ตอนที่ 313 หวังหรงเจอหนุ่มฮ่องกง
หนิวลี่ลี่พาหวังหรงเข้าไปที่ห้องทำงาน เชิญให้หล่อนนั่งลง
จากนั้นก็หยิบเครื่องบันทึกเทปขนาดเล็กออกมา กดปุ่มบันทึก แล้วถามอย่างใจดี “คุณอยากเปิดโปงใครคะ?”
หวังหรงมองไปที่เครื่องบันทึกเทปขนาดเล็กด้วยความหวาดระแวง ถามติดต่อกันถึงสามประโยคด้วยความตกใจ “คุณเอาเครื่องบันทึกเทปออกมาทำไม? ต้องใช้ด้วยเหรอ? ทำไมต้องบันทึกด้วย?”
หนิวลี่ลี่อธิบายด้วยรอยยิ้ม “อย่าประหม่านะคะ ทางสำนักหนังสือพิมพ์ของเรามีกฎว่าจะต้องบันทึกเสียงการสัมภาษณ์ทั้งหมดให้ครบถ้วน เพื่อหลีกเลี่ยงประเด็นพิพาทหลังจากที่เนื้อหาการสัมภาษณ์ถูกเผยแพร่ลงหนังสือพิมพ์ กันคนกล่าวหาว่าเราเขียนข่าวโดยไม่มีมูลความจริง หวังว่าคุณจะเข้าใจ”
หวังหรงลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา
ถึงอย่างไรเทปเสียงก็ไม่ได้ระบุตัวตนของหล่อนอยู่แล้ว ต่อให้มีหลักฐานก็ไม่มีใครจำได้ว่าหล่อนคือใคร
หล่อนเริ่มให้ข้อมูล “คืออย่างนี้ ฉันอยากรายงานการทำงานของสำนักงานพาณิชย์ประจำเมืองเจียงเฉิง ฉันเห็นว่าพวกเขาทุจริตต่อหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว”
หนิวลี่ลี่เคร่งขรึมขึ้นมาทันที “เรื่องที่คุณต้องการรายงานถือเป็นเรื่องใหญ่ เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมคะว่าสำนักงานพาณิชย์เพิกเฉยต่อหน้าที่ยังไง แล้วเกี่ยวอะไรกับผลประโยชน์ส่วนตัว?”
หวังหรงแต่งเรื่องทั้งหมดจากจินตนาการ กล่าวหาสำนักงานพาณิชย์ว่าเจ้าหน้าที่รู้เห็นว่าหลินม่ายขายเสื้อผ้ามือสองที่ผิดกฎหมาย แต่กลับเพิกเฉยต่อการกระทำของเธอ
จากนั้นก็พูดเสริมอย่างมีหลักการ “รู้กันอยู่ว่าทางการออกคำสั่งห้ามขายสินค้ามือสอง แต่จู่ ๆ คำสั่งห้ามก็เป็นหมันขึ้นมาเสียอย่างนั้น เรื่องนี้ต้องมีคนสมรู้ร่วมคิดแน่”
หนิวลี่ลี่ถามด้วยความสนใจ “โอ้? งั้นคุณรู้หรือเปล่าคะว่าคนที่สมรู้ร่วมคิดคนนั้นคือใคร?”
“แน่นอน ฉันรู้ว่าคนคนนั้นคือศาสตราจารย์ฟางจั๋วหรานแห่งมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้” หวังหรงขบกรามแน่น
หล่อนจะลากฟางจั๋วหรานให้ล่มจมไปด้วย
เขากับหลินม่าย คนหนึ่งขายเสื้อผ้ามือสองที่นำเข้าโดยผิดกฎหมาย ส่วนอีกคนหนึ่งกลับทำหน้าที่เป็นร่มบังลมฝนให้กับเธอ
ตราบใดที่เรื่องนี้ถูกตีแผ่ลงหนังสือพิมพ์ พวกเขาก็จะจ่อรอเข้าคุกกันทั้งคู่!
สายตาหนิวลี่ลี่เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที “ทำไมคุณถึงมั่นใจขนาดนั้น?”
“เพราะแฟนสาวของเขาคือแม่ค้าที่ขายเสื้อผ้ามือสองคนนั้นไงล่ะ”
พอพูดถึงหลินม่าย หวังหรงก็ไม่อาจควบคุมอารมณ์ที่อยากจะทำให้อีกฝ่ายต้องแปดเปื้อนมลทินได้เลย
หล่อนลดระดับเสียงลง พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันจะบอกให้ นอกจากหล่อนจะขายเสื้อผ้ามือสองที่ผิดกฎหมายแล้ว ยังชอบแย่งแฟนชาวบ้านด้วยนะ”
หนิวลี่ลี่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนถามประชดประชัน “แล้วเธอแย่งแฟนใครมาล่ะคะ?”
