บทที่ 289 นึกกลัวขึ้นมาทีหลังเหลือคณา ที่ยังมีชีวิตอยู่นับว่าโชคดีมากแล้ว!
ก่อนหน้าที่ท่านเซียนเตือนเขา ผู้อาวุโสเก้ายังมีความฉงนนิดหน่อย
ถึงอย่างไรเมื่อครั้งต้อนรับท่านเซียน เขามิได้กล่าวถึงฐานะท่านเซียน หรือเปิดเผยตัวตนของท่านเซียน เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ท่านเซียนยังคงเป็น ‘ท่านเซียน’
จริง ๆ แล้วท่านเซียนไม่จำเป็นต้องจงใจเตือนเขาอีกเป็นครั้งที่สอง…
เพราะอย่างนั้น ยามที่ท่านเซียนเอ่ยเตือนเขาในพระราชวัง เขาถึงงุนงงไปนิดหน่อย
ทว่าบัดนี้ได้ฟังคำอธิบายทั้งหมดของแม่เฒ่าตระกูลหานแล้ว เขาพลันถึงบางอ้อ ท่านเซียนจงใจเตือนก็เพื่อสถานการณ์อย่างตอนนี้ เพื่อมิให้เขาเผลอเปิดเผยความจริงต่อพวกแม่เฒ่าตระกูลหาน!
หยั่งรู้ก่อนกาล ท่านเซียนเก่งฉกาจจริง ๆ!
ผู้อาวุโสเก้ามิได้พูดจา ฟังแม่เฒ่าตระกูลหานกล่าวต่อ
สถานการณ์อย่างตอนนี้ เขาจำต้องอธิบายไปบ้าง ไม่สามารถอุบเงียบไม่บอกอะไร
ทว่าบัดนี้ เขาไม่รู้สึกประหม่าอีกต่อไป
ในการคาดการณ์ของแม่เฒ่าตระกูลหาน ฐานะของท่านเซียนคือ ‘ปุถุชน’ เขาย่อมไม่มีความจำเป็นต้องกังวลอีก
ตราบใดที่ฐานะ ‘ปุถุชน’ ของท่านเซียนไม่เปลี่ยน เรื่องทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา ฐานะของผู้อื่นมิได้สลักสำคัญแต่อย่างใด
“ผู้ฝึกตนหญิงสองคน คนหนึ่งชื่ออันหลานเสวี่ย คนหนึ่งชื่อเซี่ยเหยียน”
แม่เฒ่ากล่าวต่อ “อันหลานเสวี่ยมาจากพรรคจื่อเสีย ระยะนี้พลังเพิ่มพูนอย่าผิดวิสัย บัดนี้ก้าวสู่ขอบเขตพรตเต๋าแล้ว!”
“ด้วยรากฐานของพรรคจื่อเสีย อันหลานเสวี่ยไม่มีทางยกระดับพลังได้ไวขนาดนี้ เด็กแปดคนได้รับสมัครจากยอดนิกาย ทว่าเบื้องหน้ายังฝึกฝนอยู่ในพรรคจื่อเสีย อันหลานเสวี่ยก็อยู่ในพรรคจื่อเสีย คิดแล้วคงได้รับการบำเหน็จบำนาญจากยอดนิกาย และด้วยเหตุนี้ อันหลานเสวี่ยถึงพัฒนาฝีมือได้ว่องไวยิ่ง!”
แม่เฒ่ากล่าวต่อ “ผู้ฝึกตนหญิงอีกคนชื่อเซี่ยเหยียน มาจากสำนักไท่หัว พลังของนางพัฒนาได้ผิดวิสัยยิ่งกว่า บัดนี้ก้าวเข้าขอบเขตเทวาแล้ว!”
“ระดับขอบเขตเทวานี้ อย่าว่าแต่ในเหยียนโจวเลย ทั้งดินแดนหยินก็มีอยู่ไม่กี่คน ขอบเขตเทวาวัยเยาว์อย่างเซี่ยเหยียนยิ่งแทบไม่มี!”
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เซี่ยเหยียนเป็นเหมือนเด็กแปดคนนั้น ถูกยอดนิกายรับเข้าเป็นพรรคพวก และได้รับการอบรมบ่มเพาะอย่างดี!”
