“สวัสดีครับ”
พอผู้ชายตัวสูงเปิดประตูร้านกาแฟและเดินเข้ามา อินซอบที่นั่งอยู่ก็รีบลุกและก้มหัวให้
“โอ้ อินซอบ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
ผู้ชายที่แต่งตัวอย่างหรูหราตั้งแต่หัวจรดเท้าทักทายอินซอบอย่างดีใจ
“ครับ ไม่ได้เจอกันนานเลยครับ”
“เดี๋ยวฉันสั่งอาหารก่อนนะ”
“ผมสั่งให้ไหมครับ”
“ไม่เป็นไรๆ นั่งเถอะ”
กรรมการผู้จัดการคิมฉีกยิ้มอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวก่อนจะเดินไปที่เคาน์เตอร์ อินซอบลูบแก้วกาแฟที่สั่งไว้ก่อนแล้วและรอให้กรรมการผู้จัดการคิมกลับมา
“ตอนมารถไม่ติดเหรอ”
“ครับ ไม่ติด”
“โชคดีไป เพราะข้างหน้านี้มีการก่อสร้างช่วงนี้ก็เลยวุ่นวายอยู่ตลอด กินข้าวหรือยังล่ะ”
“ครับ กินแล้วครับ”
“ทำตัวสบายๆ เถอะ ประหม่าอย่างกับใครจะจับกินอย่างนั้นแหละ”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
แม้จะตอบแบบนั้น แต่อินซอบก็ยังคงนั่งตัวตรง
เขาได้รับการติดต่อจากกรรมการผู้จัดการคิมเมื่อวานนี้ พอได้รับข้อความว่า “ฉันมีเรื่องจะรบกวน ช่วยมาที่หน้าบริษัทหน่อย” จากคนที่ปกติแล้วไม่มีการติดต่อมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ อินซอบก็ประหม่าจนนอนไม่หลับ โดยเฉพาะเมื่อมีการกำชับว่าให้เก็บเป็นความลับจากอีอูยอน
อินซอบรู้ดีว่ากรรมการผู้จัดการคิมขีดเส้นให้เขาอย่างชัดเจน ตอนที่อีอูยอนขอเลิกก่อนหน้านี้ เขากังวลว่าอีกฝ่ายอาจจะรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา และเคยถามอีอูยอนครั้งหนึ่ง
‘…กรรมการผู้จัดการคิมจะไม่คิดว่าแปลกเหรอครับ’
‘เรื่องอะไรครับ’
อีอูยอนที่นั่งดูภาพยนตร์อยู่บนโซฟาจิบเบียร์เข้าไปอึกหนึ่งและถามกลับ
‘ก็เรื่องที่พวกเราสองคนอยู่ด้วยกันตลอดไงครับ…’
อีอูยอนเอียงคอและถามว่า ‘ทำไมเหรอครับ’
‘การที่ผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่แล้วสองคนอยู่บ้านหลังเดียวกันตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องปกตินะครับ ที่อเมริกาก็อยู่ด้วยกัน ที่เกาหลีก็ด้วย…’
อีอูยอนหัวเราะเบาๆ และเอาหน้าผากแนบกับไหล่ของอินซอบ
‘ทำไมถึงพูดเรื่องไร้สาระออกมาดูดีขนาดนี้ครับเนี่ย’
‘…’
‘ถ้ากรรมการผู้จัดการรู้ เขาจะอยู่เฉยๆ เหรอครับ เขาคงจะโวยวายว่าหุ้นตก และสั่งให้เลิกกันทันทีอยู่แล้ว เขาแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันอย่างเข้มงวดพอสมควรครับ’
ดวงตาที่โค้งอย่างงดงามเต็มไปด้วยรอยยิ้ม อินซอบใจสั่นทุกครั้งที่อีอูยอนยิ้มแบบนั้น เขาหลุบตาลงและถามซ้ำว่า ‘ยะ อย่างนั้นเหรอครับ’
‘อื้อ ไม่รู้อยู่แล้ว เพราะไม่รู้ ดังนั้นช่วยอ้าปากหน่อยได้ไหมครับ ผมจะได้จูบ’
อินซอบที่นึกไปจนถึงฉากที่ไม่จำเป็นลูบแก้มที่เห่อร้อน และเหลือบมองกรรมการผู้จัดการคิม
…มีธุระอะไรกันแน่นะ
พอสบตากัน อินซอบก็รีบก้มหน้า พอมีสิ่งที่ต้องปกปิด เขาจึงรู้สึกไม่สบายใจเท่าไร แม้อีอูยอนจะบอกว่าไม่ใช่ แต่ถ้ากรรมการผู้จัดการคิมรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาและสั่งให้เลิกกัน เขาต้องพูดว่าอะไรดี
…เขาไม่อยากเลิก…ต่อให้ตายก็ไม่เลิก
“อินซอบ คือว่านะ”
“ครับ ครับ!”