ตอนนี้หวังหรงถึงรู้ตัวว่าตัวเองพูดมากเกินความจำเป็น จึงหัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะพูดต่อ “ฉันเผลอนอกเรื่องเอง อย่าพูดถึงเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเลยค่ะ เรื่องที่ฉันให้ข้อมูลจะถูกตีพิมพ์เร็วที่สุดเมื่อไหร่?”
หล่อนหวังว่าจะได้เห็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ในเร็ววัน อยากเห็นหลินม่ายล้มละลาย และติดคุกพร้อมกับฟางจั๋วหรานไม่ไหวแล้ว
หนิวลี่ลี่แบ่งรับแบ่งสู้ “รอให้เราสืบสาวหาความจริงเสร็จเมื่อไหร่ เรื่องนี้จะถูกตีพิมพ์ในอีกไม่กี่วันนี้ ช่วยอดทนรอหน่อยนะคะ”
ฟางจั๋วหรานนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเอง กำลังหมกมุ่นอยู่กับการวินิจฉัยเคสต่าง ๆ ทันใดนั้นโทรศัพท์บนโต๊ะก็ดังขึ้น
พอเขายกหูเพื่อรับสาย เสียงจากเครื่องบันทึกเทปก็ดังมาจากปลายสาย
ผู้หญิงคนหนึ่งถามว่า “โอ้? งั้นคุณรู้หรือเปล่าคะว่าคนที่สมรู้ร่วมคิดคนนั้นคือใคร?”
ผู้หญิงอีกคนตอบกลับ “แน่นอน ฉันรู้ว่าคนคนนั้นคือศาสตราจารย์ฟางจั๋วหรานแห่งมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้”
ฟางจั๋วหรานขมวดคิ้วเล็กน้อย
เสียงผู้หญิงคนสุดท้ายที่ได้ยินเป็นเสียงของหวังหรงไม่ผิดแน่ ผู้หญิงเลวคนนี้กำลังจะทำอะไร?
ขณะนั้นเอง เสียงหัวเราะที่กังวานใสราวกับระฆังเงินของหญิงสาวอีกคนก็ดังขึ้นจากปลายสาย “คุณหมอฟาง คุณจำเสียงฉันได้หรือเปล่าคะ?”
ฟางจั๋วหรานตอบกลับอย่างระมัดระวัง “ผมจำไม่ได้”
หญิงสาวปลายสายตอบกลับอย่างสะบัดสะบิ้ง “คุณหมอฟางนี่ขี้ลืมจริง ๆ เลย ฉันจะบอกใบ้ให้ว่าคุณปู่ของฉันชื่อหนิวจื่อโม่ ทีนี้คุณจำได้หรือยังคะว่าฉันเป็นใคร?”
“จำได้ คุณเป็นหลานสาวของคุณหนิว”
หญิงสาวพูดอย่างซุกซน “แล้วชื่อล่ะ อย่าบอกนะคะว่าลืมไปแล้ว”
ฟางจั๋วหรานพูดอย่างตรงไปตรงมา “ปกติแล้วผมมักจะลืมคนที่ไม่มีความสำคัญในชีวิตผมง่าย ๆ โดยเฉพาะชื่อน่ะครับ”
“แต่คนที่ไม่สำคัญคนนี้กำลังแสดงความหวังดี ว่ามีคนพยายามจะใส่ร้ายป้ายสีคุณนะคะ”
แม้ว่าน้ำเสียงของหนิวลี่ลี่จะยังฟังดูกระฉับกระเฉง แต่ในใจของหล่อนกลับรู้สึกเศร้าเล็กน้อย
ตอนที่คุณปู่ของหล่อนเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หล่อนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเข้าหาเขา เพราะหวังว่าเขาจะประทับใจในตัวหล่อนบ้าง
ไม่น่าเชื่อเลย เขากลับบอกว่าหล่อนเป็นคนไม่สำคัญ
ฟางจั๋วหรานขอบคุณหล่อน ถามว่า “เครื่องนั้นยังบันทึกข้อมูลอะไรไว้อีกบ้าง?”
