“เฮ้อ…”
อินซอบถอนหายใจ
หลังจากที่ถูกกรรมการผู้จัดการคิมขอร้อง เขาก็หาข้อมูลเกี่ยวกับซอแจฮาอย่างตั้งใจ หากอยากให้รู้สึกถึงความเป็นคู่แข่ง เขาต้องพูดในส่วนที่ดีกว่าอีอูยอน แต่เขากลับหาส่วนนั้นไม่เจอเลย แน่นอนว่าซอแจฮาเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมเมื่ออยู่คนเดียว แต่เขายังไม่อยู่ในระดับที่จะยอมรับว่าเป็นคู่แข่งของอีอูยอนได้
แต่ถึงอย่างนั้นต้นสังกัดของซอแจฮาก็ปล่อยข่าวเปรียบเทียบกับอีอูยอนอย่างต่อเนื่อง เพราะถือว่าเรื่องนั้นเป็นแผนการตลาดตั้งแต่แรก มันเป็นเรื่องธรรมดาในแวดวงนี้ และการที่ซอแจฮาซึ่งมีค่าตัวถูกกว่าจะได้รับช่วงต่อโฆษณาของอีอูยอนก็เป็นผลลัพธ์ที่สมเหตุสมผลตามคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิม
แม้จะเป็นความจริงที่รู้ดี แต่…
“…”
อินซอบรู้สึกไม่ดีเลยสักนิด ในฐานะที่เป็นแฟนคลับมาก่อน ก่อนที่จะเป็นคนรักของอีอูยอน เขารู้สึกไม่เห็นด้วยกับอะไรบางอย่าง แถมพอบอกให้ชมซอแจฮาต่อหน้าอีอูยอนแล้ว เขายิ่งไม่สามารถเอ่ยปากออกไปได้เลย
“…เฮ้อ”
อินซอบถอนหายใจในขณะที่รอลิฟต์ เราเป็นคนใจแคบขนาดนี้เลยสินะ
อินซอบคิดทบทวนถึงความรู้สึกละอายใจ และเดินเข้าไปในลิฟต์ที่ประตูเปิดพอดี
“รอด้วยครับ”
ใครบางคนที่วิ่งมาจากด้านหลังรีบตะโกน อินซอบจึงกดปุ่มเปิดลิฟต์ไว้ให้
“ขอบคุณครับ”
ผู้ชายที่สวมหมวกลงมาจนต่ำผงกหัวเบาๆ พร้อมกับเอ่ยขอบคุณ แม้จะใช้หน้ากากอนามัยปิดไว้ แต่มองปราดเดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนดัง อินซอบมาที่ร้านทำผมเพื่อนำเอกสารมาให้ตามคำขอร้องของหัวหน้าทีมชา และการเจอคนดังในละแวกนี้ก็เป็นเรื่องปกติ
อินซอบทักทายผ่านทางสายตา และเผลอกลั้นหายใจ อีกฝ่ายหันหน้ามาราวกับสงสัย
“ปะ เปล่าครับ ไม่มีอะไรครับ”
…ซอแจฮา
อินซอบรีบก้มหน้า พอประตูลิฟต์เปิด หัวหน้าทีมชาที่รออยู่ด้านหน้าก็ทำสีหน้าดีใจและชูมือทั้งสองข้าง
“คุณอินซอบ! ฉันจะไม่ลืมบุญคุณนี้เลย ฉันจะต้องส่งเอกสารนี้ภายในวันนี้ แต่ดันลืมไว้ในรถซะได้”
ซอแจฮาส่งสายตาทักทายในขณะที่อินซอบออกจากลิฟต์ อินซอบจึงรีบทักทายกลับ
“ใคร? คนรู้จักเหรอ”
“เอ่อ…คุณซอแจฮาน่ะครับ”
“อ๋อ เด็กที่ไปได้สวยตอนนี้สินะ เด็กนั่นก็มาที่นี่เหมือนกันเหรอเนี่ย อ้อ คุณอินซอบพอจะมีเวลาไหม”
“เวลาเหรอครับ”
“ฉันต้องไปจัดการเอกสารที่บริษัทนิดหน่อยน่ะ นายช่วยดูจุนซอให้สักเดี๋ยวได้ไหม จุนซอกลัวคนแปลกหน้าเลยต้องมีคนประกบน่ะ”
