ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – Side Story < Love Story > 4-4

Side Story < Love Story > 4-4

อินซอบใจหล่นไปที่ตาตุ่ม เนื่องจากชั้น 7 คือชั้นที่ห้องของตนอยู่ เมื่อลิฟต์มาถึงชั้น 7 อีอูยอนก็ลงไปก่อน อินซอบโค้งคำนับคนที่เหลือและลงจากลิฟต์ อีอูยอนเดินนำหน้า

เขาจะไปที่อื่นหรือเปล่า

อินซอบเดินไปตามทางเดินเงียบๆ เขาหยิบคีย์การ์ดออกมาเมื่อมาถึงหน้าห้อง และได้ยินน้ำเสียงที่ราบเรียบเบาๆ จากด้านหลัง

“ออกไปไหนในเวลาแบบนี้ครับ”

“ผมนอนไม่หลับก็เลยไปเดินเล่นน่ะครับ”

อินซอบไม่กล้าตอบว่า “ผมไปห้องคุณมา” และกุเรื่องไปแบบนั้น

“รีบเข้าไปนอนเถอะครับ”

“ครับ…ราตรีสวัสดิ์ครับ”

อินซอบกำลังจะเปิดประตู แล้วมือที่ยื่นมาจากด้านหลังก็ปิดประตูที่เปิดออกกลับไปตามเดิม

“คุณไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนใช่ไหมครับ”

เสียงกระซิบที่เฉพาะตัวของอีกฝ่ายที่ล้ำเส้นเข้ามาอย่างกะทันหันทำให้อินซอบขาอ่อนจนเกือบจะทรุดลงไปนั่ง หัวใจของเขาเต้นตึกตักและเลือดก็ไหลมากองอยู่ที่หน้า เขารู้สึกเหมือนตอนนี้อีอูยอนที่ยืนอยู่ด้านหลังกำลังยื่นมือออกมากอดเอวตนเอาไว้

“…ผมสบายดีครับ”

อินซอบตอบกลับไปอย่างยากลำบาก

“แล้วทำไมผมถึงเป็นแบบนั้นอีกแล้วล่ะ”

อินซอบหน้าแดงเมื่อรู้ว่าสายตาของอีอูยอนจับจ้องอยู่ที่ผมที่ชี้ไม่เป็นทรงของตน

“ผมเพิ่งตื่นน่ะครับ คือผมควรจะเช็ดผมให้แห้งก่อนนอน แต่เพราะผมเผลอหลับไปก็เลย…”

อินซอบพูดวกไปวนมาและใช้มือลูบผมที่ชี้ฟู เขาได้ยินเสียงหัวเราะสั้นๆ จึงหันกลับไปมอง และสบตากับอีอูยอนที่เหมือนจะยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของอีอูยอนพร้อมกับบรรยากาศรอบตัวอึดอัดขึ้นในเสี้ยววินาที หัวใจของเขาเริ่มเต้นตึกตัก

“ผม…”

ตอนที่อีอูยอนเอ่ยปากพูด ประตูก็ถูกเปิดพรวดออกมาจากด้านหลัง

“อินซอบเหรอ ทำอะไรอยู่ถึงไม่เข้าไปข้างนะ…”

หัวหน้าทีมชาเห็นอีอูยอนที่มองตนด้วยสายตาเย็นชา และนิ่งค้างไปแบบนั้น

“…ทำอะไรอยู่จริงๆ ด้วยสินะ”

“ปะ เปล่าครับ ผมเจอเขาที่ด้านหน้าเมื่อสักครู่นี้ และกำลังจะเข้าไปแล้วครับ”

อินซอบพูดจาอ้อมแอ้มด้วยความตื่นตระหนกและก้มหัวปลกๆ ให้อีอูยอน

“งั้นผมขอตัวเข้าไปก่อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับคุณอีอูยอน”

“…ครับ เข้าไปเถอะครับ”

พออินซอบเข้าไปในห้อง ดวงตาของอีอูยอนก็เย็นชาขึ้นอีกขั้น หัวหน้าทีมชากำลังจะปิดประตู และมองอีอูยอนพร้อมกับแสยะยิ้มด้วยจิตใจที่ชั่วร้าย

“คุณนักแสดงก็รีบไปนอนคนเดียวเถอะครับ นี่ก็ดึกมาแล้ว”