หนิวลี่ลี่เล่าเนื้อหาทั้งหมดที่หวังหรงเปิดเผยให้เขาฟัง จากนั้นก็อธิบายว่า “ฉันแค่อยากยืนยันให้แน่ใจ ว่าทุกอย่างที่ผู้หญิงคนนี้พูดมาเป็นแค่เรื่องไร้สาระ”
ถ้าเป็นแค่เรื่องไร้สาระ ก็จะเพิกเฉยได้โดยไม่รู้สึกผิด
แต่ถ้าเป็นจริงตามนั้น หล่อนจะได้หาทางระงับเรื่องนี้
อย่างน้อยก็ไม่ควรเกิดอะไรขึ้นกับฟางจั๋วหราน
ฟางจั๋วหรานพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เป็นเรื่องไร้สาระจริงไหม เดี๋ยวสำนักหนังสือพิมพ์ของคุณไปตรวจสอบก็จะรู้เอง คุณจะมาถามผมทำไม? อย่าลืมว่าผมเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ว่า”
เขารู้ดีว่าหลินม่ายไม่ได้ขายเสื้อผ้ามือสองผิดกฎหมาย ดังนั้นจึงไม่กลัวว่าจะถูกตรวจสอบ
เขาไม่ได้ทำหน้าที่เป็นร่มให้กับเธอในครั้งนี้ จึงยิ่งไม่กลัวการถูกสอบสวนเข้าไปใหญ่
ทันใดนั้นหนิวลี่ลี่ก็ถามต่อด้วยความลังเล “คุณหมอฟาง ฉันขอถามเรื่องส่วนตัวของคุณหน่อยได้ไหมคะ?”
ตอนแรกฟางจั๋วหรานต้องการปฏิเสธ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าหล่อนอุตส่าห์แสดงความปรารถนาดีกับเขา จึงถามกลับ “ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเรื่องอะไร”
“ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า แม่ค้าขายเสื้อผ้ามือสองที่ชื่อหลินม่ายเป็นแฟนสาวของคุณ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องไม่จริงกันคะ?”
หนิวลี่ลี่ถามเองก็กระสับกระส่ายเสียเอง
หล่อนคิดไปข้างเดียวโดยตลอดว่าฟางจั๋วหรานยังโสด จึงต้องการจะเข้าหาเขา
ใครจะไปคิด ว่ายามหล่อนเคลื่อนทัพออกศึก ยังไม่ทันคว้าชัย ตัวก็มาตายเสียก่อน…
“เป็นความจริง” ฟางจั๋วหรานยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
หนิวลี่ลี่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์เสียใจมาก จนเผลอโพล่งออกมา “ทำไมคุณไม่ยอมบอกฉันล่ะ?”
“ทำไมผมต้องบอกคุณด้วยครับ? เราไม่ได้รู้จักกันขนาดนั้นสักหน่อย”
หนิวลี่ลี่เกือบสำลักน้ำลายเพราะคำพูดตอกกลับของฟางจั๋วหราน
หล่อนถามอย่างไม่เห็นด้วย “คุณหมอฟาง คุณคิดว่าแม่ค้าริมทางคนนั้นคู่ควรกับคุณจริง ๆ เหรอคะ?”
น้ำเสียงของฟางจั๋วหรานกลับมาเย็นชาอีกครั้ง “คุณมีสิทธิ์มาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของผมตั้งแต่เมื่อไหร่?” พูดจบแล้ว เขาก็วางสายทันที
…
หวังหรงเดินออกมาจากสำนักหนังสือพิมพ์ประจำเมือง เดินทอดน่องไปตามถนนที่คลาคล่ำไปด้วยแสงไฟอย่างไร้จุดหมาย
หล่อนทั้งหิว ทั้งวิตกกังวล ไม่รู้ว่าพวกผู้หญิงแซ่ตู้ยอมกลับไปแล้วหรือยัง ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถกลับไปที่บ้านของแม่เม่าหวังได้ แต่ถ้าหล่อนไม่กลับไป แล้วคืนนี้จะซุกหัวนอนที่ไหนล่ะ?
หล่อนกำลังไล่รายชื่อในใจว่ามีเพื่อนสาวคนไหนบ้างที่ตัวเองสามารถไปขอพักค้างแรมชั่วคราวได้ แต่แล้วจู่ ๆ ร่างของหล่อนก็ถูกกระแทกจนล้มลงกับพื้น
ทันใดนั้น เสียงล้อเบรกเป็นทางยาวดังขึ้น รถแท็กซี่คันหนึ่งเคลื่อนเข้ามาจอดใกล้ ๆ หล่อน
…ถ้าเขาเหยียบเบรกไม่ทันเวลา ป่านนี้หล่อนคงโดนรถเหยียบไปแล้ว
พอคิดมาถึงตรงนี้ หวังหรงก็ตื่นตระหนกจนร่างแข็งทื่อไปชั่วขณะ แม้แต่ลุกยังลุกไม่ขึ้น
โชเฟอร์เปิดประตูลงจากรถด้วยความตกใจไม่แพ้กัน ทันทีที่เห็นหวังหรง เขาก็ตะคอกใส่ด้วยความโกรธ “อยากรนหาที่ตายนัก ทำไมไม่ไปกระโดดแม่น้ำแยงซีวะ เดินออกมาขวางทางรถฉันทำซากอะไร!”