คำว่า ‘กลัวคนแปลกหน้าเลยต้องมีคนประกบข้างๆ’ เป็นศัพท์เฉพาะในวงการ ซึ่งมีความหมายว่าขอให้ช่วยจับตาดูอยู่ข้างๆ เพราะไม่รู้ว่าจะไปสร้างเรื่องอะไรหรือเปล่าหากละสายตาไป
“…ลำบากหน่อยนะครับ”
“ฮ่าๆๆๆ เทียบกับอีอูยอนแล้วก็จิ๊บๆ ยังไงก็เถอะ แค่สามสิบนาทีก็พอ ได้ใช่ไหม”
อินซอบเซ็กเวลา วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ เขาจึงตั้งใจเผื่อเวลาออกมาเพื่อซื้อช็อกโกแลตให้อีอูยอน ยังเหลือเวลาอีกเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัด
“ได้ครับ แล้วเจอกันนะครับ”
“โอเค ฉันจะรีบกลับ เด็กคนนั้นน่ะ ต้องดูแลดีๆ นะเพราะเป็นเด็กมัธยมปลาย”
หัวหน้าทีมชาชี้ไปผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตัวสุดท้ายของร้านทำผม อินซอบยิ้มและพยักหน้า
“อ้อ หัวหน้าทีม เอาอันนี้ไปด้วยครับ”
“อะไรเหรอ”
“เอาไปแบ่งกับคนที่บริษัทนะครับ ผมซื้อมาระหว่างทาง”
พอเห็นว่าในถุงเป็นกล่องช็อกโกแลตหรู หัวหน้าทีมชาที่ชื่นชอบของหวานก็ยิ้มกว้าง
“คุณอินซอบเนี่ยเป็นคนดีจริงๆ แถมเซ้นส์ก็ดีด้วย เดี๋ยวกลับมานะ”
พอหัวหน้าทีมชาหายลับตาไป อินซอบก็เดินไปหาคิมจุนซอที่หัวหน้าทีมชาสั่งให้ดูแล และผงกหัวให้เบาๆ จากนั้นก็หาที่ว่างแถวๆ นั้นนั่ง
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ ได้ยินว่าลาออกแล้ว”
หนึ่งในสตาฟที่เขาคุ้นหน้าเนื่องจากเคยเข้ามาหลายครั้งเพราะอีอูยอนเดินเข้ามาทักทาย อินซอบลุกขึ้นและทักทายว่า “สวัสดีครับ” อย่างมีมารยาท
“รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมก็ไปแล้ว”
อินซอบโบกมือปฏิเสธและนั่งลงอีกครั้ง ถือว่าโชคดีที่คิมจุนซอที่หัวหน้าทีมชาสั่งให้ดูเอาแต่สนใจโทรศัพท์มือถือในขณะที่ทำผม อินซอบรู้สึกโล่งใจและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
[อยู่ไหนครับ]
เขาส่งคำตอบกลับไปทันทีหลังจากที่ได้อ่านข้อความของอีอูยอน
[อยู่แถวๆ บริษัทครับ ผมแวะมาแป๊บหนึ่ง เพราะมีเอกสารที่หัวหน้าทีมไหว้วาน]
ผ่านไปไม่นานก็มีสายเรียกเข้า อีอูยอนนั่นเอง อินซอบรับโทรศัพท์ด้วยเสียงที่ลดให้เบาที่สุด
“ครับ ชเวอินซอบครับ”
[มีคนอยู่เยอะไหมครับ]
“ครับ มีนิดหน่อย”
แม้จะไม่มีคนอยู่ข้างๆ แต่สตาฟสองสามคนก็กำลังเดินไปเดินมาในระยะที่ไม่น่าจะได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์
