การคาดเดาของสืออีเหนียงได้รับการยืนยันอย่างรวดเร็ว
ในตอนเย็นนางไปคารวะไท่ฮูหยินและได้พบกับฮูหยินสอง ฮูหยินสองกำลังกระซิบกระซาบบางอย่างกับไท่ฮูหยิน เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามานางก็พยักหน้าเล็กน้อย “น้องสะใภ้สี่มาแล้ว!”
สืออีเหนียงยิ้มพลางคำนับนาง
ไท่ฮูหยินพูดถึงเรื่องงานแต่งของหลานถิง “…เจ้ารู้จักทุกคนแล้ว ข้าเองก็อายุมากแล้ว ไม่ชอบอะไรที่เสียงดังอึกทึกครึกโครม เมื่อถึงเวลาเจ้าก็พาบรรดาสาวใช้ไปด้วยก็พอแล้ว”
จากที่นางกังวลว่าตนจะรับมือกับสถานการณ์ไม่ได้ กระทั่งมาถึงตอนนี้ที่ปล่อยวางเรื่องทุกอย่างได้หมด นี่ถือว่าเป็นความก้าวหน้าหรือไม่!
สืออีเหนียงยิ้มอย่างมีความสุข นั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ข้างไท่ฮูหยิน “ท่านโหวมาปรึกษากับข้าว่าเขาจะไปจวนจงฉินปั๋ว ส่วนข้าไปจวนใต้เท้าเหลียง ท่านแม่ ท่านไปจวนจงฉินปั๋วกับท่านโหวดีหรือไม่ หวงฮูหยินและคนอื่นๆ คงไปที่นั่น ท่านจะได้ไปเจอเพื่อนเก่า พูดคุยกัน จะได้มีชีวิตชีวา!”
สืออีเหนียงอยากให้ไท่ฮูหยินไปจริงๆ
คนที่อายุมากแล้ว สหายก็จะยิ่งน้อยลง ร่างกายก็จะยิ่งแย่ลง อาศัยช่วงที่ร่างกายยังพอมีแรง สหายเก่ายังอยู่ ไปร่วมสังสรรค์กันสักหน่อยจึงจะดี
“เจ้าสี่คนนี้” ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “ให้เจ้าไปดื่มสุรามงคลที่สกุลเหลียง ส่วนตัวเองไปจวนจงฉินปั๋ว หรือว่าเขากำลังหลบเรื่องอะไรอยู่”
ฮูหยินสองที่อยู่ข้างๆ หัวเราะแล้วพูดว่า “น่าจะเป็นเรื่องปิดอ่าวทะเลกระมัง สถานะของท่านโหวไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะต้องมีคนคิดหาวิธีเข้าหาท่านโหว ข้าคิดว่าเช่นนี้ก็ดีจะได้ไม่ต้องไปล่วงเกินผู้อื่นเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเล็กน้อย ยิ้มแล้วพูดว่า “อ่าวทะเลจะถูกปิดหรือไม่ปิด ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาล้อเล่น ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้บางตระกูลล่มสลายหรือทำให้บางตระกูลเจริญรุ่งเรือง อย่าคิดว่ามีเพียงแค่พ่อค้าเหล่านั้นที่คิดถึงเรื่องปิดอ่าวทะเล เกรงว่าสกุลขุนนางในเยี่ยนจิงเหล่านี้ก็คงจ้องกันตาถลนแล้ว ข้าว่า…” ไท่ฮูหยินพูดสายตาพลางจับจ้องไปที่สืออีเหนียง “ท่านโหวอย่าได้ไปที่อื่นเลย อยู่กับข้าที่จวนนี่แหละ พวกเราให้ความสำคัญกับความใกล้ชิด จวนจงฉินปั๋วเป็นญาติกับสกุลเรา เจ้าเป็นตัวแทนของหย่งผิงโหวไปดื่มสุรามงคลที่จวนจงฉินปั๋วเถิด!”
สืออีเหนียงไม่ได้ตอบตกลงในทันที แต่พูดอย่างอ้อมค้อมว่า “ข้าจะกลับไปบอกกับท่านโหวเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็พยักหน้าเบาๆ ยิ้มพลางเล่าเรื่องในอดีตให้สะใภ้ทั้งสองฟัง
เมื่อสวีซื่ออวี้กับจุนเกอเลิกเรียนกลับมาคารวะไท่ฮูหยินแล้ว สะใภ้หนานหย่งก็อุ้มสวีซื่อเจี้ยเข้ามา ไท่ฮูหยินสั่งให้คนไปเรียกเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่เรียนหนังสืออยู่ที่ห้องปีกตะวันออกมา จากนั้นก็ส่งคนไปถามสวีลิ่งอี๋ เมื่อรู้แล้วว่าสวีลิ่งอี๋ไม่มาทานอาหารเย็น ก็พาบรรดาสะใภ้และหลานๆ ไปทานอาหารเย็นที่ห้องปีกตะวันออก จากนั้นก็พูดคุยกับเด็กๆ ที่ห้องปีกตะวันตก เมื่อเห็นว่าฟ้ามืดมากแล้วจึงให้สืออีเหนียงปรนนิบัตินางเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนคนอื่นๆ ก็ให้แยกย้ายกันไป
ไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงนั่งอยูบนเตียงเตาริมหน้าต่างห้องด้านใน
“เมื่อครู่อี๋เจินมาบอกข้าว่าเรื่องการหมั้นหมายเกรงว่าจะล้มเหลว!” ไท่ฮูหยินพูดเสียงเบาว่า “บอกว่าความบาดหมางระหว่างนางกับพี่สะใภ้ทำลายอนาคตของเด็กๆ จึงให้ข้ามาบอกพวกเจ้า หากได้พบสกุลที่ดีก็จะช่วยหมั้นหมายให้อวี้เกอ!”
สืออีเหนียงก็มีลางสังหรณ์ก่อนหน้านี้แล้ว
เรื่องวุ่นวายเช่นนี้ ต่อให้เป็นญาติพี่น้องแต่ในใจทุกคนก็ยังมีช่องว่างระหว่างกัน คงทำได้เพียงปล่อยให้เป็นเช่นนี้
เมื่อเห็นไท่ฮูหยินดูเศร้าหมอง จึงพูดเกลี้ยกล่อมเสียงเบาว่า “ท่านแม่ พรหมลิขิตขึ้นอยู่กับโชคชะตา มิเช่นนั้นจะเรียกว่าพรหมลิขิตได้อย่างไร”
“เฮ้อ!” ไท่ฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็ถอนหายใจ “เดิมทีข้าคิดว่าหากได้เป็นดองกับสกุลที่เป็นญาติอยู่แล้วก็จะดีเข้าไปใหญ่!”
สืออีเหนียงไม่เข้าใจ
ไท่ฮูหยินพูดเสียงเรียบว่า “มีบางเรื่องที่เจ้าไม่รู้ ตอนที่ท่านแม่ของอี๋เจินยังมีชีวิตอยู่ นางโมโหเพราะลูกเลี้ยงอยู่ไม่น้อย การจากไปอย่างรวดเร็วก็เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่บ้าง ต่อมาพี่สองของเจ้าก็ไม่อยู่แล้ว แม้ว่าในใจของอี๋เจินจะมีปม แต่นางก็ยังเคยคิดที่จะรับเด็กมาเลี้ยงภายใต้ชื่อพี่สองของเจ้า เพียงแต่ว่าตอนนั้นเจ้าห้ายังไม่ได้แต่งงาน บุตรชายของเจ้าสี่ก็มีน้อย จึงได้คิดถึงท่านลุงที่อยู่หนานจิง ส่งคนไปปรึกษา มีเพียงบุตรชายคนที่สามของลิ่งฟู่เท่านั้นที่เหมาะสม ตอนนั้นเขาพึ่งอายุครบหนึ่งขวบและเป็นบุตรของภรรยาเอก เดิมทีได้พูดคุยกันไว้แล้ว แต่พอมาถึงสะใภ้ของลิ่งฟู่ก็ไม่ตกลง ตอนแรกข้ารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่พี่สะใภ้สองของเจ้าบอกว่า แม่ลูกเชื่อมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน การที่คุณนายสองสกุลฟู่ไม่ยินยอมนั้นเป็นเรื่องปกติ ต่อไปค่อยหาคนที่เหมาะสมใหม่ก็ได้ ข้าเห็นนางสีหน้าเรียบเฉย สกุลนั้นก็ไม่ยินยอม จึงทำได้เพียงปล่อยไป ใครจะไปรู้ว่าการปล่อยมือในครั้งนี้ทำให้เจ้าสี่ต้องมาอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ แล้วก็ต้องไปช่วยหาหมอหรือขอยามารักษาพี่หญิงใหญ่ของเจ้า แล้วยังกังวลว่าฮองเฮาจะ…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปครู่หนึ่ง คิดได้ว่าคำว่า ‘ขึ้นครองราชย์’ นั้นไม่อาจอธิบายได้ชัดเจน “มีเรื่องให้กังวลอยู่ตลอด จึงได้ปล่อยวางเรื่องนี้ลง แต่ในใจก็รู้ว่านางนั้นไม่ง่ายเลย อายุยังน้อยก็ต้องมาไว้ทุกข์สามปี นางไม่พูดถึง ข้าเองก็ไม่กล้าพูดถึง” ไท่ฮูหยินเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป จากนั้นก็ตบมือสืออีเหนียงเบาๆ
เหตุผลที่ไท่ฮูหยินต้องการเป็นดองกับสกุลเซี่ยงก็เพราะว่าหวังว่าฮูหยินสองจะมีเพื่อน!
แต่เรื่องแบบนี้ไม่สามารถบังคับได้
สืออีเหนียงปลอบใจไท่ฮูหยิน “ท่านแม่ ฮูหยินสองอายุยังน้อย เรื่องที่จะรับเด็กมาเลี้ยงไว้วันหลังค่อยๆ คิดก็ได้เจ้าค่ะ”
“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น” สุดท้ายแล้วก็ยังคงมีความเสียใจอยู่บ้าง
ขณะที่แม่สามีกับลูกสะใภ้กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น สวีลิ่งอี๋ก็เข้ามาคารวะไท่ฮูหยิน เมื่อเห็นสืออีเหนียงนั่งอยู่บนเตียงเตากับไท่ฮูหยินอย่างสนิทสนม เขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
ไท่ฮูหยินยิ้มพลางบอกให้พวกเขาออกไป “ข้าจะพักผ่อนแล้ว”
สืออีเหนียงหน้าแดงเล็กน้อย “ข้าจะปรนนิบัติท่านพักผ่อนก่อนแล้วค่อยไปเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องหรอก!” ไท่ฮูหยินยิ้ม “ข้ามีแค่ป้าตู้ก็พอแล้ว”
สืออีเหนียงเห็นไท่ฮูหยินยืนกรานเช่นนั้น จึงยิ้มพลางคำนับไท่ฮูหยิน จากนั้นก็ถอยออกไปพร้อมกับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ถามสืออีเหนียงว่า “เจ้ากับท่านแม่พูดคุยอะไรกัน ท่าทางดูสนิทสนม”
“กำลังพูดถึงเรื่องของอวี้เกอ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆ “การหมั้นหมายไม่สำเร็จ พี่สะใภ้สองมาบอกท่านแม่แล้วหรือ”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านโหวรู้ได้อย่างไร”
“เวลาพี่สะใภ้สองทำการอะไรบางอย่างมักมีความทะนงตนอยู่บ้าง” สวีลิ่งอี๋พูดอีกว่า “ในเมื่อสกุลเซี่ยงไม่เต็มใจนัก พี่สะใภ้สองก็คงไม่ฝืนใจพวกเขา แน่นอนว่านางจะพูดให้กระจ่างแจ้งชัดเจน ไม่มีการเติมแต่ง”
“ท่านโหวพูดถูกแล้ว” สืออีเหนียงเล่าเรื่องที่ไท่ฮูหยินบอกกับนางให้สวีลิ่งอี๋ฟัง อดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “…ท่านแม่ช่างใจดีจริงๆ!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “ท่านแม่มักจะบอกข้าว่า คนครอบครัวเดียวกันอยู่ด้วยกัน จะต้องคิดถึงความดีของผู้อื่น ถึงจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้อย่างสามัคคี”
แล้วเหตุใดนางถึงทำตัวเป็นปรปักษ์กับหยวนเหนียงเล่า
สืออีเหนียงเกือบจะพลั้งปากพูดออกมา เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นสีหน้าหม่นหมองของสวีลิ่งอี๋ อดคิดเดาไม่ได้ว่าเขาอาจกำลังคิดถึงหยวนเหนียง!