“ครับ ทราบแล้วครับคุณหัวหน้าทีม”

ไอ้หมอนี่มันเสียสติไปแล้วเหรอถึงได้ยิ้มสวยจนทำให้รู้สึกไม่สบายใจแบบนี้

หัวหน้าทีมชาก่นด่าอีอูยอนที่ไม่รู้ทำไมถึงมองตนพร้อมกับยิ้มอย่างสวยงามในใจ

“ว่าแต่หัวหน้าทีมชาไม่กังวลเลยเหรอครับ”

“กังวลอะไร”

“เรื่องที่ต้องไปไหนมาไหนกับผมแค่สองคนอีกครั้งในตอนที่กลับถึงเกาหลีไงครับ”

“…”

นี่เป็นการข่มขู่อย่างหนึ่งว่า “นายจะสามารถจัดการขั้นสุดท้ายได้หรือเปล่า”

แม้หัวหน้าทีมชาจะกลัวมากจนเหงื่อเย็นๆ ซึมตามหลัง แต่ก็พยายามทำหน้านิ่งและมองอีอูยอนตรงๆ

“ฉันจะทำงานถึงแค่งานนี้เท่านั้น และจะไม่เป็นผู้จัดการส่วนตัวแล้ว เห็นฉันเหมือนคนที่จะขับรถไปไหนมาไหนในอายุเท่านี้เหรอ”

“ครับ เหมือนครับ”

ไอ้คนเฮงซวยเอ๊ย

หัวหน้าทีมชากัดฟันพูดต่อ

“กรรมการผู้จัดการเองก็บอกให้ทำถึงแค่งานนี้เหมือนกัน แล้วยังบอกอีกว่าถ้าต้องดูแลนายอีกครั้งเขาจะเปลี่ยนนามสกุล”

“โอ้ เพราะแบบนั้นคราวที่แล้วเขาถึงทำแบบนั้นสินะครับ”

แม้จะรู้ดีกว่าการคุยอย่างยืดยาวกับอีอูยอนรังแต่ทำให้หงุดหงิด แต่หัวหน้าทีมชาก็เอาชนะความสงสัยไว้ไม่ได้และเอ่ยถามไปว่า “คราวที่แล้วเขาทำอะไร”

“ได้ยินว่ากรรมการผู้จัดการเปลี่ยนชื่อเป็น “ชาฮักซึง” เพราะคุณทั้งคู่แต่งงานกันแล้วก็เลยเปลี่ยนไปใช้นามสกุลตามสามีสินะครับ”

“เลิกพูดจาไร้สาระแล้วไปนอนได้แล้ว!”

หัวหน้าทีมชาหงุดหงิดและปิดประตูไป

“ไอ้บ้าเอ๊ย”

หัวหน้าทีมชาที่หอบแฮกๆ ส่งข้อความหากรรมการผู้จัดการคิมด้วยความกังวลใจที่ก่อตัวขึ้นมาเต็มที่

[กรรมการผู้จัดการ…คุณไม่ได้เปลี่ยนชื่อใช่ไหม]

***

อินซอบที่ลงมากินอาหารเช้าหาวหวอด นอกจากจะปรับตัวกับเวลาไม่ค่อยได้และนอนหลับลงได้อย่างยากลำบากแล้ว หัวหน้าทีมชายังต่อสายโทรศัพท์หาใครบางคนจนทำให้เขาตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืดอีกครั้งด้วย

“ตื่นแล้วเหรอ เห็นนายนอนหลับสบายก็เลยไม่ได้ปลุกและลงมาก่อนน่ะ นั่งตรงนี้สิ”

หัวหน้าทีมชาที่ลงมาจับจองที่ก่อนชี้ที่ว่างข้างตัว

“ครับ หลับสบายดีนะครับ”

“หลับสบายอะไรล่ะ ฉันคุยกับตาแก่นั่นตั้งแต่เช้ามืดเลย ถ้ากลับไปเกาหลีแล้วฉันจะยื่นใบลาออกจริงๆ”

“จะยื่นใบลาออกเหรอครับ”

อินซอบถามกลับด้วยความตกใจ

“ฮ่าๆๆ ฉันรู้จักหัวหน้าทีมชามาตั้งแต่สิบปีก่อนแล้วนะ แล้วไอ้ที่บอกว่าจะยื่นใบลาออกน่ะ ก็พูดมาตั้งแต่สิบปีก่อนแล้วเหมือนกัน”