ที่นางสาธยายมาทั้งหมด ก็เพื่อได้รับการยืนยันจากผู้อาวุโสเก้า
ถึงอย่างไรเรื่องราวเหล่านี้เป็นเพียงการคาดเดาของพวกเขาเท่านั้น ไม่มีหลักฐานแต่อย่างใด
“ส่วนแมวน้อยสีขาวตัวนั้น สายเลือดในตัวมันน่าตกตะลึงยิ่ง ไม่ด้อยไปกว่าลูกหลานสิบอสูรร้ายเลย หรืออาจแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ!”
แม่เฒ่ามองผู้อาวุโสเก้าขณะเอ่ย “ในยุคโบราณ สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักเทียนหยวนจุติ บรรพชนของเรามิใช่คู่ต่อสู้ ไม่อาจต้านทานได้ไหว สุดท้ายแล้วมีสิ่งมีชีวิตจากยอดนิกายนิรนามปรากฏ ถึงเอาชนะสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนได้”
“ครานั้น มียอดอสูรร้ายจากยอดนิกายนิรนามก้าวออกมา ความแกร่งกล้าน่าสยดสยอง เอาชนะไปทั่วทุกทิศในสงครามใหญ่ สร้างคุณูปการไว้มหาศาล!”
“สายเลือดของแมวน้อยสีขาวตัวนี้คล้ายกับยอดอสูรร้ายตัวนั้นจนน่าสะพรึง มันย่อมเกี่ยวข้องกับยอดนิกาย!”
นางเอ่ยด้วยสายตาเป็นประกาย “นอกจากปุถุชนสองคนนั้นแล้ว ผู้อื่นล้วนเกี่ยวข้องกับยอดนิกาย!”
“ไม่ใช่กระมัง สิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับยอดนิกายทั้งสิ้น กลับมีปุถุชนสองคนปะปนอยู่ด้วย เจ้าแน่ใจหรือว่าปุถุชนสองคนนั้นเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาจริง ๆ!”
ต้าเต๋ออยู่ที่นี่ด้วย เขารู้สึกว่าหลี่จิ่วเต้ากับหลิงอินสองคนมิใช่เพียงปุถุชน แม้ว่าเขาเองก็สัมผัสร่องรอยฝึกฝนจากตัวหลี่จิ่วเต้ากับหลิงอินไม่ได้เช่นกัน
“สองคนนั้นเป็นเพียงปุถุชน เรื่องนั้นไม่มีข้อกังขา”
แม่เฒ่าตระกูลหานเอ่ย “หลี่จิ่วเต้ากับหลิงอินเป็นปุถุชนที่มาจากเมืองปุถุชนเดียวกัน เมืองชิงซาน”
“หลี่จิ่วเต้ามิใช่คนของเมืองชิงซาน หากแต่เป็นคนนอกเมือง มาอยู่ในเมืองชิงซานตั้งแต่เก้าปีก่อน เขาอยากฝึกตน เคยไปเข้าร่วมการสอบคัดเลือกศิษย์ของสำนักไท่หัว ทว่าจากการทดสอบ เขาปราศจากศักยภาพการฝึกฝนใด ๆ สุดท้ายจึงอยู่ที่เมืองชิงซาน อยู่มาเก้าปีจวบจนบัดนี้”
นางเอ่ยต่อ “หลิงอินนั้นยิ่งไม่น่าสงสัย นางคือชาวเมืองชิงซานตั้งแต่กำเนิด ไม่เคยออกจากเมืองชิงซานเลย นางใช้ชีวิตอยู่ในเมืองชิงซานมาโดยตลอด ไม่เคยข้องแวะกับเรื่องการฝึกตนแม้แต่น้อย”
ต้องยอมรับว่าเครือข่ายข่าวกรองเทียนตี้นั้นเก่งกาจสามารถ นี่เพิ่งผ่านไปไม่เท่าไร ด้านพวกเขาก็ได้ข้อมูลมามากมายถึงเพียงนี้
“แมวน้อยสีขาวตัวนั้นเดิมเป็นเพียงแมวจรจัด เร่ร่อนจนมาถึงเมืองชิงซาน แล้วได้หลี่จิ่วเต้าเก็บไปเลี้ยง”
แม่เฒ่ากล่าว “ทั้งหมดเริ่มขึ้นหลังจากเด็กแปดคนนั้นแสดงพรสวรรค์สะท้านฟ้าออกมา!”
“เด็กทั้งแปดแสดงศักยภาพสะท้านโลกันตร์ กลายเป็นที่สนใจของยอดนิกาย หลังจากนั้น ยอดนิกายจึงรับเด็กทั้งแปดไว้”
“หลี่จิ่วเต้ามีสัมพันธ์ดีงามกับเด็กทั้งแปด เกรงว่าเด็กทั้งแปดคนนี้อยากให้หลี่จิ่วเต้าได้ก้าวสู่เส้นทางฝึกตนด้วย ต่อมาคนจากยอดนิกายคงไปเยือนหลี่จิ่วเต้า”
“เมื่อไปถึงที่นั่น ยอดนิกายคงสัมผัสได้ว่าแมวน้อยสีขาวมิใช่แมวธรรมดา จึงช่วยปลุกสายเลือดของแมวน้อยให้ตื่น!”
“เซี่ยเหยียนชื่นชอบศิลปศาสตร์ และหลี่จิ่วเต้าแตกฉานด้านศิลปศาสตร์พอดี นางจึงแวะเวียนไปหาหลี่จิ่วเต้าอยู่บ่อย ๆ เกรงว่าเพราะเหตุนี้ ยอดนิกายถึงเห็นว่าตัวนางมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา จึงรับนางเข้าร่วมด้วย ทั้งยังอบรมบ่มเพาะเป็นอย่างดี จนเซี่ยเหยียนมีขอบเขตสูงส่งอย่างในตอนนี้!”
แม่เฒ่ากล่าว
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การคาดเดาของนางคนเดียว แต่เป็นผลสรุปจากการวิเคราะห์ร่วมกับยอดฝีมือคนอื่น
และการคาดเดานี้สมเหตุสมผล เข้าใกล้ความเป็นจริงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
นางมองผู้อาวุโสเก้าพลางกล่าว “ทุกคนต่างรู้ว่าในโลกนี้มีการดำรงอยู่อย่างยอดนิกาย เหตุไฉนผู้อาวุโสเก้าถึงยังต้องปิดบังพวกเราอีก สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนใกล้จะจุติลงมาอีกครา เกรงว่ายอดนิกายก็คงทราบเรื่องนี้ ถึงได้รับผู้ฝึกตนเป็นจำนวนมาก”
ใช้ได้นี่!
เก่งมาก!
หากมิใช่ว่าเขาล่วงรู้ฐานะของท่านเซียน เขาคงรู้สึกว่านี่แหละคือความจริง!
ถึงอย่างไรการคาดเดาของแม่เฒ่าก็ถูกต้องตามหลักความเป็นจริง
ในโลกนี้เคยมีการดำรงอยู่ระดับยอดนิกายจริง ซ้ำพวกเขายังเคยปรากฏตัวในยุคโบราณด้วย
ผู้อาวุโสเก้าคิดในใจ
หากเขามิได้ล่วงรู้ตัวตนของท่านเซียน เขาคงคาดเดาไปเช่นนี้เหมือนกัน
ทว่าความจริงนั้นผิดถนัด
ยอดนิกายดำรงอยู่จริง แต่เกรงว่าตอนนี้คงยังไม่มาปรากฏ
ที่แมวน้อยสีขาว เซี่ยเหยียน อันหลานเสวี่ย อ้ายฉานและเด็กคนอื่น ๆ น่าทึ่งผิดวิสัยปานนี้ ย่อมเป็นเพราะได้รับพรจากท่านเซียน
ไม่ได้ยินที่ซางเหิงบอกหรือ ของว่างที่ท่านเซียนทำมีพลังเหนือกว่าโอสถมหาจักรพรรดิเสียอีก!
แมวน้อยสีขาว เซี่ยเหยียน และคนอื่น ๆ ที่ติดตามอยู่ข้างกายท่านเซียนไฉนเลยจะธรรมดา ย่อมต้องได้รับประโยชน์มหาศาลอยู่แล้ว!
