ตอนที่ 304 หลินเพ่ยขโมยของ
ยังไม่ทันรู้ตัวก็มืดค่ำแล้ว ท้องถนนสว่างไสวไปด้วยแสงไฟหลากสีสัน
หลินเพ่ยที่ไม่ได้กินอาหารเลยตลอดทั้งวันยังคงเดินเตร่ไปตามข้างทางเหมือนสุนัขจรจัด ลากฝ่าเท้าหนัก ๆ ไปตามถนน ยังไม่ละความพยายามที่จะเรียกร้องความสงสาร หวังให้คนใจดีสักคนช่วยแบ่งปันอาหารให้
แต่จนแล้วจนรอดกลับไม่มีคนใจดีอย่างที่หล่อนคาดหวังเลย
ในที่สุดหล่อนก็ฝืนสังขารเดินต่อไม่ไหว ทรุดตัวลงนั่งแถวไซต์งานก่อสร้างด้วยความอ่อนแรง เอนหลังพิงต้นไม้ด้วยสีหน้าอ่อนล้า จ้องมองแรงงานต่างถิ่นคนหนึ่งที่นั่งยอง ๆ กินข้าวอยู่กับพื้นไม่ไกลโดยไม่กะพริบตา
ในที่สุดความหิวโหยจนแทบทนไม่ได้ของหล่อนก็ดึงดูดความสนใจจากคุณลุงแรงงานต่างถิ่นคนนั้น
คุณลุงท่าทางใจดีเดินเข้ามาถามไถ่ด้วยความอาทร “สาวน้อย นี่ก็มืดค่ำแล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมกลับบ้านอีก?”
หลินเพ่ยพ่นคำโกหกออกมาทันทีที่มีโอกาสได้อ้าปาก
หล่อนบีบน้ำตาร้องไห้โฮ “ฉันไม่กล้ากลับบ้าน ถ้าฉันกลับไป แม่เลี้ยงกับน้อง ๆ ต้องทุบตีฉันจนตายคามือแน่ ๆ”
คุณลุงถามต่ออย่างนึกเห็นใจ “แม่เลี้ยงของเธอรังแกเธอถึงขนาดนี้ แล้วพ่อเธอไม่ยอมทำอะไรเลยเหรอ?”
หลินเพ่ยร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยนเหมือนเสียใจมาก ไม่ยอมตอบกลับอะไร เป็นเพราะหล่อนรู้ดีว่ายิ่งทำแบบนี้ยิ่งดูน่าสงสาร
คุณลุงถาม “เธอกินข้าวหรือยัง ถ้ายังไม่ได้กินอะไร งั้นกลับไปกินข้าวกับพวกเราไหม?”
ภรรยาของคุณลุงคนนี้เป็นแม่ครัวประจำไซต์งานก่อสร้าง
หลินเพ่ยเดินตามคุณลุงเข้าไปในเขตไซต์งานก่อสร้าง จนมาถึงกระท่อมแห่งหนึ่ง
หญิงบ้านนอกวัยกลางคนที่มีรูปร่างอ้วน หน้าตาธรรมดาดาษดื่นกำลังซักผ้าอยู่ใต้ก๊อกเตี้ย
คุณลุงพูดกับหญิงวัยกลางคนคนนั้น “แม่จ๊ะ แม่มีอาหารเหลืออยู่หรือเปล่า ถ้ามี ขอแบ่งให้ผู้หญิงคนนี้กินสักชามเถอะ”
หญิงวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมองหลินเพ่ย พูดพลางขมวดคิ้ว “ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร?”
“ฉันไม่รู้จักหล่อนหรอก แค่บังเอิญเจอหล่อนนั่งอยู่นอกไซต์งาน หล่อนเล่าให้ฟังว่าเพิ่งถูกแม่เลี้ยงไล่ออกจากบ้าน น่าสงสารมากเลย”
“โดนแม่เลี้ยงไล่ออกจากบ้านเนี่ยนะ?” น้ำเสียงของหญิงวัยกลางคนเต็มไปด้วยความสงสัย ทำให้หลินเพ่ยรู้สึกอึดอัดมาก
คุณลุงเริ่มหมดความอดทน ขึ้นเสียงกับอีกฝ่าย “ฉันบอกให้เธอแบ่งข้าวให้เธอสักชามหนึ่ง เธอทำซะก็จบแล้ว ทำไมถึงเอาแต่พูดมากอยู่ได้!”
หญิงวัยกลางคนนึกรำคาญเช่นกัน “ข้าวหมดแล้ว จะให้ฉันฆ่าคุณแล้วแล่เนื้อมาตุ๋นให้หล่อนกินรึไง?”