หวังหรงตกตะลึงกับคำด่าทอที่ดุร้ายของโชเฟอร์
หล่อนเป็นผู้เสียหายแท้ ๆ มาชี้หน้าด่ากันแบบนี้ได้อย่างไร!
ผู้โดยสารที่นั่งมาด้วยก็ก้าวลงจากรถมาดูด้วยเช่นกัน
เขาเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา แต่งตัวดี
ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้หวังหรง พอก้มลงมองแล้วเห็นว่าหล่อนเป็นสาวสวย ใบหน้าที่ตึงเครียดของเขาก็ผ่อนคลายลง
เขาหันไปพูดกับโชเฟอร์เป็นภาษาจีนกลางสำเนียงฮ่องกง “เอาล่ะ หยุดด่าหล่อนได้แล้ว เราต้องพาผู้หญิงคนนี้ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายว่าหล่อนได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้าง”
หลังจากนั้น เขาก็เดินเข้าไปประคองหวังหรงด้วยท่าทางสุภาพนุ่มนวล “คุณผู้หญิง ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลกับเรานะครับ”
หวังหรงพยักหน้า สีหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวด
ทันทีที่ไปถึงโรงพยาบาล แพทย์ได้ทำการตรวจร่างกายเบื้องต้น และวินิจฉัยว่าหวังหรงได้รับบาดเจ็บแค่เล็กน้อยเท่านั้น และยังสบายดี
แต่ชายที่พูดภาษาจีนกลางสำเนียงฮ่องกงกลับยืนกรานให้แพทย์ทำการตรวจร่างกายเชิงลึกให้กับหวังหรง เช่น การเอกซเรย์
เนื่องจากผู้ป่วยมีข้อเรียกร้อง แพทย์จึงต้องให้ความร่วมมือ
กว่าการตรวจร่างกายจะเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ชายหนุ่มที่พูดภาษาจีนกลางสำเนียงฮ่องกงพูดกับหวังหรงอย่างสุภาพ “ดึกมากแล้ว ให้ผมไปส่งคุณกลับบ้านนะครับ”
หวังหรงก้มหน้าลง ร้องไห้แบบไม่มีเสียง
ชายคนนั้นตื่นตระหนก รีบถาม “คุณยังเจ็บจากการโดนชนอยู่เหรอ?”
หวังหรงส่ายหน้า แต่น้ำตากลับรินไหลลงมามากกว่าเดิม
ชายคนนั้นเริ่มเดินวนรอบตัวหล่อน “ถ้าอย่างนั้นคุณร้องไห้ทำไม บอกผมได้ไหม เผื่อว่าผมจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง”
หวังหรงพยายามกลั้นเสียงสะอื้นแล้วตอบว่า “ฉันเพิ่งมีเรื่องทะเลาะกับครอบครัว ฉันยังไม่อยากกลับไปค่ะ…”
ชายคนนั้นถึงยิ้มออกมาด้วยความโล่งอก “อย่างนี้นี่เอง งั้นคุณอย่าเพิ่งกลับไปเลย ช่วยมาทำงานให้ผมสักสองสามวันก่อน แบบนี้เป็นไงครับ?”
หวังหรงเงยหน้าขึ้นแล้วถามตรง ๆ “คุณทำงานอะไรคะ?”
“คุณน่าจะพอเดาได้แล้วว่าผมมาจากฮ่องกง คุณไว้ใจผมได้นะ ผมอยากให้คุณช่วยเป็นไกด์นำเที่ยวส่วนตัวให้ผม ค่าอาหารกับค่าที่พักฟรี ส่วนค่าจ้างผมจะจ่ายให้คุณวันละยี่สิบหยวนดีไหม?”
ในใจของหวังหรงแทบลิงโลด แต่หล่อนไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า โบกมือด้วยความเกรงใจ “ฉันขอไม่รับค่าจ้างก็แล้วกันค่ะ ถึงยังไงฉันก็ว่างอยู่แล้ว ขอแค่อาหารกับที่พักก็พอ”
จากนั้นก็อธิบายต่อว่า “ฉันรีบหนีออกมาจากบ้าน ตอนแรกก็พกเงินติดตัวออกมาไม่เยอะอยู่แล้ว เมื่อกี้นี้ยังมาโดนปล้นไปอีก ที่จริงคุณไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าอาหารและที่พักให้ฉันก็ได้ ฉันจะพาคุณไปเที่ยวรอบเมืองเจียงเฉิงในฐานะเจ้าบ้านเอง”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่หมอเย็นชาสุด ๆ ไม่ได้ชื่อหลินม่ายก็ลำบากหน่อยนะคะ
หนุ่มฮ่องกงนี่มาดีหรือเปล่า หรือจะเป็นนักต้มตุ๋นมืออาชีพ?
ไหหม่า(海馬)