คุณนายใหญ่สกุลกานอยู่ทานอาหารกลางวันด้วยกัน
แม้ว่าจวนหย่งผิงโหวกับจวนจงฉินปั๋วจะอยู่ที่เมืองเยี่ยนจิงเหมือนกัน แต่จวนหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง อีกจวนหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง ต้องผ่านถนนซีต้าและถนนตงต้า เดินทางไปกลับใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่า การเดินทางไม่ค่อยสะดวก เดิมทีไท่ฮูหยินเตรียมจะอยู่ที่สกุลกานหนึ่งวัน เมื่อเห็นว่ากานฮูหยินไม่มาปรากฏตัวจึงรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นที่จวน ยังไม่ทันทานข้าวเสร็จก็รีบลุกขึ้น ส่งสายตาให้หวงฮูหยิน จากนั้นก็มีคุณนายใหญ่สกุลกานพาไปดื่มชาที่ห้องจัดเลี้ยงของกานฮูหยินก่อนกล่าวลา
คุณนายใหญ่สกุลกานรั้งไท่ฮูหยินไว้พลางส่งคนไปเชิญกานฮูหยิน
กานฮูหยินมาด้วยความรีบร้อน
ขอบตานางแดงระเรื่อเล็กน้อย สีหน้าอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก ฝืนยิ้มพลางรั้งแขกไว้
คนสกุลเดิมของกานฮูหยินมาพอดี คนที่เดินนำคือพี่สะใภ้ที่เจอกันที่พิธีศพขององค์ชายห้า ทุกคนทักทายซึ่งกันและกัน กานฮูหยินให้คุณนายใหญ่สกุลกานพาพวกเขาไปพบหลานถิง ส่วนไท่ฮูหยินกับหวงฮูหยินยืนกรานจะขอตัวกลับก่อน กานฮูหยินลังเลเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้รั้งไว้ ส่งสตรีสกุลสวีและสกุลหวงที่ประตูฉุยฮวาด้วยความเกรงใจ
หวงฮูหยินเร่งเร้าคุณนายสามสกุลหวง “…เจ้าไปนั่งกับสืออีเหนียง ข้ากับไท่ฮูหยินสองพี่น้องมีเรื่องจะคุยกัน” จูงมือไท่ฮูหยินขึ้นรถม้าของตัวเอง
จวนหย่งชังโหวอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง จวนของทั้งสองสกุลอยู่ทิศทางเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็เกรงว่าระหว่างทางก็ยังต้องเปลี่ยนรถ ค่อนข้างยุ่งยาก แต่อย่างไรก็ตามฮูหยินทั้งสองมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เมื่อได้เจอกันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดคุยกันสักหน่อย สืออีเหนียงเข้าใจดีจึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม คุณนายสามสกุลหวงกลับบ่นพึมพำว่า “ท่านแม่เห็นว่าข้าเป็นภาระตลอดเลย”
ทำเอาไท่ฮูหยินหัวเราะ พูดกับหวงฮูหยินว่า “คุณนายสามสกุลหวงของเราทั้งอารมณ์ดี ทั้งกตัญญู”
“หากไม่ได้มีดีในจุดนี้แล้วข้าจะพานางไปด้วยทุกที่หรือ”
หวงฮูหยินกล่าวชมคุณนายสามสกุลหวง จากนั้นก็ยิ้มพลางขึ้นรถม้าของสกุลหวงพร้อมกับไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงกับฮูหยินสามเห็นดังนั้นก็ไปขึ้นรถม้าสกุลสวี รถม้าสองคันขับเรียงกันออกจากจวนจงฉินปั๋ว
สืออีเหนียงหยิบหมอนอิงให้คุณนายสามสกุลหวง “พี่หญิงเอนหลังสักหน่อยเถิด!”