คุณลุงโมโหจนหน้าดำหน้าแดง เดินค้นข้าวของไปรอบ ๆ เพิงพัก แต่พบว่าไม่มีอาหารเหลืออยู่เลยจริง ๆ
ดังนั้นเขาจึงต้องต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหม้อใหญ่ให้หลินเพ่ยด้วยตัวเอง แถมยังใส่ไข่ลวกเจ็ดแปดฟองลงไปในหม้อต้มบะหมี่ขนาดใหญ่
หญิงวัยกลางคนกลอกตาพลางพูดประชดประชัน “ตอนที่ฉันป่วย ไม่เห็นคุณต้มบะหมี่ใส่ไข่ลวกให้ฉันเลยสักชาม?”
คุณลุงพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “เธออายุตั้งเท่าไหร่แล้ว เทียบกับเด็กสาววัยกำลังโตได้ด้วยหรือ?”
หญิงวัยกลางคนหันไปมองหลินเพ่ย “เด็กสาววัยกำลังโตรึ? ทำไมถึงได้ดูไม่เหมือนเลยล่ะ?”
คุณลุงไม่สนใจภรรยาของตัวเองอีก คิดว่าหล่อนเอาแต่หาเรื่องไม่จบสิ้น จึงหันไปพูดกับหลินเพ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “รีบกินตอนที่มันยังร้อน ๆ เถอะ”
หลินเพ่ยหิวจัด บะหมี่ชามยักษ์ถูกหล่อนสวาปามจนหมดภายในพริบตา แถมยังเรอออกมาเสียงดังเหมือนพายุจะถล่ม
คุณลุงมองหล่อนด้วยสายตาเวทนาสงสาร แต่คุณป้ามองหล่อนด้วยสายตารังเกียจ ด้วยไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนกินข้าวคำโตอย่างมูมมามเหมือนหมูในเล้ามาก่อน
ในขณะที่หลินเพ่ยกินบะหมี่อยู่นั้น คุณป้าก็จัดข้าวของในเพิงที่สองสามีภรรยาพักอาศัยอยู่ให้เป็นระเบียบ เตรียมตัวจะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า
ไม่วายหันไปพูดกับคุณลุงด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ถ้าผู้หญิงคนนี้กินเสร็จเมื่อไหร่ ก็ไล่หล่อนกลับบ้านไปซะ!” จากนั้นก็ออกไปซื้อของที่ตลาดกลางคืนกับคนงานหญิงอีกสองสามคนในไซต์งานเดียวกัน
เมื่อแรงงานต่างถิ่นได้เข้ามาทำงานในเมือง พวกเขาก็ยอมทุ่มเทแรงกายไม่อั้น แต่สิ่งที่ไม่ยอมเสียโดยเปล่าประโยชน์ก็คือเงิน
คนงานหญิงเหล่านี้ออกไปตลาดกลางคืนก็จริง แต่พวกหล่อนแค่ไปเดินเล่น ไม่ได้ตั้งใจจะซื้ออะไรเป็นพิเศษ
ถึงคุณลุงจะไม่ค่อยพอใจกับทัศนคติของภรรยาที่มีต่อหลินม่าย แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะชวนหล่อนพักที่ไซต์งานก่อสร้างอยู่แล้ว
ไซต์งานก่อสร้างส่วนใหญ่มีคนงานชายมากกว่าคนงานหญิง เพิงพักหนึ่งมีคนงานหญิงสองสามคนพักอยู่ด้วยกัน ส่วนเพิงพักอีกสองสามหลังเป็นคู่สามีภรรยา
ถึงแม้เขาอยากชวนหลินเพ่ยพักค้างคืนที่นี่ก่อน แต่คนงานหญิงพวกนั้นจะยอมให้คนแปลกหน้าเข้าไปนอนเบียดในเพิงที่มีขนาดเล็กเท่ารูหนูหรือ?
ดังนั้นเขาจึงต้องไล่หล่อนกลับบ้าน
หลินเพ่ยเดินไปได้ไม่ไกลนัก ซ่อนตัวอยู่แถว ๆ เพิงพักในไซต์งาน
ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้ การอยู่ในเพิงพักหลังมื้ออาหารเย็นจะยิ่งดึงดูดยุงให้มาตอมกัด
ผู้สูงวัยหลายคนจึงออกมาเดินเล่นอยู่ริมถนน ในขณะที่คนงานรุ่นหนุ่มสาวต่างออกไปโรงภาพยนตร์เพื่อดูภาพยนตร์ฮ่องกงและไต้หวัน
พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในไซต์งานก่อสร้าง หลินเพ่ยก็ฉวยโอกาสแอบเข้าไป
โชคไม่ค่อยเข้าข้างหล่อนเท่าไรนัก เพราะทันทีที่เข้าไป ก็เจอกับแรงงานต่างถิ่นคนหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ
อีกฝ่ายมองหล่อนตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่ไว้ใจ “เธอมาหาใคร?”
