“แม่นาง ทำไมเจ้าต้องวิ่งเร็วถึงเพียงนี้ด้วย” หยวนหมิงที่อยู่ในหนังสือโบราณรู้สึกเวียนหัวเพราะถูกกระแทกไปมา
เมื่อได้ยินดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หยุดวิ่ง ”เจ้าพูดถูก ทำไมข้าต้องวิ่งเร็วถึงเพียงนี้ด้วย อย่างไรข้าก็ไปสายอยู่ดี”
“ตอนนี้น่าจะล่วงเข้าเวลาห้ามออกนอกหอยามวิกาลแล้วนะ” หยวนหมิงเอ่ยอย่างเกียจคร้าน ”เจ้าลืมกฎของสำนักตัวเองไปแล้วหรือ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นพลังแห่งรักจริงๆ ที่สามารถทำให้เจ้ายอมปีนกำแพงกลางดึกเช่นนี้ได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้แขนข้างหนึ่งยันกำแพงแล้วกระโดดข้ามไปอย่างง่ายดาย แต่แล้วระหว่างที่นางกำลังจะตอบหยวนหมิงนั่นเอง
ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงกระแอมไอทุ้มลึกน่าฟังแต่ก็แฝงไปด้วยความอ่อนโยนดังขึ้นจากทางด้านหลัง ตามด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ จากสมุนไพรที่ลอยอบอวลอยู่ในอากาศ
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับไปมองโดยสัญชาตญาณ
เด็กรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างชายคนนั้นทำหน้าราวกับเห็นผี แทบจะตะคอกเสียงใส่คนที่เพิ่งโผล่เข้ามา
แต่ชายคนนั้นกลับตัดบทของเด็กรับใช้คนนั้นว่า ”ทำตัวดีๆ เสี่ยวจิ่ว”
“แต่ แต่นาง!” เสี่ยวจิ่วไม่เคยเห็นหญิงสาวจากตระกูลผู้ดีคนใดปีนข้ามกำแพงมาก่อนในชีวิต แม้กระทั่งโจรสาวก็ยังไม่ใจกล้าถึงเพียงนี้ ยิ่งกว่านั้นเวลานี้ก็ล่วงเลยมาถึงเวลาห้ามเข้าออกยามวิกาลของสำนักไท่ไป๋แล้วอีกด้วย หากถูกจับได้ คนที่เพิกเฉยต่อกฎของสำนักได้อย่างหน้าตาเฉยเช่นนางจะต้องถูกไล่ออกอย่างแน่นอน!
เมื่อรู้ว่าตัวเองถูกจับได้คาหนังคาเขา เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่คิดที่จะหลบซ่อนอีกต่อไป นางมองไปยังผู้ชายที่นั่งอยู่ใต้ต้นฮว๋าย ใกล้กับแขนของเขามีชุดชาและกระดานหมากทำจากหินสีดำและหยกสีขาวตั้งอยู่ นางเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า ”คุณชายอู๋ซวงช่างสง่างามยิ่งนัก”
“ดื่มสิ” จิ่งอู๋ซวงเป็นคนที่ใครๆ ต่างก็ยากจะเกลียดชังได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขามีอุปนิสัยอบอุ่นเช่นนี้ด้วยแล้ว นิสัยเช่นนี้ทำให้ทุกคนลดการป้องกันตัวลงเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองแสงไฟเลือนรางที่อยู่ไกลออกไป นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า ”ไม่ล่ะ กฎของสำนักบอกเอาไว้ว่าห้ามชายหญิงอยู่ใกล้กัน ข้าจะดื่มกับคุณชายอู๋ซวงก็ต่อเมื่อออกจากสำนักแล้ว”
เสี่ยวจิ่วมองนาง เขาอ้าปากค้าง แล้วคิดในใจว่า เจ้าทำกระทั่งปีนกำแพงมาแล้วนะ เจ้ายังคิดที่จะสนใจกฎของสำนักอีกหรือ!
