ดูเหมือนว่าการขอให้คุณชายรองเฮยช่วยเตรียมแผนสำรองเอาไว้ให้นางจะเป็นความคิดที่ถูกต้องแล้ว
นางไม่อยากเห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางด้วยสายตาเหมือนเห็นสัตว์ประหลาด
เช่นนั้นนางคงรู้สึกอึดอัดน่าดู
เพียงแต่ต้องรอให้นางแก้แค้นสำเร็จเสียก่อน จากนั้นนางจึงจะสามารถไปจากที่นี่ได้
เสียงผู้หญิงนั่นเป็นเสียงของใครกัน
แล้วยังเรื่องพลังปราณที่อยู่ในร่างของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์อีก
นางจะต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำมือเข้าหากันช้าๆ ใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของเฮ่อเหลียนน่าเยว่ที่กำลังขยับริมฝีปากซ้อนทับกับภาพใบหน้าผู้เป็นมารดาของนาง
ในตอนนั้นเอง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกได้ถึงคลื่นแห่งความเกลียดชังที่ปะทุขึ้นมา!
ฆาตกรตัวจริงคือเฮ่อเหลียนกวงเย่า!
เฮ่อเหลียนเวยเวยสูดหายใจเข้าลึก ข่มอารมณ์มากมายที่กำลังทะลักออกมา นางหันหน้าไปอีกทาง แล้วสายตาของนางก็หยุดลงที่หนังสือโบราณซึ่งวางอยู่บนเสื้อคลุมตัวยาวของนาง
“เจ้ามองอะไรอยู่หรือ”
เสียงลึกล้ำนั้นดังขึ้นข้างหูของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับมาได้สติอีกครั้ง ”อะไรนะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้ดวงตาเรียวของตัวเองมองนาง ดูราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุไปถึงความคิดของนางได้ ”เจ้าเอาแต่จ้องเสื้อคลุมของตัวเองมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ในนั้นมีอะไรอยู่หรือ”
“ก็แค่หนังสือเก่าๆ เล่มหนึ่ง” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วหยิบสิ่งนั้นขึ้นมา ”ข้าใช้มันเพื่อฝึกฝนพลังปราณ ท่านอยากลองอ่านดูไหม”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้น แล้วจัดเสื้อผ้าของตนด้วยท่วงท่าอันงดงาม น้ำเสียงของเขายังคงไว้ซึ่งความสง่างามและเย็นชา แต่มันกลับทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวแข็งทื่อ
เขาเอ่ยว่า ”เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้ากำลังปิดบังอะไรจากข้ากันแน่”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทิ้งคำพูดของตนเอาไว้แล้วเดินจากไป ความเยือกเย็นที่ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะจางหายไปนั้นทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกสับสนขึ้นมาทันที
“แม่นาง” หยวนหมิงอ้าปากพูดอย่างเกียจคร้าน ”เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่าเขาฉลาดยิ่งนัก แล้วเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้ใช้อุบายกระจอกๆ พรรค์นั้นมาตบตาเขา”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ ”เจ้าต่างหากที่กำลังตบตาข้าอยู่ เจ้ารู้เรื่องตราทัพดีอยู่แล้วสินะ ทำไมเจ้าถึงไม่บอกข้าล่ะ”
“เอ่อ…” หยวนหมิงเสมองไปรอบๆ ”ข้าคิดว่าเจ้ายังเด็กเกินไป มันยังไม่ถึงเวลาอันสมควรที่เจ้าจะได้รู้ความจริง แล้วเจ้าเองก็ลืมเรื่องนั้นไปแล้วมิใช่หรือ ในเวลานั้นท่านแม่ของเจ้าหวังเพียงให้เจ้ามีชีวิตที่ดีเท่านั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดริมฝีปากบางของตน ”หยวนหมิง ข้าขอพูดให้ชัดเจนว่าข้าเป็นเจ้านายของเจ้า และไม่ว่าจะเหมาะสมหรือไม่ คนที่จะตัดสินเรื่องนั้นคือข้าเอง”
“ก็ได้” หยวนหมิงยักไหล่ ”ตราทัพนั่นถูกเขียนเอาไว้ในหนังสือโบราณเล่มนี้ แต่เจ้าจะไปหากองกำลังลับนั้นได้อย่างไร แม้แต่ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเปิดหนังสือโบราณเล่มนั้น นิ้วของนางหยุดลงที่ภาพวาดในหน้าที่สี่ จากนั้นนางจึงพูดขึ้นมาเสียงเบาว่า ”ต้องมีวิธีที่จะหาตัวพวกเขาแน่นอน” เฮ่อเหลียนเวยเวยคงไม่มั่นใจถึงเพียงนี้หากคนที่นางต้องหานั้นเป็นคนอื่น แต่ในเมื่อพวกเขาเป็นทหารรับจ้าง นางจึงพอจะนึกออกว่าจะใช้วิธีใดเข้าหาพวกเขาได้บ้าง