หลินเพ่ยบังคับตัวเองไม่ให้ตื่นเต้น “ฉันมาตามหาคุณลุงที่พาฉันเข้ามากินอาหารมื้อเย็นเมื่อกี้นี้”
ก่อนหน้านี้ตอนที่คุณลุงพาหลินเพ่ยเข้ามาในไซต์งาน แรงงานต่างถิ่นคนอื่น ๆ ต่างก็เห็น
พอได้ยินคำตอบ ความสงสัยในใจเขาก็คลายลง
หลินเพ่ยถอนหายใจยาว ฉวยโอกาสในขณะที่ทุกคนกำลังเผลอ แอบเข้าไปในเพิงพักเพื่อขโมยเงิน
อากาศร้อนขนาดนี้ แรงงานต่างถิ่นพวกนั้นไม่มีทางพกเงินติดตัวทุกวันแน่ พวกเขาต้องซ่อนเงินไว้ที่ไหนสักที่ในเพิงพักของตัวเอง
เพิงพักอาศัยไม่ได้ใหญ่อะไรมาก หลินเพ่ยไม่เชื่อว่าตัวเองจะหามันไม่เจอ
หล่อนตั้งใจว่าจะขโมยเงินออกมาให้ได้จำนวนหนึ่งแล้วหลบหนีไป
หล่อนไม่คิดจะกลับไปที่ชนบทอยู่แล้ว ดังนั้นจึงต้องมีเงินประทังชีวิตสักหน่อย เพื่อให้อยู่ในเจียงเฉิงต่อไปได้
แต่หลินเพ่ยค้นหาอยู่นาน กลับเจอเงินแค่ไม่กี่ร้อยหยวนเท่านั้น
พอผิดหวังจากเพิงพักหลังแรก ก็แอบเข้าไปในเพิงพักหลังถัดไป
หล่อนขโมยเงินที่คนงานซ่อนไว้ในเพิงพักหลายหลังติดต่อกัน สุดท้ายก็ได้เงินทั้งหมดรวมเจ็ดถึงแปดร้อยหยวน แถมยังขโมยไฟฉายกับวิทยุติดมือมาด้วย
หลินเพ่ยพอใจในผลงานของตัวเองมาก แต่ในขณะที่กำลังจะวิ่งหนีออกไป ก็เหลือบไปเห็นเพิงพักของคุณลุงและภรรยาของเขาที่อยู่ถัดไปหลังหนึ่ง
…ตอนนั้นหล่อนจำได้ว่าหญิงวัยกลางคนที่เป็นภรรยาของคุณลุง เดินเข้า ๆ ออก ๆ จากเพิงพักหลังนี้
ผู้หญิงคนนั้นแสดงความรังเกียจต่อหล่อนนักใช่ไหม?
ถ้าอย่างนั้นหล่อนจะขโมยเงินของอีกฝ่ายไปให้หมด ถือเสียว่าเป็นการแก้แค้น!
หลินเพ่ยก้าวถอยหลัง แอบเข้าไปในเพิงพักหลังนั้นทันที
ในขณะที่หล่อนกำลังคุ้ยตู้และขโมยของอยู่อย่างขะมักเขม้น ก็ได้ยินเสียงดุดันดังมาจากข้างหลัง “ทำอะไรของเธอ?”
หลินเพ่ยสะดุ้งสุดตัวด้วยความกลัวจนแทบเสียสติ หันกลับมาช้า ๆ ตัวแข็งทื่อ และเห็นหญิงวัยกลางคนกำลังจ้องเขม็งมองมาที่ตัวเอง
ข้าง ๆ หล่อนคือผู้หญิงอวบอ้วนร่างกายใหญ่โต คาดเดาว่าคงเป็นเพื่อนร่วมงานของอีกฝ่าย
หญิงอวบอ้วนคนนั้นตะคอกเสียงดังอย่างดูถูกเหยียดหยาม “จำเป็นต้องถามอีกเหรอ? เธอไม่เห็นหรือไงว่าหล่อนกำลังพยายามจะขโมยอะไรบางอย่าง?”