“คราวนี้ผมทำจริงนะครับ ผมไม่รู้เลยว่าทำไมฮักซึงถึงมีนิสัยแบบนั้น”

“อย่าพูดเลย ถ้าระดับกรรมการผู้จัดการคิมน่ะ เรียกว่าเป็นคนดีนะ นายก็รู้นี่ว่ากรรมการผู้จัดการของฉันเป็นแบบไหน”

หัวหน้าทีมชาเริ่มนินทากรรมการผู้จัดการอย่างจริงจังกับผู้จัดการส่วนตัวที่นั่งอยู่ข้างๆ อินซอบจึงวางโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะและไปเอาอาหาร ในขณะที่ตักสลัด มือใหญ่ๆ ก็ยื่นมาจากด้านหลังและฉวยเอาจานไป

“ตั้งใจจะเล่นฟุตบอลที่สนามหญ้าเหรอครับ”

“ครับ?”

“กินอาหารให้ครบถ้วนหน่อยสิครับ”

อีอูยอนตักเป็ดรมควันใส่จานของอินซอบอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินจากไป แม้เขาจะไม่อยากอาหาร และแทบจะไม่เอาเนื้อเข้าปากในมื้อเช้า แต่พอเห็นความเอาใจใส่ของอีอูยอนแล้ว เขาก็ไม่สามารถตักออกได้ หลังจากวางผักลงบนเนื้อ เขาก็กลับไปที่โต๊ะและเริ่มใช้โทรศัพท์มือถือค้นหา

เตะบอลกันเถอะ ความหมาย, ไปเตะบอล ภาษาเฉพาะ, ความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำว่าฟุตบอล และตอนที่เขาค้นไปจนถึงคำว่า…เตะบอลกันเถอะ คำพูดลามก จานใบเล็กก็ถูกวางลงตรงด้านข้าง

“ไม่ใส่หัวหอมถูกต้องไหมครับ”

อีอูยอนชี้ออมเล็ตที่เพิ่งปรุงเสร็จมาใหม่ๆ พลางเอ่ยถาม อินซอบจึงพยักหน้าและเอ่ยขอบคุณ จากนั้นเขาก็กลับไปที่ที่ของตัวเองโดยไม่พูดอะไรอีก

“คุณอีอูยอนเนี่ยสมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ ดูจากการที่เขาดูแลคนอื่นสิ”

“ฮ่าๆๆ ฮ่าฮ่า ฮ่า”

หัวหน้าทีมชาฝืนหัวเราะก่อนจะดื่มกาแฟ อินซอบเคี้ยวออมเล็ตที่อีอูยอนเอามาให้ตุ้ยๆ และเหลือบมองไปทางที่อีอูยอนนั่ง

ผู้กำกับ นักแสดง และนักแสดงนำในละครเรื่องนี้นั่งรวมกันอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง แม้จะไม่ได้จงใจแบ่งชนชั้น แต่ก็มีการแบ่งกลุ่มกันโดยอัตโนมัติเมื่อรวมตัวกันในที่แบบนี้ นักแสดงจะนั่งกับนักแสดงด้วยกัน สตาฟก็จะนั่งกับพวกสตาฟด้วยกัน และผู้จัดการส่วนตัวก็จะนั่งกับผู้จัดการส่วนตัวด้วยกันเอง

อีอูยอนแทบจะไม่ค่อยได้ใช้บริการบุฟเฟ่ต์ในสถานที่ท่องเที่ยว เขาบอกว่าถ้าจะให้ลงมากินบุฟเฟต์ที่อาหารไม่แตกต่างกันเท่าไร มีเซ็กซ์ตอนเช้ากับอินซอบเพิ่มอีกรอบดีกว่า และมักจะสั่งอาหารเช้าเป็นรูมเซอร์วิสเสมอ

อาหารเช้าของโรงแรมนี้ก็เหมือนจะไม่ได้พิเศษไปกว่าที่อื่น

อินซอบเคี้ยวออมเล็ตพลางเอียงคอ ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงดังจากโต๊ะที่วางอาหาร

