใบหน้าแม่เสี่ยวหงเปลี่ยนเป็นซีดเผือดด้วยความตกใจ พูดจาตะกุกตะกัก “ฉัน… ฉันไม่กล้าหรอกค่ะ” จากนั้นก็วิ่งหนีไปด้วยความกลัวจนปัสสาวะแทบราด
ทันทีที่กลับถึงบ้าน หล่อนก็รีบควานหาเงินออกมาเพื่อที่จะจ่ายให้หลินม่าย
ไม่สำคัญแล้วว่าหลินม่ายจะเคยจัดการเฮ่อเชิ่งจริงไหม หรือเฮ่อเชิ่งจงใจปิดบังหล่อนกันแน่ แต่หล่อนไม่กล้ายั่วยุหลินม่ายอีกต่อไป
ทันทีที่แม่เสี่ยวหงก้าวขาเข้าไปในร้านเหรินเจียนเยียนหั่ว ก็เห็นว่าเฮ่อเชิ่งกำลังพูดคุยอยู่กับหลินม่าย
ทันทีที่หันไปเห็นแม่เสี่ยวหง สายตาเฮ่อเชิ่งก็เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวทันที ก่อนจะหันไปพูดกับหลินม่าย “ถ้าใครกล้ามาก่อกวนเธอ รีบมาบอกฉันให้ไว ฉันจะได้ไปจัดการทุบคนคนนั้นให้ตายคามือซะ!”
หลินม่ายชำเลืองมองแม่เสี่ยวหงเหมือนไม่สนใจ แต่แม่เสี่ยวหงที่เห็นแบบนั้นกลับกลัวจนปัสสาวะแทบราด
หลินม่ายถอนสายตากลับมา ตอบเขาด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีใครก่อกวนฉันทั้งนั้นแหละ นายกลับไปเถอะ”
ขณะที่เฮ่อเชิ่งเดินออกจากร้าน เขายังไม่วายหันกลับมามองแม่เสี่ยวหง ทำให้หัวใจหล่อนเต้นแรงขึ้นมาทันที
รอจนเขาเดินจากไปแล้ว แม่เสี่ยวหงก็เดินเข้าไปหาหลินม่ายแล้วยื่นเงินให้ทันที พร้อมกับขอโทษขอโพย “ฉันขอโทษจริง ๆ ฉันเอาเงินมาจ่ายคืนเธอแล้วนะ”
หลินม่ายนับเงิน “ไม่เป็นไรค่ะ จ่ายแล้วก็แล้วกันไป”
พอเห็นว่าหลินม่ายยังพอเจรจาประนีประนอมได้ แม่เสี่ยวหงก็โล่งใจขึ้นมาก ประจบประแจงเธออยู่พักหนึ่งก็ขอตัวกลับ
หลังจากตรวจสอบกิจการแล้ว หลินม่ายก็ตั้งใจว่าจะกลับบ้าน แต่ทันทีที่ก้าวขาออกจากร้านก็ได้ยินเสียงร้องเรียกด้วยความตื่นเต้น “ม่ายจื่อ!”
หลินม่ายหันไปมองตามเสียง เห็นว่าอีกฝ่ายคือเสี่ยวหม่าน จึงเชื้อเชิญเธอเข้ามานั่งคุยกันในร้านเหรินเจียนเยียนหั่วด้วยรอยยิ้ม
พนักงานคนหนึ่งรีบทำความสะอาดโต๊ะ ก่อนจะพูดกับหลินม่ายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “นั่งลงก่อนค่ะเถ้าแก่เนี้ย”
หลินม่ายผายมือเป็นเชิงให้เสี่ยวหม่านนั่งลง
เสี่ยวหม่านนั่งลงหน้าโต๊ะอาหาร หันมองไปรอบร้าน แล้วพูดด้วยความชื่นชมยินดี “ร้านนี้ก็เป็นร้านของเธอเหมือนกันเหรอ?”
หลินม่ายพยักหน้ายิ้ม ๆ รับเมนูมาจากพนักงาน แล้วส่งต่อให้เสี่ยวหม่าน “อยากกินอะไรก็สั่งเลย เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”
เสี่ยวหม่านอ่านเมนูในมือ จากนั้นก็กลอกตาขึ้นเพดาน “ฉันแวะมากินข้าวที่ร้านพี่สาว จำเป็นต้องสุภาพขนาดนี้เลยเหรอ? แบบนี้ฉันจะกล้าสั่งอาหารได้ยังไง?”
หล่อนพูดออกไปแบบนั้นเพราะเกรงใจ สั่งอาหารที่อยากกินแค่ไม่กี่อย่าง ไม่ลืมเลือกเมนูที่มีราคาไม่แพงมาก
พนักงานรับคำสั่งแล้วก็หันกลับไป เพื่อที่จะยกอาหารมาเสิร์ฟให้กับหล่อน
หลินม่ายรีบเรียกพนักงานไว้แล้วสั่งอาหารที่มีราคาแพงที่สุดในร้านเพิ่มเติม จากนั้นก็หันไปถามหล่อน “ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่เห็นเธอไปตั้งแผงขายของเลย?”
เสี่ยวหม่านถอนหายใจ เท้าคางไว้บนมือข้างเดียว “เพราะคุณไม่ยอมไปตั้งแผงน่ะสิ อยู่คนเดียวน่าเบื่อจะตาย ฉันก็เลยไม่ตั้งแผงเสียเลย คุณก็รู้นี่ว่าฉันแค่ออกมาตั้งแผงเพื่อหาอะไรทำฆ่าเวลา”
“ช่วงหลังฉันก็ออกไปตั้งแผงที่ถนนเจียงฮั่นนะ แต่ไม่เจอเธอสักครั้ง” หลินม่ายอธิบาย
“ฉันคิดว่าคุณเลิกตั้งร้านแล้วซะอีก ก็เลยไม่แวะไปแถวนั้นอีกเลย”
“ถ้าเธอไม่อยากขายของก็อย่าฝืนใจตัวเองเลย” หลินม่ายแนะนำ “ต่อให้เธออยู่เฉย ๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ครอบครัวเธอยินดีสนับสนุนเธออยู่แล้ว นอกเสียจากว่าเธออยากหารายได้ด้วยตัวเอง”
พนักงานเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มพลางเสิร์ฟอาหารที่พวกเธอสั่ง พร้อมกับน้ำอัดลมแช่เย็นอีกสองสามขวด ไม่ลืมเปิดฝาขวดเพื่อให้สะดวกต่อการดื่ม
เสี่ยวหม่านรีบชี้ไปที่ขวดน้ำอัดลมที่ยังไม่ได้เปิดฝา แล้วพูดกับพนักงานว่า “ขอเปลี่ยนเป็นเบียร์ได้ไหมคะ?”
พนักงานตอบรับ “ได้ค่ะ”
จากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบน้ำอัดลมขวดนั้น แล้วเปลี่ยนเป็นเบียร์เย็นแทน
แต่หลินม่ายกลับห้ามไว้ “ไม่ต้องเปลี่ยน”
แล้วหันไปพูดกับเสี่ยวหม่าน “เป็นสาวเป็นแส้ไม่ควรดื่มของมึนเมา โดยเฉพาะตอนที่อยู่นอกบ้าน”
สมัยที่เธอยังมีชีวิตอยู่ในชาติที่แล้ว เธอเคยเห็นผู้ชายหิ้วสาวขี้เมาจากหน้าทางเข้าไนต์คลับแล้วพาเข้าม่านรูดเพื่อกระทำมิดีมิร้ายมานักต่อนัก
พอหญิงสาวตื่นขึ้นมาหลังจากนั้น พวกหล่อนก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจำใจกัดฟันกลืนเลือด(2)
หลินม่ายจึงจดจำได้อย่างขึ้นใจ ว่าการที่ผู้หญิงปล่อยตัวให้เมาไร้สตินอกบ้านเป็นเรื่องที่อันตรายมาก
พนักงานเสิร์ฟยิ้มแล้วเดินจากไป
เสี่ยวหม่านยกขวดน้ำอัดลมขึ้นกระดกดื่มสองสามอึก ทำหน้าตามีพิรุธ ก่อนจะหยิบไก่เสียบไม้ขึ้นมากิน แล้วถามลองเชิง “ม่ายจื่อ ฉันขอทำงานเสริมที่ร้านของคุณได้ไหม?”
หลินม่ายนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ตอบว่า “ใช่ว่าไม่ได้ แต่ภาระงานในร้านค่อนข้างหนักเอาการเลย เธออายุยังน้อย ฉันกลัวว่าเธออาจแบกรับความกดดันไม่ไหว”
เสี่ยวหม่านเหยียดนิ้วชี้ออกแล้วส่ายไปมา “คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ฉันมั่นใจว่าฉันอดทนทำงานหนักได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ ขอแค่ฉันได้ทำงานกับคุณ แรงกดดันมากแค่ไหนฉันก็แบกได้!”
หลินม่ายกะพริบตาปริบเมื่อได้ยินแบบนั้น อดรู้สึกไม่ได้ว่าท่าทางของอีกฝ่ายดูแปลก ๆ
ดวงตากลมโตของเสี่ยวหม่านกวาดมองไปรอบร้าน ก่อนจะถามด้วยท่าทางเขินอายนิด ๆ “พี่หมิงเฉิงไม่อยู่เหรอ ทำไมวันนี้ฉันไม่เห็นเขาเลย?”
