หยาดฝนในฤดูใบไม้ผลิโปรยปราย แต่กิจการโรงน้ำชาที่เชิงเขาไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด แขกที่เดินทางมาต้องยืนอยู่ริมทางเพราะไม่มีที่นั่ง พวกเขาถูกฝนสาดจนหัวไหล่เปียกชื้นแต่ก็ยังไม่ยอมจากไป
ภายในโรงน้ำชากำลังพูดถึงช่วงเวลาสำคัญเมื่อหญิงสาวเมืองฉีรักษาอาการประชวรแด่องค์ชายสาม
แม้ว่าเวลานั้นพระตำหนักขององค์ชายสามภายในพระราชวังถูกล้อมอย่างแน่นหนา ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่เวลานี้ หลังจากที่ฮ่องเต้ทรงว่าราชการในท้องพระโรง องค์ชายสามเสด็จไปยังท้องพระโรง ข่าวอันน่าตกตะลึง เหล่าขันทีและหมอหลวงพูดคุยกันแล้ว ทุกคนตั้งแต่ท้องพระโรงไปถึงภายในจวนต่างรู้เรื่องนี้หมดแล้ว
“…หญิงสาวเมืองฉีหยิบมีดขึ้นมาเฉือนลงไป ทันใดนั้นเลือดไหลนองเต็มพื้น…”
“…ยานี้ถูกต้มเป็นเวลาสองชั่วยาม องค์ชายสามดื่มลงไปในคราเดียว ก่อนจะกระอักเลือดออกมา…”
“อย่าตกใจ เลือดนี้คือพิษที่สะสมในร่างกายองค์ชายสามมากว่าสิบปี”
ความคึกคักบริเวณเชิงเขา โจวเสวียนที่อยู่บนเขาไม่สนใจแม้แต่น้อย ถามเพียงแค่เรื่องสำคัญ
“ดังนั้น หญิงสาวเมืองฉีรักษาเขาหาย เขาจึงไปขอร้องแทนท่านอ๋องฉีหรือ?” เขาลุกขึ้น ผงยาที่เพิ่งทาลงไปหล่นลงเต็มเตียง “ฉู่ซิวหยงเสียสติไปแล้วหรือ”
ชิงเฟิงจับเขาเอาไว้ “คุณชาย ระวัง ยานี้คุณหนูตันจูทาเองกับมือ”
ล้างมือก่อนล้างแผล จากนั้นค่อยทายาด้วยตนเอง บาดแผลเกือบครึ่ง มีเพียงส่วนที่ไม่เหมาะสมต่อการมองจึงให้เขาทำแทน
โจวเสวียนพูด “มีอันใดกัน หกไปก็ทาใหม่อีกครั้ง”
ชิงเฟิงหัวเราะหึๆ “คุณชายไม่ต้องรีบ องค์ชายสามไม่ได้เป็นเช่นนี้เป็นครั้งแรก” พูดพลางมองไปยังด้านข้าง
โจสเสวียนมองไปด้านข้าง
ด้านข้างมีหญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่ด้วยท่าทางอรชร มือหนึ่งถือชามยา อีกมือหนึ่งจับแขนเสื้อที่คล้อยลง ดวงตาทั้งคู่สดใสแต่ล่องลอย เพราะว่านางกำลังเหม่อ
“เฉินตันจู” โจวเสวียนเรียกขานต่อเนื่องติดกันสองครั้ง หญิงสาวถึงได้หันหน้ามา
“เรื่องใด” นางถาม อีกทั้งยังปรากฏความขุ่นเคืองที่ถูกขัด
“ท่านคิดอันใดอยู่” โจวเสวียนไม่พอใจ เขาฟังชิงเฟิงพูดเจื้อยแจ้วมากมายอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่เพราะต้องการให้นางได้ยินหรือ
อย่างไร ไม่มีข่าวใหม่แล้ว? นางจึงรังเกียจเขา ไม่สนใจเขาอีก?
เขาเลิกคิ้ว พูดขึ้น “ได้ยินองค์ชายสามขอร้องให้คนอื่น นึกถึงแต่ก่อนหรือ?”
เฉินตันจูวางชามยาลง “ไม่ องค์ชายสามเป็นคนที่รู้จักตอบแทนบุญคุณเช่นนี้ แต่ก่อนข้าไม่ได้รักษาเขาให้หาย เขายังดีต่อข้าเช่นนี้ หญิงสาวเมืองฉีรักษาเขาหายแล้ว เขาย่อมต้องทดแทนด้วยชีวิต”
โจวเสวียนส่งเสียงไม่พอใจ “ท่านคิดได้อย่างปล่อยวางเช่นนี้ ท่านไม่กังวลว่าองค์ชายสามจะทำให้ฝ่าบาททรงโกรธหรือ?”
นางย่อมปล่อยวาง เพราะเรื่องนี้เป็นความจริง สำหรับนางองค์ชายสามเป็นเส้นทางแยก เวลานี้นางกลับมายังเส้นทางที่ถูกต้องในที่สุด ส่วนเรื่องการทำให้ฝ่าบาททรงโกรธ นางไม่กังวล เฉินตันจูนั่งลงส่งเสียงตอบรับอย่างเกียจคร้าน “ฝ่าบาททรงเป็นคนดี โปรดปรานองค์ชายสาม เขาไม่จำเป็นต้องทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกเพราะคนนอกหนึ่งคน”
“คำพูดของท่านนี้” โจวเสวียนมั่นใจว่านางไม่ได้เศร้าหมอง จึงรู้สึกดีใจ แต่เมื่อตระหนักได้ว่ามันคือความมั่นใจและสนับสนุนของเฉินตันจูที่มีต่อองค์ชายสาม เขาก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “ฝ่าบาทไม่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกเพราะเขา แต่เขาทำเช่นนี้ เขาเคยคำนึงถึงองค์รัชทายาทหรือไม่”
องค์รัชทายาทหรือ เฉินตันจูมองเขา
“คดีหมู่บ้านซ่างเหอเป็นแผนการของท่านอ๋องฉีที่มีต่อองค์รัชทายาท แทบจะทำให้องค์รัชทายาทต้องถึงแก่ความตาย” โจวเสวียนพูด “ฝ่าบาทใช้กองกำลังต่อท่านอ๋องฉีเพื่อชื่อเสียงขององค์รัชทายาท เวลานี้องค์ชายสามขัดขวางเรื่องนี้ เป็นการไม่สนใจชื่อเสียงขององค์รัชทายาท เพื่อหญิงสาวเพียงคนเดียว ไม่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง เขากับฝ่าบาทมีความสัมพันธ์พ่อลูก องค์รัชทายาทกับฝ่าบาทไม่มีหรือ”
เฉินตันจูเบ้ปาก “ไม่ใช่เพราะหญิงสาวเพียงคนเดียว เรื่องนี้ฝ่าบาททรงรับปากแล้ว องค์รัชทายาทเพียงแค่ชื่อเสียงเสื่อมเสีย แต่องค์ชายสามได้ชีวิตกลับคืนมา”
เหตุผลอันใดกัน โจวเสวียนหัวเราะเย้ยหยัน “ท่านอย่าได้พูดดีแทนองค์ชายสาม ท่านกับข้าพูดล้วนไร้ประโยชน์ เรื่องในครานี้ ไม่เหมือนเรื่องเล็กน้อยที่ท่านถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวง”
อันที่จริงเฉินตันจูก็มีความกังวล ชาตินี้องค์ชายสามยอมสละชีวิตขอร้องฝ่าบาทครั้งหนึ่งเพื่อตนเองแล้ว ครานี้ยังยอมสละชีวิตขอร้องฝ่าบาทเพื่อหญิงสาวเมืองฉีอีกครั้ง ฝ่าบาทจะทรงไม่หวั่นไหวแล้วหรือไม่
เพราะเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นสองครั้ง ผลกระทบคงไม่ใหญ่มากแล้ว