“ในเมื่อพวกท่านเดากันออก ข้าก็ไม่ขอปิดบัง”
ผู้อาวุโสเก้ากล่าว “ถูกต้อง อ้ายฉานและเด็กคนอื่น ๆ กับเซี่ยเหยียนและอันหลานเสวี่ยเกี่ยวข้องกับยอดนิกายจริง สถานการณ์ก็คลับคล้ายกับที่ทุกท่านคิด”
ฐานะ ‘ปุถุชน’ ของท่านเซียนยังไม่ถูกเปิดเผย เขาสามารถยอมรับเรื่องยอดนิกายได้
“มาจากยอดนิกายจริงหรือนี่!”
หลังได้ยินคำตอบจากผู้อาวุโสเก้า แม่เฒ่าตระกูลหาน พระอาจารย์เกาเซิงจากพุทธศาสนา ผู้อาวุโสจากลัทธิเจี๋ยเทียน รวมถึงยอดฝีมือจากตระกูลโบราณ และสำนักโบราณอื่น ๆ ล้วนสะท้านใจ
ถึงแม้พวกเขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว กระนั้นคาดการณ์ก็คือคาดการณ์ บัดนี้ผู้อาวุโสยืนยันความจริง พวกเขาสะเทือนใจมหาศาล
นั่นเป็นถึงยอดนิกายเชียวนะ เคยเป็นตัวแปรตัดสินผลแพ้ชนะของภัยพิบัติครั้งใหญ่ในยุคโบราณ จะมิให้พวกเขาสะเทือนใจมากได้อย่างไร
ผู้อาวุโสเก้าถอนหายใจ “ที่จริงข้าไม่พูด เพราะกลัวว่าทุกท่านจะหนักอึ้งในใจ!”
“หนักอึ้งในใจหรือ?”
“ไยพวกเราต้องรู้สึกหนักอึ้งด้วย”
ยอดฝีมืออย่างพวกแม่เฒ่าถามอย่างไม่เข้าใจ
“พวกเขามาที่นี่เพื่อฝึกฝนขัดเกลา ตั้งใจจะลับฝีมือต่อสู้กับโอรสและธิดาสวรรค์จากตระกูลต่าง ๆ
ผู้อาวุโสเก้าเอ่ย “ก่อนหน้านี้ข้าไม่พูด เพราะเกรงว่าหลังจากทุกท่านล่วงรู้ตัวตนของพวกเขาแล้วจะเกิดความยำเกรง ส่งผลให้โอรสธิดาสวรรค์ในตระกูลสำนักมิกล้าต่อสู้กับพวกเขาอย่างเต็มกำลัง…”
“เช่นนี้นี่เอง!”
“พวกเขายกระดับพลังได้รวดเร็วยิ่ง จำต้องฝึกฝนขัดเกลาให้ดีอย่างที่ว่า”
ยอดฝีมืออย่างพวกแม่เฒ่าเอ่ย
“แล้วเจ้าปิดบังไปเพื่ออันใด?”
ต้าเต๋อเบ้ปาก “ก่อนหน้านี้เจ้าเตรียมพื้นที่พระราชวังชั้นสูงทั้งหมดไว้ให้พวกเขา โยกย้ายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่พำนักในนั้นไปที่อื่น ซ้ำยังต้อนรับพวกเขาต่อหน้าธารกำนัลถึงเพียงนั้น คนสติไม่ดียังคิดได้ว่าพวกเขามีฐานะไม่ธรรมดา!”
หลังได้ยินคำกล่าวของต้าเต๋อ ผู้อาวุโสเก้ามีเหงื่อเย็นไหลซึมออกมาตามแผ่นหลังฉับพลัน นึกกลัวขึ้นมาทีหลัง
ท่านเซียนผู้หนึ่งมาเยือน
เขาไฉนเลยจะกล้าเสียมารยาท?!
เขาย่อมมิกล้า!
เพราะอย่างนั้น เขาถึงจัดเตรียมพื้นที่พระราชวังชั้นสูงทั้งหมดไว้ให้ หลังจากนั้น ก็เข้าไปต้อนรับการมาของท่านเซียนโดยมิกล้าเสียมารยาท
ทว่า…ดูเหมือนเขาจะทำผิด!
ท่านเซียนมาในฐานะ ‘ปุถุชน’ นะ!