ยิ่งกว่านั้น จะมีก็แต่เพียงคนที่ทำงานในสายงานเดียวกันเท่านั้นที่จะร่วมมือกัน และเข้าใจกันได้เป็นอย่างดี
หลังจบการแข่งขันประลองยุทธ์ ผู้อาวุโสห้วนก็เขียนจดหมายมาหานางติดกันถึงสองฉบับเพื่อขอให้นางเข้าร่วมกับหน่วยพิฆาตวิญญาณ
ก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่ารำคาญ นางถึงได้ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมไป แต่ตอนนี้…
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยวางหนังสือโบราณเล่มนั้นลง ดวงตาของนางก็ทอแสงเป็นประกายเล็กน้อย ”พรุ่งนี้เราจะกลับไปที่สำนักกัน”
“ดี ดียิ่งนัก” หยวนหมิงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ”เจ้าไม่ได้ลงสนามสู้มานานมากแล้ว อาหารของข้าจวนจะหมดเต็มที”
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งสายตาเรียบเฉยให้กับเขา แล้วทันใดนั้นนางก็คว้าหูของเขาเอาไว้ ”หยวนเสี่ยวหมิง เจ้าบอกข้ามาตามตรงดีกว่าว่ามีอะไรที่เจ้ายังไม่ได้บอกข้าอยู่อีกหรือเปล่า”
“ไม่มีแล้ว ข้าพูดจริงๆ นะ นอกจาก…” หยวนหมิงเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปยังเสาที่ตั้งอยู่กลางห้อง จากนั้นจึงเอ่ยว่า ”นอกจากเรื่องที่เจ้าต้องเสพสังวาสกับองค์ชายสามเดือนละหนึ่งครั้ง ข้าก็พูดทุกเรื่องที่จำเป็นต้องพูดออกมาหมดแล้ว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตา ”เสพสังวาสหรือ มันคงไม่ใช่อย่างที่ข้าคิดหรอกใช่ไหม”
หยวนหมิงยังคงมองไปที่เสาต้นนั้น เขาไม่ตอบอะไร
เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้สายตาเย็นชามองเขา สีหน้าราวกับกำลังคิดว่าหูข้างไหนของเขาจะอร่อยกว่ากัน
หยวนหมิงยิ้มอย่างชั่วร้าย ”ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าพลังเวทคืออะไร ทุกอย่างย่อมมีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ”
“ทุกเดือนหรือ แล้วเหลืออีกกี่เดือนกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยใจเย็นลงแล้ว นางกำลังไตร่ตรองถึงปัญหานี้อยู่
ความชื่นชมวาบขึ้นในดวงตาของหยวนหมิงก่อนจะหายไป ”เจ้าไม่ต้องกังวล มันไม่ได้ยาวนานถึงเพียงนั้นหรอก แค่สามเดือนเท่านั้น รับรองว่ามันจะไม่ไปขัดขวางแผนการของเจ้าแน่นอน หากดูจากความถี่ที่พวกเจ้าหลับนอนด้วยกันแล้ว ครั้งต่อไปน่าจะใช้เวลาประมาณสองวันกระมัง”
“เช่นนั้นก็ดี! ถ้าวันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ เจ้าก็มัดข้าแล้วโยนลงในบ่อน้ำไปเลยก็แล้วกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดหน้าตาย
คิ้วของหยวนหมิงขมวดเข้าหากัน ”แม่นาง เจ้าตั้งใจจะฆ่าตัวตายหรือ แล้วก็อีกอย่าง การเสพสังวาสเองก็มีประโยชน์ต่อองค์ชายสามเหมือนกัน ยิ่งกว่านั้น ถึงไม่บอกเจ้าก็คงรู้อยู่แล้วว่าการฝึกฝนพลังเวทนั้นย่อมให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ายาที่เจ้ากำลังกินอยู่เป็นไหนๆ เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะสามารถเอาตัวรอดไปได้”
“เติมน้ำแข็งลงไปในบ่อด้วยก็แล้วกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยโยนคำพูดนั้นทิ้งเอาไว้ แล้วเริ่มลงมือเก็บข้าวของ ลึกลงไปในใจนั้นนางตัดสินใจได้แล้วว่าจะฝึกฝนการต้านฤทธิ์ยาให้กับร่างนี้ เริ่มจากตัวยาที่มีฤทธิ์อ่อนก่อน หลังจากทดสอบได้สักเดือนก็คงจะพอมีผลลัพธ์ออกมาให้เห็นบ้างกระมัง
หยวนหมิงมองนาง รอยยิ้มของเขากว้างมากขึ้นเรื่อยๆ เขาต้องยอมรับว่านางเป็นเจ้านายที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมาเลยทีเดียว
แต่พลังเวทนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถลบล้างกันได้ง่ายๆ
เพียงแต่ว่า
เมื่อครู่ตอนที่นางมีอาการปวดหัว ทำไมเขาถึงได้รู้สึกราวกับว่าในร่างของนางมีวิญญาณอีกดวงอยู่กัน
หยวนหมิงหลุบตาลง เรื่องนี้ดูจะไม่เข้าทีเสียแล้ว…
นอกหน้าต่าง ฝนกำลังตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำลงมาอย่างหนักนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่คิดที่จะใช้ร่มแม้แต่น้อย แต่กระนั้นกลับไม่มีฝนสักหยดตกกระทบกับร่างของเขาเลย
เขายืนอยู่เพียงผู้เดียวท่ามกลางสายฝน แขนเสื้อยาวสะบัดพลิ้ว เสื้อคลุมสีขาวม้วนน้อยๆ ขณะที่เขาย่างเท้าเดินออกไปโดยไม่ได้รับผลกระทบจากสายฝนเหล่านั้น
ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขา นอกจากกิเลนอัคคีที่สามารถมองเห็นได้รางๆ อยู่ด้านหลัง
“นายท่านขอรับ ตอนที่นางบอกว่านางใช้หนังสือโบราณเล่มนั้นฝึกฝนพลังปราณ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องจริงนะขอรับ” กิเลนอัคคีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมุนแหวนหยกสีดำในมืออย่างใจลอย ”ข้ารู้”
“เช่นนั้น นายท่าน...” กิเลนอัคคีอ้าปาก
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับตัดบทเขา ”เรื่องที่ข้าสั่งให้เจ้าไปตรวจสอบไปถึงไหนแล้ว”
“ยังมีการล่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่เหมือนเคยขอรับ เพียงแต่ทุกวันนี้มันกลับทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ” กิเลนอัคคีเงยหน้าขึ้นมองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”พวกเขาต้องการจะเป็นอมตะขอรับ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแค่นหัวเราะ และเอ่ยทวนคำพูดนั้นราวกับล้อเลียน ”อมตะหรือ”
“ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัดขอรับว่าใครเป็นคนทำให้พวกเขาคิดเช่นนี้” กิเลนอัคคีถอนหายใจ ”แต่นายท่านขอรับ ตอนที่ท่านอัญเชิญข้าออกมาในวันอภิเษกสมรส พวกเขาคงสังเกตเห็นแล้วว่าวิญญาณของท่านยังไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ข้าเกรงว่า…”
“เช่นนั้นก็ให้พวกมันเข้ามา” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกริมฝีปากบางของตน เผยเสน่ห์อันชั่วร้ายชวนให้ตกตะลึงออกมา ”ช่วงนี้ข้าก็บังเอิญคันไม้คันมืออยู่พอดี ข้าพร้อมสอนบทเรียนให้ผู้คนอยู่แล้ว โดยเฉพาะกับคนสกุลถัง”
กิเลนอัคคีขานรับพร้อมกับคิดในใจเงียบๆ ว่า สาเหตุมาจากความอยากครอบครองอีกฝ่ายเอาไว้เป็นของตัวเองอย่างที่เขาคิดไม่มีผิด!
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ระหว่างการเดินทางกลับไปที่สำนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกม่านรถม้าขึ้น แล้วก็เห็นว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นเปลี่ยนมาสวมชุดเสื้อสีขาวและเสื้อคลุมสีเขียวของสำนักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขายกมือเท้าคางอย่างเกียจคร้านขณะนอนตะแคงอยู่บนฟูกนุ่มๆ ภายในรถม้า เขาถือม้วนกระดาษเก่าๆ ที่ตั้งใจจะศึกษาเอาไว้ในมือ
ทันใดนั้นเองเฮ่อเหลียนเวยเวยก็นึกขึ้นมาได้ว่านางยังไม่ได้อ่านหนังสือที่อาจารย์มอบหมายให้เลยแม้แต่เล่มเดียว
แต่ช่างมันเถอะ นางเชื่อว่าองค์ชายสามต้องเคยอ่านมันมาแล้วแน่ๆ เขาเต็มไปด้วยบรรยากาศของบัณฑิตคงแก่เรียนถึงเพียงนี้ ดังนั้นคงไม่มีทางหรอกที่เขาจะไม่ได้อ่านเรื่องพวกนั้นมาก่อน
ระหว่างที่คิดเช่นนั้น นางก็หันหน้าไปมองเขา ทันใดนั้นนางก็เห็นว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเองก็กำลังจ้องมองนางอยู่..