หวังเจียนก็มีความกังวลเช่นเดียวกัน แน่นอน เขาไม่ได้กังวลแบบเดียวกับเฉินตันจู
“มาแล้ว มาแล้ว” เขาหันหน้าพูดกับคนในห้อง เรียกขานให้แม่ทัพหน้ากากเหล็กรีบมาดู “องค์ชายสามมาคุกเข่าอีกแล้ว”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กตอบรับ แต่ไม่สนใจ
หวังเจียนสนใจอย่างมาก ส่ายหัวมองด้านนอก “ครานี้องค์ชายสามไม่ไหวเอาเสียเลย คราก่อนคุกเข่าตั้งแต่ต้นจนจบเพื่อคุณหนูตันจู ครานี้เขากลับเลือกมาคุกเข่าในเวลาที่ฝ่าบาทเสด็จออกท้องพระโรงเพื่อหญิงสาวเมืองฉี พอฝ่าบาทเสด็จกลับเขาก็กลับ ดูแล้ว องค์ชายสามใส่ใจบุตรสาวท่านมากกว่าหญิงสาวเมืองฉี”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กหัวเราะ “แน่นอน หญิงสาวเมืองฉีจะเทียบคุณหนูตันจูได้อย่างไร”
หวังเจียนถ่มน้ำลาย “เรื่องความไร้ยางอายของเฉินตันจู หญิงสาวเมืองฉีจะเทียบได้อย่างไร เรื่องครานี้ใหญ่หลวงนัก องค์ชายสามช่างกล้าเสียจริง ท่านว่าฝ่าบาทจะทรงรับปากหรือไม่ หากฝ่าบาททรงรับปาก แล้วองค์รัชทายาทตามไปคุกเข่า…”
สายตาของเขาลุกวาว มือลูบคลำเคราสั้น คงจะสนุกน่าดู
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิด ทางด้านแม่ทัพหน้ากากเหล็กยืนขึ้น “เก็บของตรงนี้ให้เรียบร้อย สมควรออกเดินทางแล้ว”
หลายวันก่อนเคยพูดไว้ว่าจะย้ายไปค่ายทหาร หวังเจียนรู้เรื่องนี้ แต่เขาส่งเสียงเรียก “จะไปแล้วหรือ ดูความสนุกก่อนเถิด”
องค์ชายสามคุกเข่าเสร็จ องค์รัชทายาทคุกเข่าต่อ องค์รัชทายาทคุกเข่าเสร็จ องค์ชายท่านอื่นคุกเข่าต่อ
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเดินผ่านเขา “ไปเถิด ไม่มีความสนุกให้ดู”
ไม่มีความสนุกให้ดู? หวังเจียนถาม “มั่นใจเพียงนี้?”
“ในเมื่อเขากล้าทำเช่นนี้ ย่อมต้องมีความมั่นใจ” แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด มองไปยังทิศทางของท้องพระโรง เขาสามารถมองเห็นร่างขององค์ชายสามได้จากระยะไกล “คนที่เดินทางตายให้กลายเป็นทางรอด เวลานี้สามารถชี้แนะเส้นทางให้ผู้อื่นได้แล้ว”
หวังเจียนเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะถามเสียงเบา “ท่านว่าอย่างไร”
ไม่ว่าจะกล่าวอ้างด้วยเหตุผลใด ครานี้ก็คือการต่อสู้ระหว่างองค์ชายสามกับองค์รัชทายาทซึ่งหน้า การแย่งชิงระหว่างองค์ชายไม่เพียงส่งผลกระทบต่อภายในพระราชวังเท่านั้น