บอกว่าไม่เลิกเด็ดขาดแล้วกัน! บอกออกไปเลยว่าแม้จะมีความทุกข์ที่ต้องแยกกันอยู่ แม้จะต้องตาย เขาก็ไม่สามารถเลิกกับอีอูยอนได้!
อินซอบตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตอย่างแน่วแน่ และกำหมัดอยู่ใต้โต๊ะ
“เคยได้ยินชื่อซอแจฮาไหม”
“…ครับ?”
เพราะเรื่องที่เอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน อินซอบจึงกระแอมเบาๆ ก่อนจะถามซ้ำ
“ซอแจฮาดาวรุ่งพุ่งแรงในช่วงนี้น่ะ เขาออกโทรทีวีบ่อยๆ มาสักพักแล้ว ไม่เคยได้ยินชื่อเหรอ”
อินซอบคิดอยู่สักพักและตอบว่า “เคยได้ยินครับ” แม้จะสัญญาไว้ว่าจะไม่สนใจกับเรื่องในวงการบันเทิงก่อนที่จะกลับมาที่เกาหลี แต่เพราะมีหูมีตา เขาจึงรู้เรื่องราวในวงการพอๆ กับที่คนธรรมดาคนหนึ่งจะรับรู้
“ช่วงนี้เขาไปได้สวยเลยล่ะ หาได้ยากมากเลยนะนักแสดงที่มีรูปร่างหน้าตาขนาดนั้นในวัยยี่สิบ แถมยังมีทักษะการแสดงระดับนั้นด้วย แต่แน่นอนว่ามีอีอูยอนเป็นต้นกำเนิด”
อินซอบพยักหน้าอย่างตั้งใจ และเห็นด้วยกับคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิม
“นายก็รู้นี่ว่าช่วงนี้อีอูยอนไม่ค่อยปรากฏตัวเลย ไม่ว่าจะหนัง หรือละครเขาก็เลือกอย่างเรื่องมาก”
“…ครับ”
อินซอบตอบด้วยสีหน้าเศร้าหมองเล็กน้อย
เขารู้ว่างานของอีอูยอนน้อยลง ถึงจะชอบที่อีอูยอนมีเวลาอยู่บ้านมากขึ้น แต่ก็เป็นห่วงนิดหน่อย
“ช่วงนี้ซอแจฮาทำงานอย่างกับวัวเลย ไม่ว่าจะละครหรือหนังเขาก็เล่นไม่เลือก เหมือนอีอูยอนสมัยก่อนนั่นแหละ ชื่อเล่นของเขาคือวัวแจฮาเลยนะ”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
“ปัญหาคือภาพลักษณ์ของซอแจฮาที่ซ้ำกับอีอูยอนอยู่นิดหน่อยนี่แหละ ใบหน้าที่อ่อนโยนกับรูปร่างที่ดี ด้วยเหตุนี้โฆษณาที่อีอูยอนเคยถ่ายเลยไปหาเด็กนั่นหมดเลย”
“…”
สีหน้าของอินซอบหมองลงเรื่อยๆ
“เพราะเป็นหน้าใหม่ ค่าตัวเลยไม่ได้แพงขนาดนั้น พวกสปอนเซอร์เลยชวนกันใช้งานซอแจฮาที่ได้มาถูกๆ ในภาพลักษณ์ที่คล้ายกันแทน เข้าใจใช่ไหมว่าฉันหมายความว่าอะไร”
“…ครับ”
เป็นความจริงที่ช่วงนี้เจอหน้าอีอูยอนในโฆษณาได้ยากกว่าเมื่อก่อนที่เมื่อเปิดโทรทัศน์ก็จะเริ่มด้วยโฆษณาของอีอูยอน และปิดท้ายด้วยโฆษณาของอีอูยอน