จิ่งอู๋ซวงเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ”ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะปล่อยแม่นางเวยเวยไปก็แล้วกัน แล้วเจอกันพรุ่งนี้ที่ห้องเรียน”
“เยี่ยม” ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยวาดขึ้นเป็นรอยยิ้ม เงาร่างอันงดงามเดินหายเข้าไปในสำนัก
เสี่ยวจิ่ว เด็กรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างจิ่งอู๋ซวงทำหน้ามุ่ย แล้วเอ่ยว่า ”คุณชายขอรับ ผู้หญิงคนนั้นต้องกำลังโกหกท่านอยู่แน่ๆ ขอรับ ท่านอุตส่าห์มีน้ำใจเชิญนางดื่มน้ำชา แต่นางกลับใช้ข้ออ้างพรรค์นั้นมาปฏิเสธท่านได้”
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่านางเป็นใคร เสี่ยวจิ่ว” จิ่งอู๋ซวงวางหมากสีขาวในมือลง
เสี่ยวจิ่วส่ายหน้า ”ไม่รู้ขอรับ”
“ปกติเจ้าก็แทบจะไม่ได้ออกมานอกจวน ย่อมไม่รู้อยู่แล้ว” จิ่งอู๋ซวงโต้กลับอีกฝ่าย แล้วกินหมากสีดำตัวนั้น ”นางชื่อเฮ่อเหลียนเวยเวย เป็นคนที่เพิ่งอภิเษกสมรสกับองค์ชายสาม เจ้าต้องจำไว้ให้ดีกว่าไม่สามารถเสียมารยาทกับคนคนนี้ได้”
เสี่ยวจิ่วดูไม่เห็นด้วยแม้แต่น้อย ”แค่เพราะนางเป็นพระชายาขององค์ชายสามหรือขอรับ”
“ไม่ใช่แค่นั้น” จิ่งอู๋ซวงวางหมากตัวสุดท้ายในมือลง พลิกกระดานที่ถูกไล่ต้อนนั้นกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ ”เพราะนางเป็นคนที่เอาชนะข้าได้ในงานประลองเจ้ายุทธ์”
เสี่ยวจิ่วตกตะลึงจนถึงกับลืมตอบ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงเอ่ยว่า ”แต่คุณชายขอรับ ก่อนหน้านี้ท่านเคยกล่าวว่าท่านจะแต่งงานกับคนที่สามารถเอาชนะท่านในงานประลองเจ้ายุทธ์นี่ขอรับ ตอนนี้… เรื่องนี้…”
จิ่งอู๋ซวงไม่พูดอะไรต่อ เขาเงียบไปครู่หนึ่ง สายลมบางเบาพัดผ่านระหว่างร่างทั้งสองช้าๆ เสื้อคลุมของเขาปลิวไปกับลม ”เสี่ยวจิ่ว ต่อไปในภายภาคหน้า เจ้าอย่าได้พูดเรื่องพวกนี้ออกมาอีก มันจะทำให้ชื่อเสียงของนางเสื่อมเสียได้”
“ขอรับ” เสี่ยวจิ่วหลุบตาลง แต่กลับไม่สามารถควบคุมความสงสัยใคร่รู้ที่อยู่ในตัวได้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยเห็นคุณชายมีความรู้สึกให้กับผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษมาก่อน เขามักจะมีมารยาทกับทุกคนอยู่เสมอ ดังนั้นจึงไม่มีใครเกลียดเขาลงแม้จะถูกเขาปฏิเสธก็ตาม
เพียงแต่เฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้กลับดูต่างออกไปเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวจิ่วเห็นคุณชายของเขาชวนใครสักคนมาดื่มชา
เสียดายที่นางแต่งงานแล้ว…
“เจ้ากำลังบอกว่าสาเหตุที่ทำให้ข้าต้องรอนานถึงเพียงนี้เป็นเพราะระหว่างทางนางเจอจิ่งอู๋ซวงอย่างนั้นหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขยับริมฝีปากบาง เขาปลดกระดุมคอเสื้ออย่างลวกๆ ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งวางอยู่ข้างตัว ดวงตาของเขาเย็นชา แต่เขากลับดูเหมือนกำลังยิ้มอยู่
แต่คนที่รู้จักเขาดีย่อมรู้ว่าเขาไม่ได้ยิ้มอยู่
บรรดาองครักษ์เงาที่เข้ามารายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรู้เพียงสิ่งที่พวกเขาเห็น พวกเขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เฮ่อเหลียนเวยเวยไปที่ไหนมา แต่ก็อย่างที่สุภาษิตว่าไว้ว่ายิ่งพูดน้อยก็ยิ่งพลาดน้อย พวกเขาหลุบตาลง
พวกเขาแทบไม่รู้เลยว่าการที่พวกเขาเงียบไปนั้น ทำให้ในดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ มีน้ำแข็งก่อตัวขึ้น
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้ามาในห้อง นางก็รู้สึกเหมือนกับว่านางกำลังถูกกล่าวหาอย่างไร้ความยุติธรรม
เมื่อเห็นนางเดินเข้ามา ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ออกคำสั่งกับบรรดาองครักษ์เงาว่า ”พวกเจ้าทุกคนออกไปก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากทุกคนออกไป ทันใดนั้นห้องทั้งห้องก็พลันตกอยู่ในความเงียบอย่างที่สุด มันเงียบเสียจนสามารถได้ยินเสียงร้องของแมลงเลยทีเดียว