คุณนายสามสกุลหวงไม่เกรงใจ ยิ้มพลางเอนตัวพิงหมอนอิง
สืออีเหนียงรินชาให้นางด้วยตัวเอง
สกุลหวงและสกุลสวีมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ถึงแม้ว่าสืออีเหนียงจะไม่ใช่คนชอบพูด แต่นางก็มีมารยาทและให้ความเคารพแขกเสมอ ทำให้คุณนายสามสกุลหวงรู้สึกดี เมื่อนึกได้ว่าสืออีเหนียงอายุมากกว่าบุตรชายคนโตของตัวเองเพียงแค่สองปี ก็รู้สึกสนิทสนมกับนางมากยิ่งขึ้น นางดื่มชาพลางเล่าเรื่องของสกุลกานให้สืออีเหนียงฟังอย่างไม่ลังเล “…ครอบครัวของพวกเขากับสกุลของเวยเป่ยโหวเป็นพวกที่ชอบบีบบังคับที่สุด แต่สกุลของเวยเป่ยโหวกลับมีบุตรชายที่มีความสามารถ มีแต่คนเก่งๆ แต่ละคนซื้อเรือนส่วนตัวที่นอกจวนภายใต้ชื่อของภรรยา แต่ในใจก็ยังนึกถึงทรัพย์สินในจวน เกรงว่าท่านโหวผู้เฒ่าจะแอบเล็งใครไว้ จึงไม่มีใครอยากจะแยกจวนออกไป แต่สกุลกานกลับตรงกันข้าม บุตรชายแต่ละคนไม่มีใครเป็นโล่เป็นพาย อยากจะแยกจวนก็แยกออกไปไม่ได้ ส่วนกานฮูหยิน แม้ว่าจะเป็นภรรยาเอกคนที่สองแต่ก็เป็นคนใจดี จัดการทุกอย่างได้ราบรื่น มิเช่นนั้นในเรือนก็คงวุ่นวาย ดูอย่างวันนี้เกรงว่าจะมีคนเรือนไหนก่อเรื่องขึ้นมา มิเช่นนั้นกานฮูหยินก็คงไม่ทำหน้าปวดหัวแน่ คุณนายใหญ่สกุลกานก็คงไม่ทำท่าทางร่าเริงกลบเกลื่อนขนาดนี้”
อย่างไรเสียจวนจงฉินปั๋วก็เป็นสกุลเดิมของฮูหยินสาม สืออีเหนียงไม่อาจไปวิพากษ์วิจารณ์อะไร จึงทำได้เพียงแต่ยิ้ม
คุณนายสามสกุลหวงพูดอย่างจริงจัง พูดคุยกับสืออีเหนียงด้วยท่าทางที่เหมือนกับคนรุ่นก่อนชี้แนะคนรุ่นหลัง เมื่อเห็นว่านางเพียงแต่ยิ้มก็คิดว่านางไม่เชื่อจึงพูดขึ้นมาว่า “หลังจากหลานถิงแต่งงานแล้วเจ้าก็จะรู้ว่าทั้งสองสกุลแตกต่างกันตรงไหน ตอนนั้นที่สกุลหลินแต่งกับคุณหนูสี่ พี่สะใภ้ทั้งหลายก็เรียงกันเป็นแถวมาอวยพรคำมงคลอย่างเป็นทางการ บรรดาพี่สะใภ้ได้มอบตั๋วเงินมูลค่ายี่สิบตำลึงหนึ่งใบให้คุณหนูคนใหม่ อวยพรหนึ่งครั้งก็มอบให้หนึ่งใบ ตั๋วเงินราวกับกระดาษธรรมดาปลิวว่อนไปมา ฉากในตอนนั้นมาจนถึงวันนี้ก็ยังมีคนพูดถึงงานสมรสนี้อยู่ แต่เวลาสกุลกานจัดงานมงคล เมื่อถึงเวลาทานข้าวทุกคนก็จะมากันหมด เมื่อถึงเวลาแจกเงินก็ต่างคนต่างจ้องว่าสกุลอื่นจะให้เท่าไร กลัวว่าหากตัวเองให้เยอะแล้วคนอื่นให้น้อยก็กลัวว่าตัวเองจะเสียเปรียบ จะว่าไปแล้วในมือก็ไม่ได้มีเงินมากนัก ซื้อหน้าให้ตัวเองไม่ไหว” จากนั้นก็พูดถึงหลินหมิงหย่วน “…ในที่สุดก็ได้หมั้นหมายแล้ว!”