หลังจากพูดจบ หญิงอวบอ้วนก็เดินออกมาจากเพิงพัก แล้วร้องตะโกนเสียงดัง “จับหัวขโมยเร็ว มีหัวขโมยอยู่ที่นี่!”
ในไม่ช้า คนงานที่ไม่ได้ออกไปซื้อของหรือออกไปดูภาพยนตร์ก็กรูกันเข้ามา
หลายคนถามเสียงดังเซ็งแซ่ว่าเกิดอะไรขึ้น
หญิงอ้วนตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉานชัดเจน “ฉันกับพี่เฉาเพิ่งกลับมาจากซื้อของ เห็นผู้หญิงคนนี้กำลังคุ้ยกล่องที่อยู่ในตู้เก็บของในเพิงของพี่เฉาเข้าพอดี พอถามว่ากำลังทำอะไร หล่อนกลับให้คำตอบไม่ได้ หล่อนจะเป็นอะไรไปได้ถ้าไม่ใช่หัวขโมย?”
หลินเพ่ยแย้งทั้งน้ำตา “ฉันยังไม่ทันได้ตอบเลยด้วยซ้ำ คุณก็ทึกทักเอาว่าฉันเป็นหัวขโมยแล้ว ฉันยังไม่ได้ขโมยอะไรซะหน่อย”
หล่อนกัดริมฝีปากแล้วพูดตะกุกตะกัก “คะ… คุณลุงบอกให้ฉันมาที่นี่”
คุณป้าที่หญิงอ้วนเรียกว่าพี่เฉาจ้องมองหล่อนด้วยความสงสัย “สามีฉันบอกให้เธอมาที่นี่ เขาได้บอกหรือเปล่าว่าทำไม?”
หลินม่ายส่ายหน้าด้วยท่าทางไร้เดียงสา “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน…”
หล่อนแกล้งทำตัวไร้เดียงสาไปอย่างนั้น แต่คำตอบของหล่อนกลับชวนให้คิดไปไกล
ใครคนหนึ่งกระซิบกระซาบ “หรือสามีของพี่เฉาหลอกผู้หญิงคนนี้ให้เข้าไปในเพิงพักของตัวเองเพื่อทำเรื่องอย่างว่ากันนะ?”
“เป็นไปได้ ไม่งั้นก่อนหน้านี้เขาจะเต็มใจช่วยผู้หญิงคนนี้ขนาดนั้นเหรอ?”
พี่เฉาโกรธจนน้ำตาเล็ดเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยของคนงานคนอื่น ๆ พยายามมองหาสามีตัวเองเพื่อที่จะชำระบัญชี
บังเอิญเหลือเกิน สามีของพี่เฉาเห็นว่าประตูเพิงพักที่เขาอาศัยอยู่ร่วมกับภรรยามีคนงานมายืนรายล้อมอยู่เต็มไปหมด ก็เลยเดินเข้ามาถามด้วยความสงสัย “พวกนายมาทำอะไรกันที่นี่?”
พี่เฉากระโจนเข้าไปข่วนหน้าเขาทันที “แกยังกล้าถามอีกเหรอ! คนสารเลว ลูกชายแกอายุตั้งสิบเจ็ดจวนจะสิบแปดปีอยู่แล้ว ยังตัณหากลับอยากปล้ำสาวอีก ฉันจะฆ่าแกซะ!”
ชายวัยกลางคนพยายามขัดขืน “พูดบ้าอะไรของเธอ? ฉันอยากปล้ำสาวตั้งแต่เมื่อไหร่!”
คนงานคนอื่น ๆ รีบวิ่งเข้ามา พยายามห้ามปรามให้ทั้งสองหยุดทะเลาะกัน ระหว่างนั้นก็แยกสองสามีภรรยาไม่ให้ทำร้ายร่างกายกันด้วย
หลินเพ่ยเห็นว่าสบโอกาสแล้ว รีบลุกวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
แต่วิ่งไปได้ไม่ไกลนัก หญิงอวบอ้วนก็เหลือบไปเห็นเข้า
หล่อนร้องตะโกนดังลั่น “ทุกคนหยุดตะลุมบอนกันได้แล้ว นังสารเลวนั่นกำลังจะหนี!”
ขณะเดียวกัน ใครคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมาว่า “ของในเพิงฉันหายไป!”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
จะหนีทันไหมนะ รอดไม่รอด?
ทุกคนอย่าเพิ่งทะเลาะกัน มาจับขโมยก่อน
ไหหม่า(海馬)