แม่ทัพหน้าเหล็กกล่าว “จักรพรรดิและขุนนางต่างมีหน้าที่ของตัวเอง องค์ชายย่อมมีหน้าที่ขององค์ชาย เพียงแค่องค์ชายไม่ก้าวล้ำหน้าที่ของตนเอง ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับข้า”
หวังเจียนยิ้ม ต้องการพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ส่ายหัว “บางครั้งเรื่องของหน้าที่ไม่ใช่สิ่งที่คนผู้หนึ่งสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเดินจากไปโดยไม่พูดสิ่งใด
ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ในตำหนักใหญ่เห็นองค์ชายสามเดินมา แต่ไม่ได้เข้าใกล้ เพียงแค่คุกเข่าอยู่ด้านนอกประตูพระตำหนัก
คุกเข่าจนเชี่ยวชาญแล้ว ฮ่องเต้เย้ยหยัน “ซิวหยง ครานี้เจ้าไม่จริงใจพอ เหตุใดจึงไม่เห็นคุกเข่าทั้งวันทั้งคืน บัดนี้ร่างกายเจ้าหายดีแล้ว จึงกลัวตายหรือ”
องค์ชายสามเงยหน้าขึ้นพูด “เนื่องจากร่างกายหายดีแล้ว ไม่อาจทำให้ผิดหวัง จึงใช้ใจมากเพียงนี้”
องค์ชายสามที่มีร่างกายแข็งแรง ไม่ได้เปราะบางเหมือนแต่ก่อนไม่คู่ควรแก่การสงสารอีกแล้ว ท่าทางอันชอบธรรมนี้ทำให้คนเห็นโกรธอย่างมาก
ฮ่องเต้พูดเสียงเรียบ “แม้แต่องค์รัชทายาทของท่านอ๋องฉียังไม่กล้าขอร้องให้หยุดใช้กองกำลังกับท่านอ๋องฉี ขอเพียงแค่อภัยโทษ แต่เจ้าต้องการให้ทั้งราชสำนักหลีกทางให้เจ้าเพราะหญิงสาวเมืองฉีผู้เดียว ข้าไม่อาจไม่สนใจแผ่นดินเพื่อเจ้าคนเดียว ชีวิตของเจ้า หญิงสาวเมืองฉีเป็นคนมอบให้ เจ้าคืนให้นางก็สมเหตุสมผล เจ้าอยากคุกเข่าก็ทำต่อไปเถิด”
อง์ชายสามพูด “ท่านอ๋องฉีต้องการผูกมัดใจกระหม่อมจึงส่งหญิงสาวเมืองฉีมา บัดนี้กระหม่อมยอมรับการผูกมัดของนาง กระหม่อมย่อมต้องตอบแทน ไม่เกี่ยวกับราชสำนักหรือแผ่นดินพ่ะย่ะค่ะ”
ในฐานะองค์ชาย เอ่ยวาจาเหลวไหลเช่นนี้ออกมาได้ ฮ่องเต้เย้ยหยัน “หากพูดเช่นนี้ เจ้าได้พบกับคนของท่านอ๋องฉีแล้วหรือ? มีหญิงสาวเมืองฉีอยู่ข้างกายสะดวกอย่างมากเสียจริง ท่านอ๋องฉีพูดสิ่งใดกับเจ้า”
องค์ชายสามเอ่ยอย่างเปิดเผย “ท่านอ๋องฉีตรัสว่า คดีหมู่บ้านซ่างเหอที่เกิดขึ้นประจวบกับฝ่าบาทกำลังพิชิตเหล่าท่านอ๋อง ราชสำนักกับเหล่าท่านอ๋องเป็นศัตรูกัน ในเมื่อเป็นศัตรูย่อมรับมือด้วยกลยุทธ์ ดังนั้นเรื่องนี้เป็นความผิดของท่านอ๋องฉี แต่ฝ่าบาทลงโทษแล้ว อีกทั้งยังประกาศให้ผู้คนทั้งแผ่นดินรับรู้ว่าอภัยโทษให้เขา หากเวลานี้สืบความอีก ย่อมเป็นการกลับคำไร้คุณธรรม”
ฮ่องเต้หัวเราะร่า บุตรชายที่ดีของเขา
“ข้าไม่คิดว่า บุตรชายคนที่สามที่ข้ารักใคร่มาแต่เด็กจะเอ่ยวาจาที่ไม่เห็นแก่ความเป็นบิดาและจักรพรรดิเช่นนี้ออกมาได้! เวลานี้เล่า? เวลานี้ใช้เด็กกำพร้าทั้งเจ็ดมาใส่ร้ายองค์รัชทายาท ปั่นป่วนให้ราชสำนักเกิดความวุ่นวาย โทษนี้ลงโทษไม่ได้หรือ”
องค์ชายสามเอ่ย “ท่านอ๋องฉีตรัสว่า เรื่องนี้ไม่ใช่คำสั่งของเขาในเวลานี้ นับแต่ยอมรับโทษ เขาตัดขาดจากภายในและภายนอก ไม่เคยออกคำสั่งเช่นนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค้างคาจากก่อนหน้านี้ เป็นแผนการที่วางเอาไว้ในเวลานั้น…”
ฮ่องเต้ไม่อาจทนฟังต่อไปได้ เขาโยนฎีกาเล่มหนึ่งลงมา ตะโกน “ข้าไม่อยากฟังคำแก้ตัวของเจ้ากับท่านอ๋องฉี เรื่องนี้ข้าไม่ยอมเพียงแค่นี้ ท่านอ๋องนี้ไม่อาจปล่อยไปได้”
เขามององค์ชายสามด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก องค์ชายสามของเขา เพื่อหญิงสาวเมืองฉีผู้เดียว ราวกับว่ากลายเป็นบุตรของท่านอ๋องฉีไปเสียแล้ว
องค์ชายสามไม่ได้ก้มตัวยอมรับความผิด หากแต่ขานเรียกเสด็จพ่อต่อ
“เสด็จพ่อ มันคือเหตุผลของท่านอ๋องฉี กระหม่อมบอกกับเสด็จพ่อ ท่านอ๋องฉีย่อมต้องตรัสกับคนทั่วแผ่นดิน” เขาพูด “กระหม่อมต้องการหยุดยั้งกองกำลัง มิได้ทำเพื่อท่านอ๋องฉี หากแต่เพื่อฝ่าบาท เพื่อองค์รัชทายาท เพื่อแผ่นดิน อาวุธของทหารเป็นสิ่งอันตราย หากขยับขึ้นมาย่อมต้องเจ็บตัว ถึงแม้สุดท้ายจะสามารถกอบกู้ชื่อเสียงขององค์รัชทายาทได้ แต่ย่อมทำให้ชื่อเสียงด้านการสงครามขององค์รัชทายาทเสื่อมเสีย เพื่อท่านอ๋องฉีเพียงผู้เดียว ไม่คุ้มค่าแก่ความเหน็ดเหนื่อยของราษฎร ทรัพย์สินและกองกำลังที่ต้องสูญเสีย”
พูดถึงตรงนี้ เขาโน้มตัวก้มกราบ
“ขอโปรดให้ฝ่าบาทมอบหมายเรื่องนี้ให้กระหม่อม กระหม่อมรับรองว่าภายในสามเดือน ไม่ต้องใช้กองกำลัง กระหม่อมจะทำให้ต้าเซี่ยไม่มีท่านอ๋องฉี ไม่มีเมืองฉีอีกต่อไป”
ปากกล้าเสียเหลือเกิน บุตรชายที่ป่วยมาสิบกว่าปีบังอาจเทียบกับกองทหารนับหมื่นพัน ฮ่องเต้มองเขา รู้สึกขบขันเล็กน้อย “เจ้าจะทำอย่างไร”
“ย่อมใช้กลยุทธ์การคัดเลือกขุนนางจากความสามารถ ใช้วาจาแทนอาวุธ ให้ผู้มีความสามารถของเมืองฉีกลายเป็นคนของโอรสแห่งสวรรค์ ให้ราษฎรเมืองฉียอมรับแค่ฝ่าบาท เมื่อไม่มีราษฎร ท่านอ๋องฉีและเมืองฉีย่อมไม่มีอยู่อีกต่อไป” องค์ชายสามเงยหน้าขึ้น สบตากับฮ่องเต้ “บัดนี้ชื่อเสียงของฝ่าบาทเกรียงไกร ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้กองกำลังย่อมสามารถกำราบทั่วทั้งแผ่นดินได้”
เช่นนี้หรือ พระหัตถ์ที่หยิบฎีกาอีกเล่มของฮ่องเต้หยุดลง