“อ้อ!” สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็แปลกใจเล็กน้อย
เมื่อไม่กี่วันก่อนเจินเจี่ยเอ๋อร์บอกว่าการหมั้นหมายของหลินหมิงหย่วนไม่สำเร็จ นางจึงถามด้วยความสนใจว่า “คุณหนูห้าสกุลหลินหมั้นหมายกับใครเจ้าคะ”
“บุตรชายคนรองของเสนาบดีเจียงกรมอาญา” คุณนายสามสกุลหวงพูดต่อว่า “อายุน้อยกว่าหมิงหย่วนสามปี”
“ฝ่ายหญิงอายุมากกว่าฝ่ายชายสามปีก็เหมือนกับได้อิฐทองคำสามก้อน” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ถือว่าเป็นเรื่องดี”
คุณนายสามสกุลหวงพยักหน้า “หมิงหย่วนอายุไม่น้อยแล้ว หากยังเลือกต่อไปเช่นนี้เกรงว่าจะทำให้ล่าช้า”
“กำหนดวันแต่งงานแล้วหรือ” สืออีเหนียงถามคุณนายสามสกุลหวง
“สองวันก่อนได้บอกกำหนดการคร่าวๆ มาแล้ว” คุณนายสามสกุลหวงพูดต่อว่า “ได้ยินมาว่าสกุลหลินต้องการให้มีการแต่งงานภายในปีนี้ แต่สกุลเจียงอยากให้มีงานแต่งในต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว!” จากนั้นก็ถามถึงเรื่องของหยวนเหนียง “…นับวันดูแล้วคงใกล้วันครบรอบสามปีของพี่สาวเจ้าแล้วใช่หรือไม่ เตรียมการไปถึงไหนแล้ว ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่”
“ขอบคุณพี่หญิงเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “คนของฝ่ายรายงานได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญอาจารย์ฝ่าซ่านและนักพรตฉังชุนมา พิธีเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ทำพิธีติดต่อกันเจ็ดวัน”
“อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่งานศพ ที่จวนยังมีผู้อาวุโสคอยช่วยเหลืออยู่ สามารถจัดงานได้เจ็ดวันก็ถือว่าไม่แย่แล้ว” คุณนายสามสกุลหวงพูดต่อว่า “เมื่อถึงเวลาข้าก็จะไปกราบไหว้สักหน่อย”
ทั้งสองคนพูดคุยกัน รถม้ากระเพื่อมเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ ลดความเร็วลง
สืออีเหนียงประหลาดใจ คุณนายสามสกุลหวงยกผ้าม่านขึ้นแล้วมองออกไปข้างนอก
“เอ๊ะ” นางยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ดูเหมือนว่าท่านแม่อยากจะมาพักทานอาหารที่จวนของเจ้า”
สืออีเหนียงได้ยินดังนั้นก็โผล่หัวออกไปดู
ที่แท้รถม้าก็เข้ามาในจวนสกุลสวีแล้ว
“พวกท่านเองก็ไม่ได้มากันนานแล้ว” สืออีเหนียงกลายเป็นเจ้าบ้าน จึงรีบพูดด้วยความเกรงใจว่า “สองวันก่อนหนานจิงได้ส่งปลาตะลุมพุกมาหลายตัว พอดีเลยพวกเราจะได้มาชิมด้วยกัน”
“เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว!” คุณนายสามสกุลหวงยิ้ม เมื่อรถม้าจอด ทุกคนก็พากันไปที่เรือนไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงกำชับให้คนครัวนำปลาตะลุมพุกที่คุณนายใหญ่หงส่งมาจากหนานจิงไปทำน้ำแกง จากนั้นก็เชิญให้หวงฮูหยินกับคุณนายสามสกุลหวงอยู่ทานข้าวเย็น
เมื่อส่งแขกกลับไปแล้ว ฮูหยินสองก็กลับมาพอดี
ไท่ฮูหยินรีบพานางไปนั่งบนเตียงเตา “ทำไมพึ่งกลับมาเอาตอนนี้”
“ทำให้ท่านต้องเป็นห่วงแล้ว!” ฮูหยินสองยิ้มให้ไท่ฮูหยินอย่างถ่อมตน จากนั้นก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “พี่สะใภ้ใหญ่สกุลเดิมของพี่สะใภ้ป่วย ท่านพี่ พี่สะใภ้และบรรดาหลานชายหลานสาวจึงต้องรีบกลับไป ตอนนั้นไม่มีเวลาส่งคนมารายงาน พอส่งคนไปที่วัดฉือหยวนพวกเราก็ไปกันหมดแล้ว”
สกุลเดิมของนายหญิงเซี่ยงคือสกุลเกา
ไท่ฮูหยินได้ฟังดังนั้นจึงรีบถามว่า “ตอนนี้นายหญิงเกาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ฮูหยินสองพูดว่า “ตอนนี้ยังไม่รู้เจ้าค่ะ พี่ชายและพี่สะใภ้ยังอยู่ที่นั่น พรุ่งนี้ข้าว่าจะไปดูอีกที”
“ควรจะไปดูสักหน่อย!” ไท่ฮูหยินพูดต่อว่า “หากมีเรื่องอันใดเจ้าจำไว้ว่าต้องบอกข้าด้วย”
ฮูหยินสองยิ้มรับ
ไท่ฮูหยินพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “เจ้าทานข้าวหรือยัง วันนี้มีน้ำแกงปลาตะลุมพุก ข้าจะให้คนยกมาให้เจ้าสักถ้วย” จากนั้นก็กำชับป้าตู้ให้ไปยกน้ำแกงปลาตะลุมพุกมา
ทางฝั่งจวนสกุลเกา ในห้องที่เรือนหลังจวน นายหญิงเซี่ยงมองนายหญิงเกาพี่สะใภ้ด้วยสีหน้าละอายใจ “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง ทำให้พี่สะใภ้ต้องลำบากไปด้วย แล้วยังทำให้พี่สะใภ้ต้องป่วย…”
“รู้ว่าไม่ดีก็ยังจะก่อเรื่องเช่นนี้อีก!” มารดาของนายหญิงเซี่ยงมีนางตอนแก่แล้ว นายหญิงเกาจึงอายุมากกว่านางยี่สิบกว่าปี แม้จะบอกว่าเป็นพี่สะใภ้ แต่ทั้งสองกลับรักกันดั่งแม่กับลูก “ดูเรื่องที่เจ้าทำสิ มิน่าเล่าวันนี้น้องเขยจึงได้อารมณ์เสียมาขนาดนี้ ต่อไปเจ้าจะให้เขาเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แล้วจะยังมีหน้าไปมาหาสู่กับสกุลสวีอีกหรือ”
“ไปไม่ได้ก็ไม่ต้องไป” นายหญิงเซี่ยงพูดพึมพำเสียงเบา หดตัวเล็กลงด้วยความหวาดกลัว
“เจ้าก็ดีแต่ปากแข็ง!” นายหญิงเกามองด้วยความขบขัน “เช่นนั้นตอนที่ข้าพูดถึงน้องเขยทำไมเจ้าไม่ดึงแขนเสื้อข้าเล่า” พูดพลางถอนหายใจยาว “อีกสองปีเจ้าก็จะต้องเป็นแม่สามีแล้ว การทะเลาะกับสามีตัวเองเช่นนี้ หากลูกสะใภ้เห็นเข้าจะคิดอย่างไร หากสกุลญาติเห็นเข้าจะพูดอย่างไร เจ้าไม่คิดเพื่อตัวเอง แต่อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะคิดเพื่อลูกๆ ของเจ้า”
“ข้าก็คิดเพื่อโหรวเน่อ ดังนั้นจึงไม่อยากให้นางแต่งกับสวีซื่ออวี้” นายหญิงเซี่ยงรีบตอบกลับเสียงสูง
“ก็ได้ เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า ว่าเจ้าไม่พอใจอะไรเกี่ยวกับการแต่งงานครั้งนี้”
“สวีซื่ออวี้เกิดจากสาวใช้!” นายหญิงเซี่ยงตอบอย่างไม่ลังเล “โหรวเน่อของข้าเป็นบุตรสาวภรรยาเอก”
“เช่นนั้นข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง น้องเขยเป็นขุนนางขั้นไหน แล้วหย่งผิงโหวเป็นขุนนางขั้นไหน”
นายหญิงเซี่ยงพูดไม่ออกไปครู่ใหญ่
นายหญิงเกาจึงเอ่ยขึ้นว่า “น้องเขยเป็นขุนนางระดับสี่ แต่หย่งผิงโหวเป็นขุนนางที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น เจ้าว่าคู่ควรกับสกุลของพวกเจ้าหรือไม่”
นายหญิงเซี่ยงรีบพูดขึ้นมาว่า “แต่ว่าสวีซื่ออวี้ก็ไม่ได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง”
“ถ้าหากสวีซื่ออวี้ได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง เจ้าคิดว่าสกุลสวีจะอยากหมั้นหมายกับสกุลเซี่ยงหรือไม่”
“ไม่มีทาง” นายหญิงเซี่ยงพูดต่อว่า “ท่านโหวมีบุตรชายภรรยาเอก ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็พึ่งจะแต่งกับภรรยาเอกคนที่สอง”
“ข้าแค่บอกว่า ‘ถ้าหากเป็นเช่นนั้น’” นายหญิงเกาถอนหายใจ
นายหญิงเซี่ยงนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เถียงขึ้นมาว่า “ตอนนั้นคุณหนูของพวกเราก็ยังแต่งเข้าสกุลสวีได้เลย”
“ตอนนั้นก็คือตอนนั้น ตอนนี้ก็คือตอนนี้” นายหญิงเกาพูดต่อว่า “ตอนนั้นสกุลสวีไม่โดดเด่นเท่าตอนนี้ คุณชายสองสกุลสวียังชื่นชมในความสามารถของคุณหนูสกุลสามีเจ้าเป็นอย่างมาก ฮ่องเต้องค์ก่อนก็เริ่มอายุมากแล้ว ไม่เพียงแต่ระแวงองค์ชายทั้งหลาย ทั้งยังระแวงครอบครัวของบรรดาพระสนมและองค์ชาย สกุลสวีเป็นทั้งขุนนางแล้วยังเป็นสกุลเดิมของพระสนมขององค์ชาย สกุลสวีจึงได้มาขอหมั้นกับคุณหนูของพวกเจ้าถึงสามครั้ง เพราะเห็นถึงความอ่อนแอของสกุลเซี่ยง พ่อสามีของเจ้าไม่เข้าร่วมกับฝ่ายใด เจ้าคิดว่าพวกเขาหมั้นหมายกับคุณหนูสกุลสามีเจ้าเพราะเห็นสกุลสามีเจ้ามีระดับอย่างนั้นหรือ ในที่สุดพ่อสามีของเจ้าก็ให้บุตรสาวแต่งเข้าจวนสกุลสวีเพราะเห็นว่าสกุลสวีมีคนน้อย อีกทั้งในตอนนั้นคุณชายสองสกุลสวีคือทายาท คุณหนูสกุลเจ้าก็จะได้เป็นหย่งผิงโหวฮูหยิน พ่อสามีของเจ้าไปล่วงเกินคนไว้มาก สิ่งที่กลัวที่สุดคือการทำให้บรรดาลูกๆ ที่อยู่ข้างหลังต้องมาเดือดร้อน แล้วยังลำบากมาขอเจ้าให้แต่งกับน้องเขย เพราะเห็นว่าสกุลเรามีบุตรชายมากมาย ต่อไปหากมีเรื่องอันใดก็จะได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
นายหญิงเซี่ยงมองพี่สะใภ้ของนางด้วยความลำบากใจ คิดไม่ถึงว่าเรื่อง ‘มาสู่ขอบุตรสาวสกุลเซี่ยงถึงสามครั้ง’ ที่ทุกคนพูดถึงอย่างออกรสออกชาติ เบื้องหลังก็เป็นเพียงเกมการเมืองของสกุลสวีและสกุลเซี่ยงเท่านั้น
นายหญิงเกาเก็บผมบนมวยผมที่ห้อยลงมาของนายหญิงเซี่ยง “บางเรื่องจะมองแค่ผิวเผินไม่ได้ ในนั้นยังมีความซับซ้อนมากมาย จะว่าไปแล้วหากสวีซื่ออวี้เป็นบุตรชายของอนุภรรยา เกรงว่าสกุลสวีคงไม่คิดจะให้เขาแต่งงานกับโหรวเน่อ แต่เป็นเพราะเขาเกิดจากสาวใช้ บรรดาศักดิ์ไม่สูงไม่ต่ำ สกุลสวีจึงได้ไหว้วานคุณหนูของพวกเจ้าให้มาเป็นแม่สื่อ เรื่องนี้แม้ว่าน้องเขยจะมีส่วนผิดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบ โหรวเน่อเป็นคนอ่อนโยน คุณหนูของพวกเจ้าเป็นคนเข้มแข็ง คนเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน นางคงไม่ยอมทนดูโหรวเน่อโดนเอาเปรียบโดยไม่ช่วยอะไรหรอก”