บทที่ 293 ทุกคนล้วนให้ความสนใจ เหยียนโจวเป็นสถานที่สำคัญใช่หรือไม่?
ความวุ่นวายบนเขาหยงหมิงยังคงไม่สงบ ผู้ฝึกตนจำนวนมากยังไม่สามารถหลุดพ้นจากอาการสั่นสะท้านได้
“อมิตาภพุทธ”
สีหน้าของพระอาจารย์เกาเซิงนั้นจริงจังเป็นอย่างมาก เขาลากต้าเต๋อกลับไปยังวังที่พัก
กล่าวตักเตือนต้าเต๋ออย่างจริงจัง หากครั้งนี้เรื่องลุกลามขึ้นมาเกรงว่าแม้แต่พุทธศาสนาก็ไม่อาจปกป้องต้าเต๋อได้
“ท่านภิกษุน้อยผู้นี้ไม่ได้โง่นะ!”
ต้าเต๋อแตะจมูกของตน เป็นครั้งแรกที่เขาตอบรับอย่างว่านอนสอนง่าย
เขาไหนเลยจะกล้าก่อความวุ่นวายขึ้นอีก…
เซี่ยเหยียนผู้นั้นน่ากลัวเกินไป!
“ข้าจำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้!”
พระอาจารย์เกาเซิงหยิบยันต์พุทธะโบราณออกมา ก่อนจะใส่ข่าวลงไปในยันต์
หลังจากนั้นเขาก็พึมพำบางอย่างภายในปาก ยันต์ก็พลันเปล่งแสงพุทธะออกมา ก่อนจะเผาไหม้ตนเองกลายเป็นเถ้าถ่านสลายหายไป
…
ดินแดนฝอ
ณ เขาหลิงซาน*[1]
ขุนเขากว้างใหญ่ราวไร้ที่สิ้นสุด หมู่เมฆาลอยอ้อยอิ่งบนยอดเขา นกมงคลบินผ่านเป็นครั้งคราว ประหนึ่งดินแดนสุขาวดีบนโลกา
วัดโบราณขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นบนเขาทอประกายแสงแห่งพุทธะลาง ๆ กล่าวได้ว่าต้นกำเนิดของศาสนาพุทธคือเขาหลิงซานแห่งนี้
คืนวันล่วงผ่าน แม้ขุนเขาและธารน้ำจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร เขาหลิงซานก็ยังคงไม่แปรเปลี่ยนไปตามกาล
บนยอดเขาหลิงซานมีพระพุทธรูปทองคำองค์หนึ่งตั้งตระหง่านทะลุเข้าไปในหมู่เมฆ ท่าทางของพระพุทธรูปที่นั่งขัดสมาธิบนแท่นปทุมนั้นสง่างามน่าเลื่อมใส ประหนึ่งดวงประทีปส่องไสวทั่วแดนฝอ
เช่นเดียวกับเขาหลิงซาน พระพุทธรูปทองคำองค์นี้ผ่านกาลเวลามายาวนานก็ยังคงตั้งตระหง่าน นี่คือพระพุทธรูปทองคำของพระอมิตาภพุทธเจ้า
“อมิตาภพุทธ มีคนจากยอดนิกายปรากฏตัวขึ้นหรือ?”
ในอุโบสถที่ใหญ่สุดบนเขาหลิงซาน ภิกษุชราที่ดูใจดีมีเมตตาผู้หนึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่บนอาสนะ ทันใดนั้นเองเขาก็พลันสัมผัสได้ถึงบางอย่าง จึงสิ้นสุดการเข้าฌาน แล้วลืมตาขึ้นมา
ยันต์พุทธะโบราณแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเขาพร้อมข่าวสารจำนวนมากที่ถูกบรรจุเอาไว้ นี่คือยันต์ที่ถูกพระอาจารย์เกาเซิงส่งมาจากภูเขาหยงหมิง
“เหยียนโจวหรือ?”
เขาพูดกับตัวเองเสียงเบา รู้สึกว่ายอดนิกายที่ปรากฏขึ้นในเหยียนโจวไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นด้วยเหตุผลบางประการ
…
ภายในเขาหยงหมิง กลุ่มอำนาจต่าง ๆ ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณก็พากันทำการติดต่อกลับไปยังสังกัดตนเองเหมือนกับที่พระอาจารย์เกาเซิงทำ
พวกเขารายงานเรื่องของกลุ่มพวกเซี่ยเหยียนไปยังสังกัดของตน
นี่สะท้อนให้เห็นถึงขุมกำลังที่สืบทอดกันมา
โลกกว้างใหญ่ไพศาล แต่ละดินแดนห่างไกลจากกันเป็นอย่างมาก การรับส่งข้อมูลระหว่างสองสถานที่ย่อมไม่ใช่เรื่องสามัญทั่วไป
มีเพียงเผ่าหรือกลุ่มที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณเท่านั้นที่สามารถรับส่งข้อมูลเช่นนี้ได้ แสดงให้เห็นถึงขุมกำลังที่สืบทอดกันมาและเบื้องหลังที่ล้ำลึกจนไม่อาจจินตนาการได้
นอกจากพวกเขาแล้ว กลุ่มอำนาจอื่นก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้
ใช้เวลาเพียงไม่นาน สังกัดของพวกเขาก็ได้รับข้อมูลว่ามียอดนิกายปรากฏตัวขึ้นในเหยียนโจวของแดนหยิน
“ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่? ยอดนิกายปรากฏตัวขึ้นในเหยียนโจว อาจเป็นเพราะสถานที่แห่งนั้นมีความสำคัญบางอย่าง!”