ทั้งสองเดินกลับเรือนอย่างเงียบๆ
สืออีเหนียงพึ่งนึกเรื่องที่ต้องไปดื่มสุรามงคลที่จวนจงฉินปั๋ว
“ท่านแม่ให้ข้ามาปรึกษากับท่านโหว เรื่องสุรามงคลของสกุลเหลียงและสกุลกาน พวกเราจะให้ความสำคัญกับความใกล้ชิดเท่านั้นจึงให้ข้าไปดื่มสุรามงคลที่จวนจงฉินปั๋ว!”
สวีลิ่งอี๋คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “เจ้าเล่าเรื่องปิดอ่าวทะเลให้ท่านแม่ฟังแล้วหรือ”
“เปล่าเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “พี่สะใภ้สองเป็นคนเอ่ยขึ้น…” จากนั้นก็เล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นให้ฟัง
“เช่นนี้ก็ได้!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เจ้าจะได้ไปส่งคุณหนูเจ็ดสกุลกานด้วย!”
ทั้งสองล้างหน้าล้างตาแล้วเข้านอน
สืออีเหนียงถามสวีลิ่งอี๋ “เรือนจะสร้างเสร็จเมื่อใด”
“ทำไม เจ้าไม่ชอบพักอยู่ที่นี่หรือ”
ตั้งแต่ที่ทั้งสองคนย้ายมาอยู่ที่เรือนนี้ กฏเกณฑ์เดิมก็ถูกระงับชั่วคราว
“ก็แค่ถามเฉยๆ ข้าจะได้เตรียมใจเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดอย่างสบายๆ ว่า “ถ้าถึงตอนนั้นก็ต้องเก็บข้าวของใส่หีบ ต้องจัดหาคนมาย้ายของ แล้วก็ยังต้องจัดแต่งห้องใหม่…จะต้องยุ่งไปสักพักหนึ่ง”
“ข้าสังเกตว่าเจ้าชอบอยากรู้ทุกอย่างล่วงหน้า จากนั้นก็ค่อยวางแผนอย่างละเอียด”
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “ข้าไม่ชอบเรื่องที่มาอย่างกะทันหัน”
“แล้วเรื่องที่ได้ดูแลเรื่องในเรือนเล่า ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันหรือไม่”
“ก็ไม่เท่าไร” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “ตราบใดที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการใหญ่ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นก็ถือว่าไม่เท่าไรเจ้าค่ะ”
“อะไรคือผลกระทบต่อการใหญ่ อะไรคือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ”
“ข้าแค่เปรียบเทียบเฉยๆ…”
สองสามีภรรยาพูดคุยกัน สุดท้ายสวีลิ่งอี๋ก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเรือนว่าจะสร้างเสร็จเมื่อใด
เมื่อถึงวันที่ยี่สิบห้าเดือนสาม สืออีเหนียงสวมเสื้อกั๊กยาวที่ทำจากผ้าแพรหังโจวสีแดง สวมกระโปรงสีเขียวอมเหลืองปักลายดอกไม้ไปจวนจงฉินปั๋ว
กานฮูหยินเห็นนางก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
สืออีเหนียงจึงทำเป็นว่าเหตุการณ์ในวันนั้นไม่เคยเกิดขึ้น คำนับและทักทายนางอย่างจริงใจ
สีหน้ากานฮูหยินค่อยๆ กลับมาดูสงบ พาสืออีเหนียงไปที่ห้องจัดเลี้ยงสำหรับแขกผู้มีเกียรติ
หวงฮูหยินจวนหย่งชังโหว ถังฮูหยินจวนจงซานโหว หลินฮูหยินจวนเวยเป่ยโหว โจวฮูหยินและคนอื่นๆ มาถึงนานแล้ว กำลังพูดคุยกัน เมื่อเห็นสืออีเหนียงเข้ามาคนเดียว ทั้งหมดก็มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย โจวฮูหยินยิ้มแล้วเดินเข้ามาต้อนรับ “ฮูหยินสี่สบายดีหรือไม่ ชุดในวันนี้ช่างงดงามจริงๆ” ดึงมือนางมาจับอย่างสนิทสนม