อาจเป็นเพราะไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้พลังปราณของตนกลับมาแล้ว ร่างของเขาจึงมีกลิ่นอายของกิเลนอัคคีอยู่ โดยปกติแล้วย่อมไม่มีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ตนใดสามารถอยู่ในที่ที่ราชาแห่งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ได้
แต่บรรยากาศกลับตึงเครียดขึ้น ราวกับว่าเมื่อครู่นี้มันเงียบสงบเกินไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่านางคงทำอะไรผิดเข้า นางเหลือบตามองแสงจันทร์สีขาวนวลแล้วกล่าวว่า ”วันนี้ข้าค่อนข้างยุ่ง ดังนั้น ก็เลยมาช้า”
“ถ้าเจ้ายุ่ง เจ้าก็สั่งให้เงาทมิฬมาบอกข้าได้ แต่เจ้ากลับไม่บอกอะไรเลยแม้แต่คำเดียว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยเสียงเบา
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนั้น เมื่อมองสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะของเขา นางก็รู้ว่าเขารอนางมานานพอสมควร แต่นางเป็นคนระมัดระวังตัวมากเกินไป นางไม่ชินกับการสั่งให้เงาทมิฬมาช่วยงาน และยิ่งก่อนหน้านี้ก็เคยมีเรื่องของเฮยจูเกิดขึ้นมาแล้วอีกด้วย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนาง ”เจ้าไม่ได้จัดลำดับความสำคัญของเรื่องนี้ หรือเจ้าเพียงไม่อยากจะใช้เวลาร่วมกับข้ากัน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยอมรับว่าตอนที่นางยุ่งนั้นนางลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทจริงๆ แต่ ”ข้าไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็ใช่ว่าข้าจะไม่อยากทำเช่นนั้นเสียหน่อย ข้าก็แค่ยุ่งเกินไปเท่านั้นเอง”
“ยุ่งเกินไปหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเม้มริมฝีปาก
เสียงของเขาฟังดูเย็นชาเป็นอย่างมาก
เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจได้ในทันที ”จนถึงตอนนี้ ท่านก็ยังสั่งให้คนสะกดรอยตามข้าอยู่หรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ปฏิเสธ วิธีการของเขาเป็นเช่นนี้มาตลอด
เฮ่อเหลียนเวยเวยหลับตาลง แล้วเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางจึงกล่าวว่า ”หากองค์ชายไม่เชื่อใจข้า ทำไมท่านถึงทำสัญญากับข้าล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าคิดว่าเราสองคนควรจะต้องคิดทบทวนเรื่องสัญญาฉบับนี้ให้ดีอีกที ดูว่ามันจำเป็นจริงๆ หรือเปล่า”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนาง แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า ”เจ้าต้องการยกเลิกสัญญาหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ตอบ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโยนเสื้อคลุมของตัวเองทิ้ง อุณหภูมิทั่วร่างของเขาราวกับลดลงจนถึงจุดต่ำสุด จากนั้นเขาจึงเอ่ยว่า ”ตามใจเจ้าก็แล้วกัน”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินเข้าไปในห้องโดยไม่หันกลับมามองอีก
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งเขาเดินหายเข้าไปหลังประตู ความสัมพันธ์ของพวกนางอาจดูเหมือนแข็งแกร่ง แต่แท้จริงแล้วกลับเปราะบางยิ่งนัก
ก็เหมือนอย่างที่คนพวกนั้นพูด
พวกนางอยู่ด้วยกันเพียงเพราะเหตุผลที่ว่าเขาต้องการรับมือกับอดีตฮ่องเต้
อดีตฮ่องเต้ดูเหมือนจะพอใจกับพวกเขาสองคนเป็นอย่างมาก และเรื่องนี้ก็ช่วยลดความกดดันของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลงได้อีกด้วย
ตอนพวกนางอยู่ที่วังหลวง พวกนางมักจะถูกคนอื่นจับตามองอยู่เสมอ ดังนั้นพวกนางจึงต้องแสดงความรักต่อกันเวลาอยู่ในที่สาธารณะ ซึ่งแตกต่างจากที่นี่ พวกนางไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น
บางทีองค์ชายสามอาจจะเคยคิดเรื่องนี้เอาไว้แล้ว อาจจะก่อนที่เขาจะตอบนางเช่นนั้นเสียอีก…