“ที่ฉันจะพูดก็คือ…”
กรรมการผู้จัดการคิมสังเกตอินซอบพลางเลือกใช้คำพูด
“จะเป็นยังไงถ้านายลองไปพูดโน้มน้าวอีอูยอนดีๆ”
“ผมเหรอครับ”
ดวงตากลมโตของอินซอบเบิกกว้าง
“คือไม่ได้มีความหมายอย่างอื่นหรอก ก็อีอูยอนเชื่อฟังนายนี่นา เพราะพวกนายเป็นเพื่อนที่สนิทกัน ก็ต้องปรึกษาเรื่องงานกันบ้างไม่ใช่เหรอ”
กรรมการผู้จัดการคิมพูดไม่หยุดราวกับเตรียมตัวมาล่วงหน้า และรีบพูดเสริมก่อนที่อินซอบจะทันได้ตอบอะไร
“เพราะบางครั้งฉันเองก็คุยกับหัวหน้าทีมชาตอนมีเรื่องให้คิดเหมือนกัน”
พอได้ยินคำพูดนั้น อินซอบก็เห็นด้วยทันที
“ถึงจะปรึกษาพวกเรื่องเลือกบท แต่นอกจากเรื่องนั้นก็ไม่ได้คุยกันหรอกครับ”
“ไม่คุยเรื่องโฆษณาเลยเหรอ”
“ครับ”
“เยี่ยม งั้นพูดตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ได้”
“แต่ไม่ว่าผมจะพยายามพูดแค่ไหนก็ควรมีโฆษณาเข้ามาก่อนไม่ใช่เหรอครับ”
“ไม่ใช่ คือว่า…”
กรรมการผู้จัดการคิมที่ทุบหน้าอกด้วยความอึดอัดใจดื่มกาแฟเย็นเพื่อทำให้ความโกรธเย็นลง
“…เพราะอูยอนเลือกโฆษณาเหมือนกับที่เลือกละคร ฉันถึงเป็นแบบนี้เพราะอึดอัดไง”
กรรมการผู้จัดการคิมเคี้ยวความโมโหไปพร้อมกับน้ำแข็ง การเลือกโฆษณาของอีอูยอนไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นวันหรือสองวัน เพราะเขาตอบตกลงรับโฆษณาที่ตรงกับภาพลักษณ์เท่านั้นตั้งแต่สมัยเป็นนักแสดงหน้าใหม่ กรรมการผู้จัดการคิมถึงได้บ่นเขาว่าเป็นไอ้คนช่างเลือก แม้การเลือกของอีอูยอนจะถูกต้องในระยะยาวก็ตาม
ปัญหาคือหลังจากกลับมาที่เกาหลี เขาก็อยู่ในจุดที่จำกัดจำนวนโฆษณา
“โฆษณาที่ตรงกับภาพลักษณ์ไม่ค่อยมีเข้ามาเหรอครับ”
อินซอบเอ่ยถามด้วยแววตาเป็นกังวล
‘ละครหนึ่งเรื่อง โฆษณาหนึ่งชิ้นในหนึ่งปีนะครับ มากกว่านั้นผมไม่ทำ ถามว่าผมไม่มีความคิดที่จะหาเงินเหรอ ฮ่าฮ่า หาเศษเงินแบบนั้นได้แล้วจะเอาไปใช้ที่ไหนล่ะครับ ยังไงนี่ก็ไม่ใช่งานที่ผมทำเพื่อหาเงินอยู่แล้ว อย่าพูดจาไร้สาระเลยครับ เพราะผมรำคาญ’
อีอูยอนที่พูดจาน่ารังเกียจยิ้มเล็กน้อยก่อนจะขู่ต่อว่าถ้าเอาเรื่องนี้ไปคุยกับคุณอินซอบ ก็เตรียมตัวเห็นข่าวลาออกอีกครั้งในวันถัดไปได้เลย
ต่อให้มีโฆษณาที่ตรงกับภาพลักษณ์มากองไว้ แต่พออีอูยอนปฏิเสธที่จะรับงาน โฆษณาพวกนั้นจึงต้องถูกส่งไปให้ตัวสำรอง
“…ก็มีเข้ามาอยู่หรอก ถึงจะจริงที่จำนวนน้อยกว่าเมื่อก่อน แต่ก็ไม่ได้ลดลงไปขนาดนั้น…ก็ตามนั้นแหละ”
กรรมการผู้จัดการคิมไม่สามารถพูดถึงอาการเป็นบ้าอะไรไม่รู้ของอีอูยอนที่กลัวว่าเวลาที่อยู่กับนายจะไม่พอ และห้ามได้รับสปอร์ตไลท์มากเกินไป เพราะนายจะไม่สบายใจออกมาได้ จึงได้แต่พูดอย่างคร่าวๆ ไปแบบนั้น
“งั้นผมต้องพูดว่าอะไรเหรอครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมแสดงออกทางสีหน้าว่า “ถูกต้องแล้ว” และโน้มตัวมาข้างหน้า
“นายลองกระตุ้นให้เขารับรู้ถึงคู่ต่อสู้หน่อยสิ”
“คู่ต่อสู้เหรอครับ”
“ก็กระตุ้นความอยากเอาชนะของอีอูยอนไง ชมซอแจฮาต่อหน้าอีอูยอนนิดหน่อย แล้วก็พูดประมาณว่า โฆษณาตัวนั้นเท่มาก หรือบทบาทนั้นเหมือนจะดีนะ อะไรทำนองนั้นน่ะ ถึงจะดูไม่เหมือนแบบนั้น แต่อีอูยอนก็มีจิตวิญญาณนักสู้พอสมควรนะ”
…อีอูยอนดูไม่เหมือนแบบนั้นใช่ไหม
เขามักจะพูดเรื่องที่อยากพูด และไม่ทำในเรื่องที่ไม่อยากทำ เนื่องจากรู้ว่าถ้าเป็นคำพูดของอินซอบ เขาจะรับฟังทุกอย่าง ตนจึงขอร้องอย่างอับจนหนทาง
“…อย่างนั้นเหรอครับ”
อินซอบถามซ้ำราวกับข้องใจ
“อื้อ มีสิ จิตวิญญาณนักสู้น่ะ เพราะฉะนั้นนายก็ลองพูดดูนะ ชมซอแจฮานิดหน่อย ไม่ต้องตั้งใจมากนะ พูดเหมือนชมผ่านๆ น่ะ ชมนิดเดียวเท่านั้นนะ”
“เข้าใจแล้วครับ”
อินซอบพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจังราวกับบุคคลสำคัญที่ได้รับหน้าที่ที่สำคัญมากๆ
กรรมการผู้จัดการลูบริมฝีปากที่ยิ้มกริ่มและพูดสิ่งที่สำคัญที่สุด
“เรื่องที่ฉันพูดที่นี่วันนี้เป็นความลับนะ ห้ามบอกว่าเจอฉันด้วยเหมือนกัน ถ้ารู้เรื่องนี้ ความภาคภูมิใจในตัวเองของอีอูยอนจะถูกทำลาย”
ไม่ใช่เพราะความภาคภูมิใจในตัวเอง แต่เป็นนิสัยที่เสียฉิบหายนั่นต่างหากที่ทำให้แค่จินตนาการว่าหมอนั่นจะทำตัวเหมือนหมาบ้าแค่ไหนถ้าได้รู้เรื่องนี้ เขาก็เสียวสันหลังวาบและรู้สึกอยากคลื่นไส้แล้ว
***
“ซอแจ…ฮา”
พอขึ้นมาบนรถ อินซอบก็ค้นหาชื่อที่กรรมการผู้จัดการคิมพูดให้ฟัง เขาลองคลิกเข้าไปดูอันหนึ่ง และก็ได้รู้ว่าอีกฝ่ายมีภาพลักษณ์ที่ซ้ำกับอีอูยอนประมาณหนึ่งอย่างที่กรรมการผู้จัดการคิมพูดจริงๆ แต่ก็เป็นแค่ภาพลักษณ์เท่านั้น
“ไม่ค่อยเหมือนนะ…”
อินซอบเอียงคอและหารูปอื่นดูเพิ่ม แต่ก็เหมือนเดิม แม้จะเป็นนักแสดงรูปหล่อที่มีรูปร่างดีกับภาพลักษณ์ที่ดูอบอุ่น แต่ในวงการบันเทิงก็มีคนที่หน้าตาและรูปร่างดีอยู่มาก ถ้าอยากเป็นที่สะดุดตาในวงการนี้ต้องมีมากกว่านั้น
อีอูยอนเป็นคนที่เจิดจรัส แค่อยู่เฉยๆ เขาก็ดึงดูดสายตาได้โดยอัตโนมัติ ฉายา ‘คนดังในบรรดาคนดัง’ ไม่ใช่ชื่อที่ติดเอาไว้เฉยๆ ถ้าสามารถทำให้ละครและโฆษณาปัดอีอูยอนคนนั้นทิ้งและคว้าเอางานพวกนั้นไปได้ จะต้องเป็นคนที่มีเสน่ห์ที่โดดเด่นอย่างแน่นอน
“หรือว่าความสามารถในการแสดงจะดี?”
อินซอบหาคลิปละครที่ซอแจฮาแสดงและดูซ้ำๆ ทักษะในการแสดงของเขาไม่ได้แย่ การออกเสียงก็ใช้ได้ โทนเสียงก็สม่ำเสมอ แต่ไม่ว่าจะดูยังไงก็ไม่ใช่ความสามารถที่จะแย่งโฆษณาที่ปัดอีอูยอนทิ้งไปได้เลย ในขณะที่คิดว่าต้องดูคลิปอื่นอีกหรือเปล่า ใครบางคนก็เข้ามาในรถ
“ไม่ได้ฟังที่บอกให้ล็อกประตูหลังจากขึ้นรถจริงๆ ใช่ไหม”
“เฮือก”
อินซอบตกใจกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของอีอูยอน และทำโทรศัพท์หลุดมือ อีอูยอนยิ้มและถามว่า “ตกใจอะไรขนาดนั้นครับ”
“มะ มีธุระอะไรที่นี่…”
“ผมมาแถวๆ บริษัทแล้วเห็นรถของคุณอินซอบน่ะครับ ผมคิดว่าอาจจะใช่ก็เลยมาดู แล้วก็ใช่คุณอินซอบจริงๆ”
อีอูยอนแกล้งทำเหมือนว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่น่าจะเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ที่ปกติแทนที่จะพูดว่าผมติดตั้งโปรแกรมติดตามตำแหน่งไว้ที่โทรศัพท์มือถือของคุณและเช็กบ้างเป็นครั้งคราว
“เสร็จงานแล้วเหรอครับ”
“อื้อ เสร็จแล้วครับ”