“เดี๋ยวนี้เขารับผิดชอบหน้าที่ขนส่งแล้ว ก็เลยทำงานในร้านน้อยลง”
หลินม่ายขยิบตาให้หล่อนอย่างรู้เท่าทัน “บอกฉันมาตามตรง ที่เธออยากมาทำงานในร้านของฉัน เป็นเพราะเธอแอบชอบหมิงเฉิง เลยอยากเจอหน้าเขาทุกวันใช่ไหม?”
ใบหน้าแสนสวยของเสี่ยวหม่านเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที ก่อนจะส่ายหน้ารัวพลางปฏิเสธเสียงสั่น “เปล่าซะหน่อย อย่ามาเดาสุ่มสี่สุ่มหน้านะ ฉันไม่ได้ตั้งใจมาที่นี่ แค่เดินผ่านหน้าร้านแล้วเจอคุณโดยบังเอิญแค่นั้นเอง ก็เลยตะโกนเรียกคุณยังไงล่ะ”
หลินม่ายหัวเราะร่า “แล้วเธออยากทำงานที่ร้านไหนล่ะ ร้านติ่มซำหรือร้านเซาเข่า? ร้านเปาห่าวซือที่อยู่ไม่ไกลกันนี้ก็เป็นร้านของฉันเหมือนกันนะ”
“ว้าว! คุณเก่งเกินไปแล้ว! เปิดร้านอาหารทีเดียวสองที่เลย!”
เสี่ยวหม่านอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ
จากนั้นหล่อนก็ตัดสินใจโดยแทบไม่ต้องคิด “ฉันต้องเลือกร้านเซาเข่าแน่อยู่แล้ว! กลิ่นของมันออกจะหอมชวนน้ำลายสอขนาดนี้!”
หลินม่ายจึงฝากฝังหล่อนให้เรียนรู้งานกับโจวฉายอวิ๋น พูดคุยกันเสร็จแล้วก็เดินกลับบ้านตามลำพัง อาบน้ำ แล้วเข้านอน
ฟางจั๋วหรานกลับมาถึงหอพักพร้อมกับกางเกงชั้นในถุงใหญ่ที่หลินม่ายเป็นคนซื้อให้ ตั้งใจว่าจะจัดการซักให้สะอาดก่อนสวมใส่
สำหรับคนเป็นหมอ ความสะอาดต้องมาเป็นอันดับแรก
ในขณะที่เขากำลังเทกางเกงชั้นในออกจากถุงลงในกะละมังซักผ้า เสื้อยกทรงสีแดงกุหลาบก็ดึงดูดความสนใจของเขาทันที
เขาหยิบเสื้อยกทรงตัวนั้นขึ้นจากกะละมังซักผ้า ชุดชั้นในที่แกว่งไกวอยู่ในมือของเขา ทำให้เขาอดนึกจินตนาการถึงคนที่เป็นเจ้าของมันไม่ได้…
หลังจากหลินม่ายอาบน้ำเสร็จ เธอก็เทชุดชั้นในลงในกะละมังซักผ้า เตรียมซักทำความสะอาดพวกมันก่อนสวมใส่เช่นเดียวกัน
การซักเสื้อผ้าที่เพิ่งซื้อมาใหม่ โดยเฉพาะชุดชั้นใน ถือเป็นนิสัยด้านสุขอนามัยที่ดี ซึ่งเธอซึมซับมาตั้งแต่สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ในชาติที่แล้ว
แต่พอนับจำนวนชุดชั้นในที่ตั้งใจว่าจะซัก กลับพบว่ามันขาดไปหนึ่งตัว
หลินม่ายคิดว่าตัวเองคงเผลอแจกจ่ายให้เถาจืออวิ๋นหรือโจวฉายอวิ๋นเกินไปตัวหนึ่งแน่ ๆ จึงวิ่งออกไปถามทั้งสอง พวกเธอรีบตรวจสอบชุดชั้นในในส่วนของตัวเอง แต่ก็ไม่เห็นว่ามีเกินมา
หลินม่ายตกตะลึงทันที
เสื้อยกทรงตัวนั้นไม่ได้อยู่กับพวกหล่อน ความเป็นไปได้อีกทางหนึ่งที่เหลือ คือก่อนหน้านี้ตอนที่เธอกำลังตื่นตระหนก เธอดันเผลอหยิบมันปนลงไปในถุงกางเกงชั้นในที่มอบให้ฟางจั๋วหราน
ป่านนี้ฟางจั๋วหรานคงเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วว่าเธออยากสื่อความนัยอะไรบางอย่างผ่านเสื้อยกทรงตัวนั้น โอ๊ย จะบ้าตาย!