เขาทำเช่นนี้มิเป็นการผลักท่านเซียนสู่การเป็นที่ครหา ชี้นำผู้อื่นให้คับข้องใจในฐานะ ‘ปุถุชน’ หรอกหรือ
หากไม่มีสิ่งที่เขาทำลงไปก่อนหน้านี้ ต่อมาจะเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตเยี่ยงนี้ได้อย่างไร
ยอดฝีมืออย่างพวกแม่เฒ่าไฉนเลยจะพากันคาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่าท่านเซียนเป็นผู้ใด
เขาผิดไปแล้ว…จริง ๆ!
เรื่องนี้ทำให้เขานึกกลัวขึ้นมาเหลือแสน สั่นสะท้านไปทั้งวิญญาณ
ที่ตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่นับว่าโชคดีหนักหนา!
‘ท่านเซียนมิได้ฆ่าข้า ซ้ำยังตั้งใจเตือนข้าอีกครั้ง คงต้องการเก็บข้าไว้ชดเชยความผิดทั้งหมด! มิฉะนั้น…ข้าคงตายไปนานแล้ว!’
ผู้อาวุโสเก้าคิดในใจด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง
ก่อนหน้านี้เขากลับยังคิดไปว่าตนเองมิได้ทำสิ่งใดผิด คิดว่าท่านเซียนไม่จำเป็นต้องเตือนเข้าเรื่อง ‘ปุถุชน’ อีกครั้ง
บัดนี้มาคิดดูแล้ว เขาช่างโง่เง่าเหลือเกิน ทำสิ่งใดไม่รู้จักพิจารณาให้รอบคอบ!
ก่อนหน้านี้มัวแต่พุ่งความสนใจไปที่ต้อนรับท่านเซียน จนมองข้ามฐานะ ‘ปุถุชน’ ของท่านเซียนไป!
“ขอบอกตามตรงว่า ข้าเองก็เพิ่งได้ทราบตัวตนของพวกเขา”
ผู้อาวุโสเก้ารีบบอก “ซางเหิงในตระกูลเราบังเอิญพบกับพวกเขาที่ข้างนอก ตระหนักได้ว่าพวกเขามีฐานะไม่ธรรมดา จึงกลับมารายงานต่อข้า ข้ามิกล้าเสียมารยาท ถึงได้จัดเตรียมพื้นที่พระราชวังชั้นสูงทั้งหมดไว้ต้อนรับพวกเขา”
“ทว่าหลังข้าได้พบปะพวกเขา ข้าถึงล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา และรู้จุดประสงค์การมาของพวกเขา ถึงตระหนักได้ว่าสิ่งที่ข้าได้ทำลงไปนั้นผิด!”
เขาเอ่ยต่อ “เรื่องนี้ข้าหวังว่าเรารู้กันเท่านี้เป็นการดีกว่า ทุกท่านอย่าบอกผู้อื่นอีก หากรู้กันทั่วจริง ถึงตอนนั้นพวกเราทั้งหมดล้วนต้องเจอดี!”
“ท่านเองก็ลำบากไม่น้อย!”
“ได้ เรื่องนี้รู้กันเพียงเรา!”
แม่เฒ่าและยอดฝีมือคนอื่น ๆ ตอบ
ไม่มีผู้ใดต้องการแหยมกับยอดนิกาย พวกเขาเองก็เช่นกัน
โดยเฉพาะในยามนี้
สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนใกล้จุติอีกครั้ง พวกเขายังต้องหวังพึ่งยอดนิกาย!
โฮก!
เวลานั้น เสียงคำรามดังสนั่นของอสูรดังขึ้น อสูรร้ายตัวมโหฬารรูปร่างคล้ายเสือ มีปีกที่หลังตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาพร้อมด้วยจิตสังหารสะท้านฟ้า บดบังแม้กระทั่งพระอาทิตย์บนสวรรค์ จนแผ่นดินผืนนี้มืดมนเหลือคณา
“ท่านพ่อมาแล้ว! ล้างแค้นให้น้องชายได้แล้ว!”
ฉงคูหน้าตาเต็มตื้น บิดาของมันมา มันมิต้องทนอัปยศอดสูที่นี่อีกต่อไปแล้ว!
และหนี้แค้นน้องชายของมันก็ถึงคราวต้องชำระอย่างแท้จริงแล้ว!