เขาโกหก อีอูยอนเปิดโปรแกรมติดตามตำแหน่งด้วยความเคยชินในระหว่างสัมภาษณ์ พอแน่ใจแล้วว่าอินซอบที่ควรจะอยู่ที่บ้านอยู่ที่ชองดัม และอยู่แถวๆ บริษัท เขาก็ลุกขึ้นทันที เขาบอกว่าต้องเลื่อนการสัมภาษณ์ออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากครอบครัวป่วยกะทันหัน และแสดงความสามารถทางการแสดงที่มีได้อย่างน่าพอใจ
พออีอูยอนที่เป็นมืออาชีพเสมอในการทำงานพูดด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ นักข่าวก็ทำตัวไม่ถูกด้วยความเห็นใจ และปล่อยให้เขากลับ
“ว่าแต่คุณอินซอบมีธุระอะไรที่นี่เหรอครับ”
อีอูยอนถาม
“ผะ ผมเอาเอกสารที่กรรมการผู้จัดการคิมไหว้วานมาให้น่ะครับ”
นี่เป็นคำแก้ตัวที่เขาเตรียมเอาไว้ในกรณีที่อาจจะเจออีอูยอน อีอูยอนปิดปากเงียบพลางครางรับในลำคอและเอียงคอ
“จริงเหรอครับ”
“…จริงครับ”
‘ห้ามบอกไอ้อีอูยอนเด็ดขาดดด ถ้าหมอนั่นรู้ นายจะรอด และฉันจะตาย’
อินซอบนึกถึงกรรมการผู้จัดการคิมที่จับมือเขาและกำชับทีละคำก่อนจะแยกกันและตอบอย่างยากลำบาก
“งั้นก็จูบหน่อยครับ ผมจะได้เชื่อ”
“ครับ?”
อินซอบเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ อีอูยอนใช้นิ้วเคาะแก้มของตัวเอง และจงใจทำหน้าโกรธ
ทำยังไงดี
อินซอบขมวดคิ้วราวกับจนปัญญาก่อนจะรีบมองรอบๆ จากนั้นเขาก็แตะริมฝีปากเข้ากับแก้มของอีอูยอน เพราะริมฝีปากที่แตะอย่างแผ่วเบาก่อนจะผละออกไปจนเกิดเสียงดัง จุ๊บ ปากของอีอูยอนจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“ไม่คิดเลยว่าจะทำจริงๆ”
ลักษณะการพูดอย่างขี้เล่นของอีอูยอนทำให้อินซอบผ่อนคลายไหล่ที่เกร็งลง อีอูยอนหัวเราะคิกคักก่อนจะโน้มมาทางที่นั่งฝั่งคนขับและกระซิบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ถ้ารู้ว่าจะทำจริง ผมจะขอให้คุณอมไอ้นั่นของผมตรงนี้”
“…คุณอูยอน”
“ฮ่าๆๆ ล้อเล่นครับ รีบกลับบ้านกันเถอะครับ ผมหิวแล้ว”
“…คาดเข็มขัดด้วยครับ”
อินซอบเก็บโทรศัพท์มือถือที่ตกอยู่บนพื้นใส่กระเป๋าและพูดอย่างอ่อนแรง อีอูยอนคาดเข็มขัดนิรภัยและเอนตัวพิงเบาะในท่าทางกอดอก
“จะออกรถแล้วนะครับ”
อีอูยอนกลั้นยิ้มพร้อมกับมองคนรักที่น่ารักของตนที่พูดแบบนั้นเพราะไม่สามารถทิ้งนิสัยตอนเป็นผู้จัดการส่วนตัวได้