“ไม่นะ ฉันเห็นจากในทีวี อาหารที่เหนียวๆ แล้วก็เป็นห่อน่ะ ลองไปถามดูซิว่ามีไหม เพราะฉันอยากลองกิน”

นักแสดงชเวฮาซองนั่นเอง เขาคือนักแสดงอาวุโสที่ได้ชื่อว่าเรื่องมาก

“คุณต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนสิครับว่ามันคืออะไร ผมถึงจะถามให้ได้”

ผู้จัดการส่วนตัวของเขากำลังมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการเผชิญหน้ากับชเวฮาซอง

“…แล้วแกทำอะไรอยู่ถึงไม่รู้จักของแบบนั้น”

“…แต่คุณต้องรู้ก่อนสิครับว่ามันคืออะไร ผมถึงจะถามให้ได้”

“ก็ของแบบนั้นไง ของที่เหนียวๆ แล้วก็เป็นลูกน่ะ”

คำอธิบายที่ไม่ชัดเจนที่ถูกพูดอีกครั้งทำให้สีหน้าของผู้จัดการส่วนตัวเครียดขึ้นเรื่อยๆ

“เอาอีกแล้ว เขาน่ะต่อให้อายุมากขึ้น แต่นิสัยก็ยังเหมือนเดิมเลยนะ”

“เหมือนจะหนักขึ้นหรือเปล่า”

เนื่องจากเป็นภาพที่คุ้นเคย คนรอบข้างจึงส่ายหน้าพร้อมกับพูดกระซิบกระซาบกัน อินซอบลุกขึ้นและเดินไปหาชเวฮาซอง

“คุณครับ สวัสดีครับ”

ชเวฮาซองมองอินซอบด้วยสายตาที่เหมือนจะถามว่า “นายมีอะไร”

“อาหารที่คุณพูดถึงเหมือนจะเป็นโปย[1] นะครับ ใช่อาหารที่บดแล้วนำมากินเหมือนต็อก เพราะทำจากพืชที่เป็นหัวหรือเปล่าครับ”

“ใช่แล้ว! อันนั้นแหละ ไหนๆ ก็มาแล้วฉันเลยอยากลองกินสักครั้งน่ะ เพราะเขาบอกว่าเป็นซูเปอร์ฟู้ดที่ดีต่อร่างกาย”

“ผมจะไปถามที่ครัวให้ แต่อาจจะไม่มีนะครับ คุณรอสักครู่นะครับ”

อินซอบเดินไปหาคนครัวและถามว่ามีอาหารที่ทำจากโปยอยู่ในเมนูบุฟเฟ่ต์หรือไม่ พนักงานตอบว่าไม่มีอยู่ในเมนูบุฟเฟ่ต์ แต่จะลองไปเช็กดูให้ว่าสามารถหาให้ได้หรือเปล่าก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ผ่านไปไม่นานพนักงานก็เอาอาหารสีน้ำตาลข้นๆ ใส่ถ้วยน้ำจิ้มเล็กๆ มาให้

อินซอบกล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาทและเอาอาหารไปให้ชเวฮาซอง

“ถึงจะไม่ใช่อาหารจากเมนูบุฟเฟ่ต์ แต่เพราะหัวหน้าคนครัวบอกว่ามีของที่เอามาใช้เป็นน้ำจิ้มอยู่ ผมเลยขอให้เอามาให้ครับ”

“ใช่แล้ว ของที่ฉันพูดถึงคืออันนี้แหละ”

ชเวฮาซองยิ้มอย่างพึงพอใจก่อนจะใช้ช้อนตักของเหลวข้นๆ ขึ้นมากิน แล้วเขาก็วางช้อนลงทันที

“แหวะ ทำไมเขาถึงกินของแบบนี้กันล่ะ นายลองกินดูสิ”

ชเวฮาซองดันอาหารให้ผู้จัดการส่วนตัวของตน ผู้จัดการส่วนตัวถอนหายใจก่อนจะมองอินซอบ อินซอบจึงยิ้มเจื่อนๆ ให้และกลับไปนั่งที่ของตัวเอง

“ทำไมถึงไปทำอะไรที่ไม่จำเป็นทั้งๆ ที่ไม่ได้คำขอบคุณด้วยล่ะ”

หัวหน้าทีมชาเหลือบมองชเวฮาซองก่อนจะลดเสียงกระซิบ

“ไม่เป็นไรครับ”