[งั้นถ้าผมบอกว่าคิดถึงคุณอินซอบตอนนี้จะมีใครได้ยินไหม]
“…อาจจะได้ยินครับ”
อินซอบลูบแก้วที่ร้อนผ่าวพลางเอ่ยตอบ
[เฮ้อ งั้นก็บอกว่าคิดถึงไม่ได้สินะ ใช่ไหมครับ]
อินซอบหน้าแดง และตอบไปว่า “ครับ ไม่ได้ครับ”
[งั้นถึงจะคิดถึง แต่ผมจะเก็บคำว่าคิดถึงไว้นะครับคุณอินซอบ]
เขาพูดคำว่าคิดถึงออกมาถึงสี่ครั้งแล้ว อีอูยอนพูดว่า “ผมที่คิดถึงอย่างหน้าไม่อายต้องทนไว้สินะ” พลางหัวเราะอย่างขี้เล่น
“…ผะ ผมเองก็จะทนเหมือนกันครับ”
พออินซอบพูดแบบนั้น เสียงหัวเราะที่ได้ยินจากปลายสายก็เงียบไป เขาพูดว่า “ฮัลโหล?” และมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือเพื่อเช็กว่าสายยังเชื่อมต่อดีอยู่หรือเปล่า
[บอกให้ทนหรือไม่ให้ทนกันแน่]
น้ำเสียงทุ้มต่ำของอีอูยอนดังขึ้นข้างหู เขารู้สึกว่าความร้อนพุ่งขึ้นมาจากใบหู อินซอบจึงก้มหน้าและใช้มือปิดหน้าเอาไว้
[แล้วคุณอินซอบเงินเดือนขึ้นเมื่อไรเหรอครับ]
“เงินเดือนอะไรเหรอครับ”
[คุณอินซอบยังทำงานที่บริษัทของผมอยู่ไม่ใช่เหรอครับ ผมนึกว่าเป็นแบบนั้นซะอีก เพราะคุณทำงานให้บ่อยมาก]
“…แค่ช่วยทำธุระให้ไม่กี่ครั้งเองกครับ”
[ไม่จ่ายเงินด้วยเหรอครับ คงต้องแจ้งกรมแรงงานแล้วล่ะ]
อินซอบยังคงแยกไม่ค่อยออกว่าอีอูยอนกำลังพูดจริงหรือพูดเล่น เขาลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดว่า “อย่าแจ้งนะครับ”
[อืม แล้วแต่คุณอินซอบเลย]
น้ำเสียงของปลายสายเต็มไปด้วยความซุกซน อีกฝ่ายต้องยิ้มจนตาหยีอยู่แน่ๆ
เพราะความคิดที่ว่าจะได้เจอคนคนนี้ในไม่ช้า อินซอบจึงอารมณ์ดีราวกับโกหก
[ดูเหมือนผมจะเสร็จเร็วกว่าที่คิด เดี๋ยวผมจะไปแถวๆ นั้นนะครับ]
“เข้าใจแล้วครับ…แล้วเจอกันครับ”
[อื้อ แล้วเจอกันนะ]
หลังจากที่คุยโทรศัพท์เสร็จ อินซอบก็ถูใบหูที่ร้อนผ่าวอยู่หลายครั้งโดยไม่จำเป็น ในตอนนั้นเองเขาก็ตระหนักได้ว่าตรงหน้าว่างเปล่า คิมจุนซอหายไปแล้ว
“อ๊ะ!”
อินซอบรีบลุกจากที่นั่ง ทั้งที่เขามีหน้าที่แค่จับตาดูแท้ๆ แต่กลับคลาดสายตาในชั่วพริบตา
“เห็นคุณคิมจุนซอบ้างไหมครับ เมื่อกี้เขายังอยู่ตรงนี้อยู่เลย”
อินซอบคว้าสตาฟที่เดินผ่านมาไว้และเอ่ยถาม
“ไม่ค่ะ ไม่เห็น”
อินซอบเหงื่อตกด้วยความกระวนกระวาย ในระหว่างที่คิดว่าต้องโทรศัพท์หาหัวหน้าทีมชาไหม ดีไซน์เนอร์ที่เดินผ่านมาก็จำอินซอบได้และพูดคุยด้วย
“เหมือนคุณคิมจุนซอจะไปทางบันไดหนีไฟด้านโน้นมั้งคะ”
“ขอบคุณครับ!”
อินซอบรีบกล่าวขอบคุณ และวิ่งไปทางบันไดหนีไฟ พอเปิดประตูฉุกเฉิน เขาก็สบตากับคิมจุนซอที่กำลังนั่งยองๆ สูบบุหรี่อยู่
“อ้าว…แหะๆๆ”
คิมจุนซอหัวเราะเจื่อนๆ และลุกขึ้น อินซอบรีบเดินไปแย่งบุหรี่และมองรอบๆ หากความลับถูกเปิดเผย จะเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับนักแสดงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
“สูบแค่มวนเดียวก็ไม่ได้เหรอครับ”
“ครับ ไม่ได้เด็ดขาดครับ”
“อย่าเป็นแบบนี้เลยครับ ช่วยเก็บเป็นความลับกับหัวหน้าทีมชาทีเถอะนะ ขอผมสูบแค่มวนเดียว…”
“ไม่ได้ รีบเข้าไปเถอะครับ”
คิมจุนซอจิ๊ปากอย่างไม่พอใจก่อนจะล้วงมือเข้ากระเป๋า อินซอบรีบค้นกระเป๋าของเขาและเจอซองบุหรี่
“ผมจะเอาให้หัวหน้าทีม แล้วปีหน้าค่อยมาเอาคืนนะครับ”
“โอ๊ย เข้มงวดชะมัด”
อินซอบทำให้คิมจุนซอที่บ่นอู้อี้นั่งลง และถอนหายใจอย่างโล่งใจ เป็นคนที่ละสายไปไม่ได้แม้แต่นิดเดียวจริงๆ ด้วย พอนึกถึงหัวหน้าทีมชาที่ยิ้มกว้างและบอกว่าถ้าเทียบกับอีอูยอนแล้วก็เป็นแค่หมากฝรั่ง เขาก็รู้สึกปวดใจ พอมาลองคิดๆ ดูแล้วในช่วงไม่กี่ปีมานี้ผมหงอกของหัวหน้าทีมชาเหมือนจะเพิ่มขึ้นมาก ริ้วรอยของกรรมการผู้จัดการคิมก็ด้วย…
“ขอนั่งข้างๆ สักเดี๋ยวนะครับ”
“อ๋อ ครับ เชิญนั่งเลยครับ”
เสียงที่เอ่ยขออนุญาตทำให้อินซอบรีบเก็บข้าวของของตัวเองเพื่อทำให้มีที่ว่าง
“ขอบคุณครับ”
“ไม่…เฮือก”
อินซอบทำบุหรี่ที่ถืออยู่หล่นด้วยความตกใจ ซอแจฮาที่นั่งข้างๆ มองอินซอบด้วยสีหน้าสงสัย ตอนเจอกันในลิฟต์ก็เป็นแบบนี้ เพราะเพิ่งเจอกันครั้งแรก แต่การตกใจขนาดนี้ถึงสองรอบเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่บ่อย อินซอบใช้มือที่สั่นเทาเก็บบุหรี่ที่ตกลงพื้นทีละมวน
“ผมก็สูบเหมือนกัน”
ซอแจฮาเก็บบุหรี่มวนหนึ่งที่ตกอยู่ตรงปลายเท้าของตัวเองให้และชวนคุย
“ขะ ขอบคุณครับ”
อินซอบรีบรับบุหรี่มา เขาคิดว่าคงต้องซื้อบุหรี่ใหม่ให้หัวหน้าทีมชา และเก็บซองบุหรี่เข้ากระเป๋า
ซอแจฮาที่นั่งอยู่ข้างๆ อ่านนิตยสารและรอให้ถึงคิวของตัวเอง แม้จะรู้ว่าทำแบบนั้นไม่ได้ แต่อินซอบก็ยังมองซอแจฮา
อีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มที่หล่อเหลา ทั้งยังมีรูปร่างเหมือนนายแบบกับรูปลักษณ์ที่อ่อนโยนและอบอุ่น เห็นแค่ครั้งเดียวก็รู้แล้วว่าทำไมเขาถึงเป็นดาราหน้าใหม่ที่ได้รับความสนใจ แต่ถึงอย่างนั้นอีอูยอนก็…ไม่นะ เราเป็นใครถึงได้เปรียบเทียบและตัดสินคนจากรูปลักษณ์นอก แต่อีอูยอนก็…
“หน้าผมมีอะไรเปื้อนเหรอครับ”
“ครับ?”
“ก็คุณมองผมบ่อยๆ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
“ขอโทษครับ คือ…”
อินซอบไม่สามารถพูดออกไปได้ว่าที่เป็นแบบนั้นเพราะต้องหาส่วนที่อีกฝ่ายดีกว่าอีอูยอน เขาจึงตอบด้วยเสียงเบาๆ ว่า “เพราะคุณหล่อครับ…”
“ฮ่าฮ่า ขอบคุณครับ ถึงจะเป็นการชมตามมารยาท แต่ผมก็รู้สึกดีนะครับ”
“ไม่ครับ คุณหล่อจริงๆ ครับ”
แม้อีอูยอนจะหล่อกว่าก็ตาม…