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ในขณะที่หลี่หมิงเฉิงกำลังขนวัตถุดิบมาส่งให้กับร้านอาหารทั้งสองแห่ง เขาก็เห็นเด็กสาวร่างเล็กหน้าตาน่ารักอย่างเสี่ยวหม่านสวมผ้ากันเปื้อนของพนักงานในร้าน กำลังก้มหน้าก้มตาทำเนื้อเสียบไม้อยู่ข้างพนักงานสูงวัยอีกคนหนึ่ง เพื่อให้พร้อมสำหรับการเปิดร้านช่วงหลังสิบโมง
เขาทักทายอย่างคาดไม่ถึง “เสี่ยวหม่าน เธอมาสมัครเป็นพนักงานร้านเราตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย?”
เสี่ยวหม่านเอียงคอ ทำท่าทางขี้เล่น “ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว พี่จะไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก!”
หลี่หมิงเฉิงถามต่อ “ทำไมจู่ ๆ ถึงนึกอยากมาทำงานกับม่ายจื่อล่ะ?”
เสี่ยวหม่านชะโงกหน้าไปกระซิบข้างหูเขาโดยตอบความจริงกึ่งหนึ่งเท็จกึ่งหนึ่ง “ถ้าฉันบอกว่ามาสมัครเพราะอยากเห็นหน้าพี่ พี่จะเชื่อฉันไหม?”
หลี่หมิงเฉิงทำหน้าไม่ถูกทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น ไม่รู้ว่าควรตอบกลับอย่างไรดี
เสี่ยวหม่านแกล้งทำเป็นหยอกเล่น ใช้ศอกกระทุ้งเขาเบา ๆ “ฉันแค่ล้อพี่เล่นหรอกน่า อย่าทำหน้าตาแบบนั้นไปหน่อยเลย”
สีหน้าหลี่หมิงเฉิงผ่อนคลายลง ก่อนจะตอบกลับด้วยรอยยิ้มซื่อบื้อ “บอกตามตรง ฉันแยกแยะระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องล้อเล่นไม่ค่อยออกน่ะ”
ร่องรอยความผิดหวังแวบผ่านแววตาของเสี่ยวหม่าน
ตอนที่หลินม่ายแวะมาดูร้าน เธอยืนอยู่ไม่ไกลมากจึงเห็นเหตุการณ์นั้นเข้าพอดี เพียงแต่ไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างเสี่ยวหม่านกับหลี่หมิงเฉิง
รอจนหลี่หมิงเฉิงเดินออกไปแล้ว เธอก็เดินเข้าไปแอบถามเสี่ยวหม่านด้วยเสียงกระซิบ “เมื่อกี้เธอคุยอะไรกับหมิงเฉิง? อย่าบอกนะว่าสารภาพรักไปแล้ว”
“ใช่ที่ไหนกัน?” เสี่ยวหม่านถึงกับหน้าแดง
หลินม่ายยิ้มอย่างซุกซน ก่อนจะเดินไปดูงานในร้านเปาห่าวซือบ้าง
หลังจากดูความเรียบร้อยภายในร้านอาหารทั้งสองแล้ว เธอก็กลับเข้าบ้านไปเตรียมอาหารมื้อเช้า
อาหารมื้อเช้าของวันนี้เป็นเมนูง่าย ๆ เธอ มีทั้งขนมอบหลายอย่าง ข้าวต้ม ไข่ต้มสองสามฟอง และนมสดสำหรับฟางจั๋วหราน เธอนำของพวกนี้ทมาจัดใส่จานก่อนเป็นอันดับแรก
มื้อไหนก็ตามที่มีข้าวต้ม หลินม่ายจะทำผัดผักไว้กินเป็นกับคู่กันเสมอ
ถ้ามื้อเช้าขาดผัดผักไปสักจานหนึ่งก็มักจะรู้สึกว่าคุณค่าทางโภชนาการไม่ครบถ้วน
เถาจืออวิ๋นออกมาช่วยหลินม่ายเตรียมอาหารมื้อเช้า ก่อนจะพาโต้วโต้วกับฉีฉีไปเข้าห้องน้ำเพื่อแปรงฟันและล้างหน้าหลังจากตื่นนอน
ขณะนั้นเอง ฟางจั๋วหรานก็เปิดประตูเข้ามา
……………………………………………………………………………………………………………………….
ในบริบทนี้หมายความว่า ก่อเรื่องไม่ดีไว้ อีกฝ่ายคงไม่ยอมปล่อยให้ลอยนวลโดยไม่สั่งสอน
กัดฟันกลืนเลือด หมายถึง ยอมกล้ำกลืนตราบาปโดยไม่ให้ใครรับรู้
สารจากผู้แปล
ถึงผู้หญิงเขาจะเมาก็ไม่ใช่สิทธิ์ที่จะไปข่มขืนเขาจ้า ดึงสติพวกเอ็งก่อนเลยพวกผู้ชายทั้งหลาย
ว้ายยย โป๊ะจนได้ม่ายจื่อเอ๊ย
ไหหม่า(海馬)