“ว่าแต่นายรู้จักอาหารนั้นได้ยังไง”

“ผมเคยเห็นในทีวีโดยบังเอิญน่ะครับ”

‘ไปฮาวายกันอีกครั้งดีไหม’

จู่ๆ อีอูยอนที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่โซฟาก็พึมพำออกมา ในโทรทัศน์กำลังฉายรายการแนะนำอาหารฮาวายอยู่

‘ฮาวายเหรอครับ’

‘ก็ความทรงจำตอนที่ไปคราวก่อนไม่ดีมากๆ เลยนี่ครับ ก็ต้องสร้างความทรงจำดีๆ ทับความทรงจำเหล่านั้นสิ’

‘…ก็ไม่ได้มีแต่ความทรงจำแย่ๆ ถึงขนาดนั้นสักหน่อยนี่ครับ’

‘แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีความทรงจำแย่ๆ ใช่ไหมล่ะครับ’

‘…’

พออินซอบไม่ตอบอะไรกลับมา อีอูยอนก็ยิ้มอย่างร่าเริงและกอดอินซอบไว้แน่นจากทางด้านหลัง

‘ไว้เราไปกันสองคนนะ’

ในน้ำเสียงของอีอูยอนที่กระซิบแบบนั้นมีความคาดหวังที่ดูตื่นเต้นเจืออยู่

“ความจำดีมากเลยนะ แค่เห็นในทีวีครั้งเดียวก็จำได้ทั้งหมดเลย”

อินซอบยิ้มโดยไม่พูดอะไร

เขาไม่สามารถพูดได้ว่าตนย้อนดูรายการนั้นถึงสามครั้งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการมาเที่ยวกันตามลำพังในภายหลัง และจดทุกอย่างไว้อย่างละเอียด

แต่พอได้มาแล้ว…

อินซอบนึกถึงพร้อมกับมองแผ่นหลังกว้างของอีอูยอนที่นั่งอยู่ไกลออกไป ตอนที่กินอาหารเช้าเสร็จ ชเวฮาซองก็ตบไหล่อินซอบอยู่ครั้งถึงสองครั้งก่อนจะเดินผ่านไป

“ลาก่อนครับ”

อินซอบลุกขึ้นและโค้งคำนับให้อย่างสุภาพ หัวหน้าทีมชาเองก็ลุกขึ้นโค้งคำนับเช่นกัน แต่ชเวฮาซองกลับแกล้งทำเป็นไม่เห็นและเดินผ่านไป

“ตาลุงนี่…”

พอได้ยินหัวหน้าทีมชากัดฟันพูด อินซอบก็ยิ้มให้เงียบๆ

“ถึงนายจะมาที่นี่ด้วยข้ออ้างว่าเป็นผู้จัดการส่วนตัว แต่นายไม่ใช่ผู้จัดการส่วนตัวจริงๆ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องปรับตัวขนาดนั้นเลย แล้วก็อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับไอ้คนเจ้าเล่ห์อีซังพิลจนได้รับภาระที่น่ารำคาญด้วย”

“ครับ เข้าใจแล้วครับ”

แม้จะไม่รู้ว่าอีซังพิลคือใคร แต่อินซอบก็ตอบแบบนั้นไปก่อน

พอกินอาหารเสร็จ บรรดาคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะที่อีอูยอนนั่งจึงเริ่มลุกขึ้นทีละคน

“แพลนวันนี้ของคุณอีอูยอนมีอะไรบ้างเหรอครับ”

“จะมีแพลนอะไรล่ะ ก็แค่เที่ยวเล่นเฉยๆ แหละ”

หัวหน้าทีมชายักไหล่พลางเอ่ยตอบ อีอูยอนที่เดินผ่านไปก็พยักหน้าพร้อมกับส่งสายตามาให้

เขาสั่งให้ตามไปเหรอ

ในระหว่างที่อินซอบกำลังครุ่นคิดว่าควรจะลุกขึ้นดีหรือไม่ อีอูยอนก็ออกไปแล้ว

[1] โปย คือ อาหารฮาวายที่ทำจากหัวเผือกนึ่งหรืออบแล้วนำไปบด โดยระหว่างที่บดจะเติมน้ำตาลเข้าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจกับความเหนียวที่ได้

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท