ฮ่องเต้อดใจรอไม่ไหวที่จะไปที่ภูเขาดอกท้อด้วยตัวเอง แต่ด้วยสถานะของเขา ไม่สามารถทำเรื่องน่าอายแบบนี้ได้
โอรสแห่งสวรรค์ออกเสด็จ ไม่ใช่การบวงสรวงย่อมต้องเป็นการทำสงคราม หรืออย่างน้อยก็เป็นการสนุกสนานกับราษฎร การไปซักถามความรักระหว่างหนุ่มสาวสองคนเป็นเรื่องที่เหลวไหลเกินไป
หากเรียกโจวเสวียนหรือเฉินตันจูเข้ามาถาม…เวลานี้โจวเสวียนมีแผลอยู่บนตัว ไม่อาจทำให้เขาเจ็บมากกว่าเดิม ส่วนเฉินตันจู คำพูดที่ออกจากปากของนาง ฮ่องเต้ไม่เชื่อแม้แต่น้อย หากมาแล้วเรียกร้องให้พระราชทานงานแต่งขึ้นมา จะทำอย่างไร!
สุดท้ายฮ่องเต้ส่งคนไปอีกครั้ง
วันนี้เชิงเขาภูเขาดอกท้อคึกคักอย่างมาก โรงน้ำชาเต็มไปด้วยผู้คนที่นั่งดื่มชาและกินผลไม้แห้ง เมื่อนั่งลงก็ไม่อยากจากไป ผู้ที่เดินผ่านไปมาที่ต้องการดื่มชาทำได้เพียงยืนดื่ม
มีคนบ่นว่าโรงน้ำชาของหญิงชราขายชาเล็กเกินไป เรียบง่ายเกินไป เป็นเพียงแค่เพิงหญ้า นางควรจะสร้างเป็นโรงน้ำชา
หญิงชราขายชาฟังแล้วอยากจะหัวเราะ แต่นางก็ฉงน นางผู้เป็นแม่หม้ายไร้บุตรที่กำลังจะตายต้องเปิดโรงน้ำชา?
ขณะที่กำลังชุลมุนอยู่นั้น มีคนตะโกนขึ้น “มีคนมาอีกแล้ว! เป็นคนของพระราชวังอีกแล้ว!”
ดังนั้นเสียงพูดคุยในโรงน้ำชาหยุดชะงักลงทันที ทุกสายตาจับจ้องไปที่กลุ่มขันทีที่กำลังเดินทางมาอยู่บนถนนเส้นใหญ่
ก่อนหน้านี้คนกลุ่มหนึ่งหามโจวเสวียนขึ้นไปยังอารามดอกท้อ…
เหตุใดโจวเสวียนต้องมาที่อารามดอกท้อ ว่ากันว่าเป็นเพราะเฉินตันจูอาศัยจังหวะไปทำร้ายเขา โจวเสวียนไม่ยอมต้องการให้เฉินตันจูรับผิดชอบ
“ฝ่าบาททรงเฆี่ยนตีเขา เขาไม่อาจทำอันใดได้ นอกจากขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ แต่เฉินตันจูจะร้ายกาจอย่างไรก็คงไม่อาจเทียบฝ่าบาทได้ นางตีโจวเสวียน โจวเสวียนย่อมไม่มีทางยอม”
ต่อมาขันทีและหมอหลวงกลุ่มหนึ่งเดินทางมา แต่ไม่นานก็จากไป
“ฮ่องเต้มาเกลี้ยกล่อมให้โจวเสวียนกลับไป แต่ก็ไม่เป็นผล”
เหล่าขันทีที่เดินทางมาอีกในเวลานี้เล่า?
แขกที่ถือน้ำชาในโรงน้ำชามีสีหน้ากระจ่าง “ย่อมต้องเป็นฮ่องเต้มาเกลี้ยกล่อมเฉินตันจู ให้นางหยุดเป็นปรปักษ์กับโจวเสวียน”
ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาคาดเดาได้อย่างถูกต้อง อาจี๋ยืนอยู่ในอารามดอกท้อพูดพระประสงค์ของฮ่องเต้ด้วยความตะกุกตะกัก อยู่ด้วยกันอย่างสงบ อย่าทะเลาะกันอีก มีเรื่องใดรอโจวเสวียนหายดีก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขารับหน้าที่เป็นขันทีถ่ายทอดพระราชโองการ เขาตื่นเต้นจนไม่รู้ว่าถ่ายทอดพระราชโองการขาดตกบกพร่องหรือไม่
แต่เห็นได้ชัดว่าสองคนภายในห้องไม่สนใจ โจวเสวียนหันด้านเข้าด้านในเหมือนกำลังหลับใหล เฉินตันจูมองดูนิ้วมือของตนเองอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่าได้ยินหรือไม่
“คุณหนูตันจู” อาจี๋ส่งเสียงดังขึ้น “สิ่งที่ข้าพูด ท่านได้ยิน…”
“ได้ยินแล้ว ได้ยินแล้ว” เฉินตันจูวางมือลง “ข้ารับพระราชโองการ โปรดให้ฝ่าบาทวางพระทัย ข้าไม่รังแกคนที่ได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน แต่หากเขารังแกข้า ข้าย่อมต้องเอาคืน แต่จะเอาคืนเบาหรือหนักคงไม่ใช่ความผิดของข้า”
อาจี๋ระอา ถามขึ้น “คุณหนูตันจูยังต้องการค่ารักษาที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ท่านโหวโจวหรือไม่”
เฉินตันจูพูด “ย่อมต้องเอา” จากนั้นนางก็วิ่งไปดู “ข้าจะดูว่ามันเพียงพอหรือไม่ ชีวิตของท่านโหวโจวมีค่ายิ่งนัก”
อาจี๋กลับวังไปพร้อมกับคำพูดอันเหิมเกริมของเฉินตันจู เขาพูดจบด้วยความอกสั่นขวัญแขวน ฮ่องเต้เพียงแต่ส่งเสียงไม่พอใจ แต่ไม่โกรธ สีหน้าของเขาอ่อนลงเล็กน้อย
“หากเป็นเช่นนั้น” เขารำพึงกับตัวเอง “คงเป็นข้าที่คิดมากไป”
หลังจากพูดจบ เขาก็ถามอาจี๋ “คุณหนูตันจูกับอาเสวียน เจ้าเห็นพวกเขา อาทิ อันใดหรือไม่”
อาจี๋งุนงง “อาทิ อันใดพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าคนโง่เขลา ฮ่องเต้โกรธ “อาทิพวกเขาทำอะไรกัน”
อาจี๋รีบพูด “ไม่มีอันใดพ่ะย่ะค่ะ ตอนที่กระหม่อมไปถึง ท่านโหวนอนอยู่ในห้องคนเดียว คุณหนูตันจูกำลังหั่นยาอยู่ที่ทางเดินเสียงดัง ตอนที่กระหม่อมประกาศพระราชโองการ ทั้งสองคนก็ไม่สนใจกัน คุณหนูตันจูไม่พอใจอย่างมาก” ก่อนจะเอ่ยด้วยความกังวล “ฝ่าบาท กระหม่อมรู้สึกว่าอีกไม่นานพวกเขาจะทะเลาะกันพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างดีใจ “ตีกันก็ดี ตีกันก็ดี”
อาจี๋ฉงนมากกว่าเดิม เหตุใดตีกันถึงดี
ฮ่องเต้โบกมือไล่ขันทีตัวน้อยผู้ใสซื่อออกไป เขาเดินวนอยู่ภายในตำหนัก เอ่ยถามขันทีจิ้นจง “เจ้าคิดว่าพวกเขาใช่หรือไม่” สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปครู่หนึ่ง “ที่แท้เด็กคนนี้ต้องการปะทะกับข้าแทบเป็นแทบตายเพราะเรื่องแค่นี้” ท่าทางของเขาราวกับโมโห แต่ก็ราวกับได้ปลดเปลื้องภาระบางอย่าง
ไม่รอขันทีจิ้นจงตอบ ฮ่องเต้หยุดลงก่อนจะพูดขึ้นอย่างเด็ดขาด “ไม่ว่าใช่หรือไม่ก็ตาม ข้าจะทำให้มันไม่ใช่ ก่อนหน้านี้รักษาให้องค์ชายสาม เวลานี้ก็แค่รักษาแผลให้โจวเสวียนเท่านั้น”
ขันทีจิ้นจงพูดด้วยรอยยิ้ม “ด้านนอกล้วนพูดเช่นนี้ ก็ย่อมเป็นเช่นนี้” พูดพลางยกซุปมาให้ “ฝ่าบาท ทรงเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เสวยก่อนเถิดพะยะค่ะ”
ฮ่องเต้ไม่ได้โบกมือปฏิเสธเหมือนเมื่อสองสามวันก่อน แต่เอื้อมมือไปหยิบมา ก่อนจะดื่มเข้าไปหนึ่งคำ จากนั้นขอขนมมาอีกจาน
ฮ่องเต้ปล่อยวางเรื่องนี้ชั่วคราว เขาเกิดความอยากอาหารอย่างมาก แต่เรื่องนี้ไม่ได้สลายหายไปในวัง อีกทั้งไม่มีคนคิดว่าเป็นเพียงการรักษาตามที่ฮ่องเต้รับสั่ง
“รักษาแผล” องค์รัชทายาทยิ้ม วางขนมที่พระชายานำมาให้ ส่ายหัว “อาเสวียนเป็นคนที่น่าสนใจ”
องค์ชายห้าเย้ยหยันอยู่ด้านข้าง “ข้าคิดว่าเขาจะเก่งเพียงใด ที่แท้ก็เป็นเพียงคนโง่ที่โลภในความงาม”
ราษฎรอาจเชื่อเรื่องการรักษา แต่พวกเขาไม่มีทางเชื่อ เหมือนดั่งที่เฉินตันจูบอกว่าจะรักษาโรคให้องค์ชายสามก่อนหน้านี้ ภายในพระราชวังของโอรสแห่งสวรรค์มีหมอเทวดามากมาย หญิงสาวอายุสิบหกหรือสิบเจ็ดปีบังอาจพูดเช่นนี้ ผู้ใดจะเชื่อ…เจตนาของคนเมาไม่ได้อยู่ที่สุรา
องค์รัชทายาทตรัส “อย่าพูดเช่นนั้น อาเสวียนโตแล้ว รู้จักชื่นชมหญิงงาม เป็นธรรมชาติของมนุษย์” เขายิ้มอีกครั้งเมื่อพูดถึงตรงนี้ “เพียงแค่น้องสามไม่เสียใจก็พอ”
จริงสิ ยังมีอีกคน องค์ชายห้าดีใจอย่างมาก “อาเสวียนและพี่สามแย่งชิงหญิงสาวคนเดียวกัน ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อจะเข้าข้างผู้ใด”
องค์รัชทายาทส่ายหัวพร้อมตำหนิ “พูดอันใดกัน เสียภาพลักษณ์ อย่าพูดอีก”
ทำลายภาพลักษณ์ขององค์ชายสามได้จะดีเพียงใด องค์ชายห้าสีหน้าระรื่น
“ข้ารู้แล้ว” เขายิ้ม “พี่ใหญ่ ท่านรีบไปทรงงานเถิด”
หลังจากพูดจบ เขาก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีก ลุกขึ้นวิ่งจากไป องค์รัชทายาทยิ้มมองดูเขาจากไป หยิบฎีกาขึ้นมาดูอย่างสงบ
วันต่อมา มีขันทีภายในวังขององค์ชายสามเดินทางไปก่อปัญหาที่อารามดอกท้อจนถูกตีกลับมา เมื่อซักถามขันทีผู้นี้ ขันทีผู้นี้ไม่พูดอันใด เพียงแต่ร้องไห้
จากนั้นมีข่าวลือในวังอีกครั้งว่าองค์ชายสามหึงหวงโจวเสวียนกับเฉินตันจู
ในวันที่สาม ขันทีผู้นั้นถูกโยนลงไปในทะเลสาบ ก่อนจะสิ้นใจไป ทันใดนั้น มีข่าวลือใหม่ว่าโจวเสวียนส่งคนมาโยนขันทีผู้นั้นลงน้ำ แก้แค้นและตักเตือนองค์ชายสาม
แน่นอนว่าข่าวลือเหล่านี้ล้วนพูดกันอย่างลับๆ แต่ไม่ว่าพระราชวังจะใหญ่โตสักเพียงใด เมื่อลมพัดผ่าน ฮ่องเต้ก็ย่อมรู้เรื่องนี้ ขันทีจิ้นจงตรวจสอบภายในวังอย่างเข้มงวดขึ้นมา ก่อให้เกิดความโกลาหลไม่น้อย
ทางด้านตำหนักจะใหญ่โตสักเพียงใดเมื่อลมพัดมาก็ย่อมเป็นที่ได้รับความสนใจ ฮ่องเต้รู้เรื่องนี้ดี กำแพงวังสูงกั้นวังหลังกับวังหน้าออกจากกัน
หวังเจียนหัวเราะ “ท่านแม่ทัพรีบไปค่ายทหารเถิด มิฉะนั้นข่าวลือต่อไปคงจะเป็นท่านแม่ทัพอย่างไรแล้ว”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กถาม “ข้าอย่างไร ข้าตีทั้งองค์ชายสามและโจวเสวียน ไม่ใช่เรื่องปกติหรือ บังอาจคิดไม่ซื่อกับบุตรสาวของข้า บิดาอย่างข้าตีไม่ได้หรือ?”
หวังเจียนหัวเราะเสียงดัง “ตีได้ ตีได้” พูดพลางถลกแขนเสื้อขึ้น เรียกขานเฟิงหลิน “บอกว่าตีก็ตี พวกเราเพิ่มความสนุกให้ฝ่าบาทเสียหน่อย”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “ฝ่าบาทคงไม่สนใจ เรื่องของเด็กๆ ไม่มีอันใดต้องตื่นเต้น” พูดพลางส่งจดหมายลับให้หวังเจียน “ความคึกคักที่ใหญ่กว่ามาแล้ว”
ความคึกคักที่ใหญ่กว่า? อันใด หวังเจียนคลี่จดหมายออก กวาดตาดูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ
…
หยวนฟงปีที่หกเดือนสาม เด็กกำพร้าเจ็ดคนในหมู่บ้านซ่างเหอแคว้นชิ่งชุนคุกเข่าต่อหน้าจิงจ้าวฝู่ ฟ้องร้ององค์รัชทายาทสังหารคนในชุมชนซ่างเหอหนึ่งร้อยแปดสิบคนเพื่อย้ายเมืองหลวง