สืออีเหนียงคำนับนาง “ข้าคิดถึงพี่หญิงและฮูหยินทุกท่านมาตลอดจึงรีบมาตั้งแต่เช้าตรู่ ใครจะไปรู้ว่าก็ยังถือว่าช้าอยู่ดี” จากนั้นก็เข้าไปคารวะบรรดาฮูหยินทั้งหลาย
ทุกคนคำนับซึ่งกันและกัน
เฉียวฮูหยินจวนเฉิงกั๋วกงมาพอดี
ทุกคนพากันเข้าไปทักทาย
สืออีเหนียงก็พยักหน้าให้นางเช่นกัน จากนั้นก็ไปนั่งข้างๆ หวงฮูหยิน
พี่สะใภ้ของกานฮูหยินและคนอื่นๆ เดินเข้ามา ทันใดนั้นในห้องก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น
โจวฮูหยินกระซิบกับสืออีเหนียงว่า “ปีนี้เจินเจี่ยเอ๋อร์ของพวกเจ้าอายุสิบสองปีแล้วใช่หรือไม่ หลังจากพิธีไว้ทุกข์ผ่านไปแล้ว คงจะได้เวลาพูดถึงเรื่องการหมั้นหมายแล้วกระมัง”
สืออีเหนียงใจเต้นแรง
สกุลโจวได้แต่งงานกับสกุลที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถ้าหากสามารถทำให้โจวฮูหยินช่วยดูแลเจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ก็คงดี เพราะว่านางสายตากว้างไกลกว่าตัวเองมาก
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” นางยิ้มพลางตอบกลับโจวฮูหยิน “เพียงแต่หลายปีมานี้คนในเรือนไม่ค่อยได้ออกไปไหน แล้วก็ยังไม่มีคนที่เหมาะสม หากมีวาสนาก็ขอให้พี่หญิงโจวช่วยหาให้สักหน่อย”
โจวฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ “ข้ามีคนที่ถือว่าใช้ได้อยู่ เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นข้ายังไม่ทันได้เอ่ยปากเจินเจี่ยเอ๋อร์ของพวกเจ้าก็ได้หมั้นหมายไปแล้ว ดังนั้นจึงได้ตั้งใจมาถามเจ้า”
“รบกวนพี่หญิงแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อถึงวันเกิดของไท่ฮูหยิน ข้าจะดื่มคารวะพี่หญิงสักสองจอก”
หมายความว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาพูดถึงเรื่องนี้ ต้องรอให้ถึงวันเกิดไท่ฮูหยินวันที่ยี่สิบสี่เดือนสี่เสียก่อน ซึ่งตอนนั้นก็ได้ครบกำหนดไว้ทุกข์แล้ว ทุกคนค่อยมาหารือเรื่องนี้กันอีกครั้ง
โจวฮูหยินเข้าใจในทันที ยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะไปดื่มสุราสักจอกอย่างแน่นอน!”
ทั้งสองคนพูดคุยกันเสียงเบาอยู่ครู่หนึ่ง บุตรเขยมารับเจ้าสาว บางคนไปดูความครึกครื้น บางคนนั่งดื่มชาอยู่ในห้อง บางคนก็เดินไปเดินมาอยู่ที่ลาน
สืออีเหนียงไปห้องชำระ
ตอนที่ออกมาสาวใช้น้อยที่ยกน้ำชามาได้ชนเข้ากับนาง เสื้อกั๊กยาวเปียกน้ำชาจนใส่ไม่ได้
สาวใช้น้อยตกใจจนตัวสั่น พูดไม่ออก
สืออีเหนียงให้หู่พั่วพยุงสาวใช้น้อยผู้นั้นขึ้นมา “เจ้าอย่าเอะอะไป พาข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนคุณหนูสามของเจ้าก็พอแล้ว”
สาวใช้น้อยอายุเพียงแปดเก้าขวบ ยังไม่ได้ไว้ผม เมื่อได้ยินสืออีเหนียงพูดเช่นนี้ ก็พานางไปเรือนเฉาเอ๋อร์โดยไม่พูดไม่จา แต่กลับร้องไห้ออกมาเสียงดัง