“ไม่ว่าอย่างไร ที่เหยียนโจวก็ต้องมีอะไรไม่ธรรมดาแน่ กำหนดให้เหยียนโจวกลายเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดเสีย!”
กองกำลังทั้งหมดต่างออกคำสั่งให้สมาชิกสังกัดตนในแดนหยินมุ่งหน้าไปยังเหยียนโจว
โลกได้ส่งสัญญาณเตือนถึงภัยพิบัติที่กำลังจะมาถึงแล้ว เขตแดนอาณาจักรเริ่มจะคลาย สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนอาจมาเยือนยังโลกของพวกเขาอีกครั้ง
แต่ละเขตแดนอาณาจักรล้วนมีเจตจำนงฟ้าดินค่อยปกป้อง สกัดกั้นไม่ให้สิ่งมีชีวิตภายนอกโลกใบนี้เข้ามา
เจตจำนงฟ้าดินได้ส่งสัญญาณเตือน ว่ามีสิ่งมีชีวิตภายนอกต้องการทำลายเขตแดนอาณาจักรป้องกัน หมายจะล่วงล้ำเข้ามายังดินแดนแห่งนี้ เหล่าผู้แข็งแกร่งต่างสัมผัสได้ถึงสัญญาณแจ้งเตือนจากเจตจำนงฟ้าดิน
พวกเขาประกาศออกไปว่า ดินแดนหยินมีโชคลาภฟ้าประทานปรากฏขึ้น ทำให้สิ่งมีชีวิตจากทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกัน ทว่าความจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้น
ตามสัญญาณเตือนจากเจตจำนงฟ้าดินที่พวกเขาสัมผัสได้ ดินแดนหยินคือสถานที่แห่งแรกที่สิ่งมีชีวิตจากภายนอกจะมาเยือน จึงถูกกำหนดให้กลายเป็นสมรภูมิรบ!
ดินแดนหยินจะกลายเป็นปากทางเข้าของสิ่งมีชีวิตจากภายนอก!
ดังนั้นการที่พวกเขาหลากหลายชาติพันธุ์มารวมตัวกัน ก็เพื่อต้องการเตรียมตัวล่วงหน้าสำหรับการต่อต้านสิ่งมีชีวิตตจากภายนอก
พวกเขาโกหกว่า ดินแดนหยินมีโชคลาภฟ้าประทาน เนื่องด้วยต้องการจะป้องกันไม่ให้ผู้คนในดินแดนแห่งนี้ตื่นตระหนกจนเกินไป
ศัตรูยังมาไม่ถึง แต่ภายในของพวกเขากลับวุ่นวาย เช่นนั้นแล้วจะเอาสิ่งใดไปสู้…
แต่แน่นอนว่า พวกเขาไม่อาจบอกความจริงเมื่อยามสงครามครั้งใหญ่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
การบอกความจริงในยามนั้นคงจะสายเกินไปแล้ว
พวกเขาเริ่มเตรียมการเอาไว้แล้ว ประคับประคองต่อไปอีกสักนิด ค่อยดำเนินตามแผนการที่ตระเตรียมความพร้อมให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งโลก
แต่ดินแดนหยินนั้นกว้างใหญ่เกินไป พวกเขาไม่รู้ว่าปากทางเข้านั้นอยู่ที่ใด ทว่าวันนี้กลับมีคนจากยอดนิกายปรากฏตัวขึ้นในเหยียนโจว ทำให้พวกเขาต่างพากันคาดเดาว่าบางทีทางเข้าอาจอยู่ในเหยียนโจว
ยอดนิกายนั้นแข็งแกร่งกว่าพวกเขาเป็นอย่างมาก บางทียอดนิกายอาจล่วงรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ในคำเตือนจากเจตจำนงฟ้าดินมากกว่าพวกเขา
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เหยียนโจวกลายเป็นสถานที่ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก กองกำลังใหญ่จากแดนฮวงและแดนฝอต่างพากันมุ่งหน้าไปยังเหยียนโจว
“เหตุใดจึงไปที่เหยียนโจว?”
“หรือเหยียนโจวจะมีโชควาสนาการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่?”
คนจำนวนมากจากแดนฮวงและแดนฝอพากันมุ่งหน้าไปยังเหยียนโจว ทำให้ผู้คนในแดนหยินที่ล่วงรู้ต่างพากันรู้สึกประหลาดใจ พากันแห่ตามไปยังเหยียนโจวทีละคน
…
ณ แดนฮวง
“ข้าต้องการจะล้างแค้น!”
ฉงคูกลับจากแดนหยินถึงแดนฮวงอย่างรวดเร็วด้วยความช่วยเหลือจากค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ
มันรู้สึกเจ็บใจเกินทนขณะต้องหนีกลับมาอย่างหัวซุกหัวซุนราวกับสุนัขจรจัด มันไม่อาจยอมรับได้ จึงเอ่ยสาบานว่าจะชำระแค้นในครั้งนี้ให้ได้!
บรรพชนของเผ่ามันยังมีชีวิตอยู่ มันต้องการให้บรรพชนออกหน้า!
มันบิดอากาศเป็นช่องว่างตรงกลับไปยังถิ่นฐานของเผ่า
“ท่านบรรพชน ท่านรีบออกมาเถิด เผ่าของพวกเราใกล้จะถูกทำลายแล้ว!”
มันตะโกนขณะตรงเข้าไปยังสถานที่จำศีลของบรรพชน
บรรพชนของเผ่ามันนอนนิ่งราวกับกลายเป็นก้อนหินไปอย่างสมบูรณ์แล้ว อายุขัยของบรรพชนใกล้จะหมดลง ดังนั้นในวันปกติจึงจำศีลเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้พลังงาน
ยิ่งสายเลือดทรงพลังเพียงใดก็ยิ่งให้กำเนิดเชื้อสายยากเท่านั้น
สายเลือดของเผ่ามันทรงพลังเป็นอย่างมาก จึงทำให้มีเชื้อสายถือกำเนิดขึ้นมาน้อยเป็นอย่างยิ่ง ยามนี้ในเผ่ามีเพียงตัวมัน น้องชาย พ่อของมัน และก็ท่านบรรพชน
ฉงคูรีบวิ่งเข้ามาร้องห่มร้องไห้เบื้องหน้าของรูปปั้นหินสัตว์ร้าย
“ท่านบรรพชน น้องชายของข้า ท่านพ่อของข้า ทั้งสองคนล้วนตายตกไปหมดแล้ว ได้โปรดตื่นขึ้นมาล้างแค้นให้พวกเขาเถิด!”
มันร้องไห้จนน้ำมูกไหลออกมาอย่างน่าสังเวชชวนให้คนมองเศร้าใจตาม
ตู้ม!
ในตอนนั้นเอง ผิวที่เป็นหินบนรูปปั้นก็แตกออก เผยให้เห็นร่างของสัตว์ร้ายที่ยังคงมีเลือดเนื้อ!
เห็นได้อย่างชัดเจนว่านี่ไม่ใช่รูปปั้นอะไรทั้งนั้น แต่เป็นสัตว์ร้ายที่ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานานจนถูกฝุ่นทับถมจนก่อตัวเป็นชั้นหินหนา ทำให้ดูเหมือนกับรูปปั้นสัตว์ร้าย
ชั้นหินที่ทับถมหนาจนเกือบสองจั้ง สัตว์ร้ายตนนี้ไม่ได้เคลื่อนไหวมานานเท่าไหร่กันจึงเกิดเป็นชั้นหินหนาได้ขนาดนี้?
น่าตื่นตะลึงเกินไปแล้ว!
ชั้นหินร่วงกราว เผยให้เห็นสัตว์ร้ายที่มีเลือดเนื้ออยู่ภายใน สัตว์ร้ายเปิดปากพูดพร้อมประกายแสงน่ากริ่งเกรง ขณะเดียวกันก็มีลมปราณอันน่าหวาดหวั่นชวนผวา!
“เจ้าพูดว่าอย่างไร!?”
ม่านตาเรียวตั้งตรงของสัตว์ร้ายเต็มไปด้วยโทสะที่กำลังพวยพุ่ง
มันเป็นบรรพบุรุษของเผ่าและเผ่าของมันก็มีสมาชิกเพียงแค่สี่คนเท่านั้น
ยามนี้เมื่อมันได้ยินว่าสมาชิกในเผ่าสองคนตายไปแล้ว จิตสังหารก็พลันเกิดขึ้นมาในใจทันที!
สังหารสมาชิกในเผ่าของมันไปสองคน ไม่ได้หมายความว่าต้องการจะทำลายเผ่าของมันหรอกหรือ!?
มันไม่อาจทนได้!
[1] เขาหลิงซาน (灵山) ของศาสนาพุทธโดยทั่วไปแล้วหมายถึง เขาคิชฌกูฏหรือเขาอีแร้ง (灵鹫山) ในอินเดีย อดีตเคยเป็นสถานที่ประทับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นแหล่งกำเนิดเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา