หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 966 จะมาหรือไม่มา!

บทที่ 966 จะมาหรือไม่มา!

พรสวรรค์ของวิญญาณจุติดาวเคราะห์ ก็คือทำให้ผู้ถือครองซึ่งมีพลังเกือบใกล้เคียงระดับดาวพระเคราะห์นั้น ย่นระยะห่างเข้าใกล้ระดับดังกล่าวมากขึ้น และช่วยให้ผู้ถือครองปลดปล่อยพลังการต่อสู้ชนิดที่เรียกว่าไร้ขีดจำกัดออกมาได้

จักรวรรดิดาวตกแห่งนี้ไม่มีดาวพระเคราะห์ แทบจะเรียกได้ว่าทั้งจักรพิภพเป็นอาณาเขตว่างเปล่าแห่งหนึ่ง หมู่ดาวบนท้องฟ้าเสมือนพร่าเลือน มีเพียงดาวเคราะห์เต๋าเพียงดวงเดียวเท่านั้น แต่ทั้งหมดนี้กลับเป็นเหมือนแรงหนุนสำหรับบุคคลที่ถือครองพลังพิเศษแห่งวิญญาณจุติดาวเคราะห์เช่นหวังเป่าเล่อ แม้อาจไม่ได้ก่อผลลัพธ์มหาศาลก็ตาม

ทว่า…ก่อนหน้านี้ในยามที่ได้รับกระแสอาทรจากโลก ในจังหวะที่วิญญาณของหวังเป่าเล่อได้รับการประสาทพรจนทำให้เกิดการกระตุ้นพลังวิญญาณจุติดาวเคราะห์นั้น เขาก็ได้เห็นฉากที่แอบซ่อนอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว การมองเห็นมวลดาราทั้งหมด ราวกับว่าตัวเขาเองนั้นได้เปลี่ยนเป็นดาวดวงหนึ่งเช่นกัน ภาพนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองของเขา ดังนี้หลังจากที่กระแสปราณแห่งวิญญาณจุติดาวเคราะห์ของเขาระเบิดออกพลังจนทำให้พลังฝึกปรือของเขาสั่นไหว เขาก็พลันเหยียดแขนชูขึ้นสู่ฟากฟ้า ยามนี้เองพลันมีเสียงโห่ก้องคำรามดังมาจากฟ้าพร่างดาราเบื้องบน

จังหวะที่เสียงสะท้อนก้องนี้ดังส่งมา นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็ทอแสงแรงกล้า พลันปรากฎแสงโชติช่วงแวบหนึ่ง แสงโชติช่วงนี้ทวีความเจิดจรัสท่วมคลองจักษุของเขา จนสุดท้ายก็อาบไล้ไปทั้งร่าง พลังพยุงให้ร่างของเขาลอยตัวขึ้นและเปล่งแสงขยายตัวไม่หยุด

หลังจากที่ร่างของเขาลอยขึ้นมานั้น แสงสว่างก็สาดส่อง ตามมาด้วยเสียงกู่คำรามแห่งฟากฟ้านั้นซึ่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ เหล่ามวลดาราที่แอบซ่อนตัวและเสียประกายแสงไปหลังจากที่ดาวเคราะห์เต๋าร่วงหล่น ก็เหมือนจะถูกเสียงเรียกนี้ปลุกให้ค่อยๆ ทยอยกลับมาทอแสงอีกครั้ง

แม้ว่าแสงดาวเหล่านี้จะอ่อนระโหย อีกทั้งการกะพริบของพวกมันก็ถูกดาวเคราะห์เต๋ากลบไปหมด แต่ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็ยังคงลอยขึ้นไปเรื่อยๆ ในขณะที่แสงบนร่างของเขานั้นทวีความสว่างมากเข้า เขาก็เริ่มเข้าใจกระบวนการหลอมร่างเป็นดวงดาว และในนาทีนี้บนท้องฟ้าเอง…ก็ค่อยๆ เปลี่ยนสภาพเช่นกัน!

ดวงดาวจำนวนมากที่แต่เดิมแอบซ่อนตัว คอยจับจ้องพลังแห่งดาวเคราะห์เต๋า ก็เริ่มคิดอยากแสดงตนขึ้นมา แสงดาวกระจายเต็มท้องฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเหล่าดวงดาวกำลังสนับสนุนความกล้าหาญของหวังเป่าเล่อในการต่อต้านดาวเคราะห์เต๋า จังหวะเดียวกัน ดาวเคราะห์เต๋าเองก็พยายามส่งพลังข่มหนักกว่าเก่า

หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้ดาวเคราะห์เต๋าเหยียดหยามหวังเป่าเล่อ เช่นนั้นในเวลานี้ การกระทำของมันก็ส่อให้เห็นว่าตัวมันเริ่มจิตใจไม่สงบ ในสายตามัน หวังเป่าเล่อมิใช่ผู้ฝึกตนธรรมดาอีกต่อไป แต่ได้กลายร่างเป็นดวงดาวไปแล้ว ดังนั้นการกระทำใดๆ ของหวังเป่าเล่อจึงเหมือนการท้าทายตำแหน่งของมันโดยตรง

ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะ…ร่างปฐมแห่งวิญญาณดาวเคราะห์จุติ และเป็นเพราะพลังเร้นลับซึ่งก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อไม่เคยค้นพบมาก่อน หากจะกล่าวไป วิญญาณดาวเคราะห์จุตินี้…ก็คือ ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งนั่นเอง!

เพียงแต่มันมิใช่ร่างจริงแห่งดาวเคราะห์ แต่เป็นเพียงปณิธานแห่งดวงดาว!

และเมื่อเป็นเช่นนี้ การต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อและดาวเคราะห์เต๋าในก่อนหน้านี้ จึงกลายเป็นการต่อสู้ขัดขืนระหว่างดาวเคราะห์กันเอง หากว่าจะให้เทียบจักรพิภพหนึ่งเป็นหนึ่งราชอาณาจักร เช่นนั้นดาวเคราะห์เต๋าก็เปรียบได้ดังจักรพรรดิ ส่วนดาวเคราะห์แทนตัวหวังเป่าเล่อนั้นก็เสมือนเหล่าประชาชนตัวจ้อยที่คิดจะลุกฮือ หมายท้าทายตำแหน่งผู้ปกครองนั่นเอง

ฉากนี้ ทำให้ผู้คนทั้งหมดที่ล้วนมองดูอยู่นั้นหน้าเปลี่ยนสีครั้งใหญ่!

กระดาษรูปมนุษย์ทุกตนบนลานล้วนหัวใจสะท้านหวั่นไหว ในส่วนของชายหนุ่มชุดดำและชายหนุ่มผู้สง่างามเองก็กลั้นลมหายใจ แม่นางน้อยที่อยู่ข้างๆ หวังเป่าเล่อนั้นถึงกับมองจนตาถลน และในเวลานี้สายตาของแม่นางกระพรวนเองก็ยังมีแต่ความตะลึง

กระทั่งตัวจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิดาวตกเอง ก็ถึงกับต้องเดินเข้ามาใกล้ขึ้นอีกหลายก้าว สายตาฉายแววไม่อยากเชื่อ

“ที่แท้แล้วเขาเป็นวิญญาณดาวเคราะห์จุติ!” วิญญาณดาวเคราะห์จุตินั้นเป็นหนึ่งในตำนานใหญ่ทั้งห้าแห่งอาณาจักรดาราไม่สิ้นสุด เรื่องของมันเร้นลับอัศจรรย์ ในเวลาเดียวกัน เพราะตัวตนอันเร้นลับสุดขีดนี้ของมัน ทำให้ผู้ได้ถือครองมีจำนวนน้อยและพบเห็นได้ยากมาก ดังนั้นแล้วย่อมไม่อาจมีคนนอกได้ติดต่อสัมพันธ์กับคนเหล่านี้นัก ต่อให้เป็นตัวจักรพรรดิดาวตกเองก็แค่เคยได้ยินเรื่องเล่ามา แต่เขาไม่เคยพบกับผู้ถือครองมาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่เคยสัมผัสได้ถึงพลังนี้ในตัวหวังเป่าเล่อเลย

กระทั่งเขายังมีอาการเช่นนี้ เช่นนั้นคนอื่นๆ เองก็คงเหมือนกัน เวลานี้ในสมองของทุกคนต่างก็คาดเดาเหตุผลไปต่างๆ แต่ความตกตะลึงในใจกลับไม่ลดถอยลง ทว่ายิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะว่า…ในยามนี้ หลังจากที่ร่างกายของหวังเป่าเล่ออาบแสงและลอยสู่ฟากฟ้าเบื้องบนแล้ว ดวงดาราทั้งผืนฟ้าก็ราวกับกำลังดิ้นรนบางอย่าง พวกมันกระเสือกกระสนอยากลองขัดขืนราวกับว่าพวกมันไม่ยินยอมอยู่ภายใต้อาณัติของดาวเคราะห์เต๋าอีกต่อไป คิดอยากจะต่อต้านและกำลังต้องการหัวหน้านำทัพสักคนหนึ่ง!

เหมือนว่าตัวดาวเคราะห์เต๋าเองก็จะสัมผัสได้ถึงเรื่องนี้ได้เหมือนกัน ดังนั้นแล้วความโกรธของมันจึงยิ่งทบทวี อาณาเขตแห่งแสงของมันนั้นก็ระเบิดขยายไปอีก คลื่นในคราวนี้กระทบไปทั่วฟ้า มุ่งหมายสยบดวงดาวที่คิดต่อต้านตนพวกนั้น

หวังเป่าเล่อมองไปเบื้องหน้าแลเห็นแสงดาวเคราะห์เต๋าพลันขยาย และหมู่ดวงดาวก็ถูกสยบอีกครั้ง เขาพลันแหงนหน้า ดวงตาทอประกายประหลาดเร้นลับ ก่อนจะเปิดปากพูดกับผืนดาราแห่งนี้!

“มวลดาราเอ๋ย หากในยามนี้พวกเจ้าไม่เปล่งแสงแล้วจะรอเวลาใด!” หลังสิ้นคำพูดนี้ หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาที่ถือไม้กลองน้อมดาราขึ้น พริบตานั้นเขาสะบัดมันคราหนึ่งจนเกิดเป็นลำแสง ไม้กลองน้อมดารานี้ก็พุ่งไปยังกลองสู่สวรรค์ราวกับเป็นดาวตก

ทันทีที่มันรุดถึงกลอง หวังเป่าเล่อก็ลงมือตีกลองครั้งที่…สิบแปด!

เมื่อเสียงกลองดังขึ้น พริบตานี้ก็บังเกิดพลังพลิกฟ้า แม้จะกล่าวว่าการตีครั้งนี้เป็นครั้งที่สิบแปด แต่พลังของมันถือว่าเป็นระดับสูงสุดแล้ว เพราะว่าหลังสิ้นเสียงตีครั้งที่สิบแปดนี้ เสียงกลองกลับไม่หยุดดัง เสียงนั้นราวกับจะกระเทือนภูผาสั่นคลอนสมุทรไม่ปาน มันระรัวกระหน่ำกังวานทั่วสารทิศ

ท้องฟ้าบิดผัน ลมหมุนตีกระหน่ำ แผ่นฟ้าราวกับจะแยกออก จากนั้นรอยแยกขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นทั่วผืนฟ้า รอยแยกเหล่านี้ไม่ได้มีอยู่จริง แต่มาจากแรงกดดันของดาวเคราะห์เต๋า ในเวลาเดียวกันกับที่รอยแยกปรากฏขึ้น เสียงที่เหมือนการคำรามขนาดยักษ์ ก็ดังสะท้อนมาจากฟากฟ้า แล้วระเบิดออกเป็นวงกว้าง!

ท่ามกลางเสียงร้องก้อง โห่คำราม และท่ามกลางความตกใจของสรรพสัตว์ ฟ้าพร่างดาราพลันเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง ดวงดาวแต่ละดวงล้วนปรากฏขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ในชั่วพริบตา ธาราแห่งแสงดาวก็เผยออกมาอีกครั้ง ในครานี้หมู่มวลดาราแข่งกันทอแสง ส่องสว่างชัชวาล!

ดวงดาวนับพันดวงพวกนี้เป็นดาวเคราะห์พิเศษระดับสองถึงเก้า พวกมันล้วนแต่ปรากฏร่างมายาออกมา ในเวลาเดียวกันยังมีดาวเคราะห์พิเศษชั้นหนึ่งอีกสามสิบเจ็ดดวง พวกมันเองก็เผยตัวออกมาพร้อมกันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน หลังจากนั้นก็ส่องแสงไปทั่วท้องฟ้า กล่าวไปแล้ว ฉากนี้จะอธิบายด้วยคำว่าดวงดาวแข่งกันทอแสงก็เกรงว่าจะยังด้อยอยู่ แต่ก็ถือว่าใกล้เคียง

ระหว่างขั้นตอนทั้งหมดนี้ จะเห็นชัดว่าทุกสิ่งค่อยๆ สั่นสะเทือนความมั่นใจของดาวเคราะห์เต๋า บารมีของมันถูกท้าทาย ดังนั้นแล้วความเดือดดาลครั้งนี้จึงส่งผลให้ร่างเดิมของมันที่เดิมทีโผล่ออกมาเพียงครึ่งดวง พลันปรากฏลักษณ์เต็มเป็นครั้งแรกอยู่กลางฟากฟ้า พลังอันกล้าแกร่งของมันถูกสำแดงออกมาหมดในชั่วพริบตา ส่งผลให้ท้องฟ้าบิดเบี้ยว กระทั่งผู้คนยังมองเห็นว่ากลุ่มดาวเคราะพิเศษในหมู่ดาราเอง ก็เหมือนจะต้านพลังกระแสนี้ไม่ไหว และในยามนี้เอง…

ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งเปล่งประกายเจิดจ้าราวกับดาวพระศุกร์ แต่กระนั้นมันก็ยังคงเป็นรองดาวเคราะห์เต๋า ก็พลันปรากฏอยู่ทางทิศตะวันออกของฟากฟ้าแสนบิดเบี้ยว และหลังจากที่มันปรากฏตัว กระแสปราณอันเก่าแก่สะสมก็แผ่ขยายไปทั่วแผ่นฟ้า ราวกับว่าตัวมันนี้คือราชาที่ถูกจองจำ แสงเจิดจรัสในพริบตาปรับให้ทัศนียภาพอันบิดเบี้ยวรอบตัวของมันหายไป!

หลังจากนั้นดาวเคราะห์ดวงที่สอง ที่สาม ที่สี่ กระทั่งดาวเคราะห์บรรพกาลดวงที่เก้า ต่างก็ทยอยกันปรากฏตัว ในเวลานี้ ดวงดาวทั้งเก้านั้นครองทั้งแปดทิศบนฟากฟ้า ในบรรดานั้นมีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งปรากฏอยู่ตรงกลาง มันประจันหน้าเข้ากับดาวเคราะห์เต๋าโดยตรง!

“ดาวเคราะห์บรรพกาล!” จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิดาวตกพึมพำ ในนครดาวตกนี้ ผู้ที่รู้จักดาวเคราะห์บรรพกาลล้วนแต่มีคลื่นกระหน่ำซัดในหัวใจ

ในบันทึกประวัติศาสตร์ของพวกเขา ดาวเคราะห์บรรพกาลเอง…ก็เหมือนดาวเคราะห์เต๋า พวกมันล้วนแต่อยู่ในตำนาน พวกมันล้วนเป็นดาวเคราะห์ที่พยายามเลื่อนลำดับเป็นดาวเคราะห์เต๋าแล้วแต่ไม่สำเร็จ เหล่าดาวเคราะห์บรรพกาลที่ไม่เคยละทิ้งความหวังนี้ดำรงผ่านคืนวันยาวนาน พูดไปแล้วเหมือนพวกมันจะอยู่มาก่อนจักรวรรดิดาวตกด้วยซ้ำ!

กระทั่งอาจกล่าวได้ว่า ปัจจัยที่ขาดไปจนส่งผลให้พวกมันล้มเหลวและไม่อาจเป็นดาวเคราะห์เต๋าได้นั้น จริงๆ ขาดเพียงแค่การยอมรับและโชควาสนาเท่านั้น ขอเพียงมีโชควาสนามากพอ การเลื่อนระดับเป็นดาวเคราะห์เต๋าย่อมเป็นไปได้

ตอนที่ดาวเคราะห์เต๋าซึ่งมีกฎเป็นกระดาษเลื่อนระดับได้ ก็เป็นเพราะราชอาณาจักรดาวตกนั้นอนุญาตให้มันทำสำเร็จ ตัวมันได้รับเจตนารมณ์จากจักรวรรดิดาวตกเป็นแรงหนุนครั้งสำคัญ!

เพราะหากจะนับระดับทั้งหมดจริงๆ ศักดิ์ฐานะของหมู่ดาวเคราะห์บรรพกาลนี้ เกรงว่าจะอยู่สูงกว่าดาวเคราะห์พิเศษ เป็นรองแค่ดาวเคราะห์เต๋าเท่านั้น ทว่าวันนี้เก้าดาวเคราะห์บรรพกาล และดาวเคราะห์เต๋ากลับปรากฏตัวพร้อมกัน ตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน ล้วนไม่เคยมีมาก่อน!

ในสถานการณ์สะท้านโลกนี้ หมู่ดาวรอบทิศทั้งสี่พลันเปล่งแสง แสงแห่งดวงดาวนั้นยากจะใช้คำพูดมาพรรณนาได้ ผู้ที่ได้เห็นเรื่องนี้ทั้งหมดล้วนรู้สึกสมองอื้ออึงไม่หยุด เว้นเพียงหวังเป่าเล่อที่อยู่กลางอากาศ แหงนหน้าจับจ้องแผนภาพดาราเหล่านั้น

เขากำลังจ้องหมู่ดาวรอบด้าน กำลังจ้องดูหมู่ดาวพิเศษนับพันที่อยู่ในวงล้อมด้านใน กำลังจ้องดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งแปดตรงใจกลาง กำลังจ้องดาวเคราะห์บรรพกาลดวงที่เก้าซึ่งอยู่ตรงกลางสุด และเขากำลังจ้อง…ดาวเคราะห์เต๋าที่ถูกล้อมอยู่เพียงดวงเดียวนั้น จากนั้นเขาก็เอ่ยปากช้าๆ

“คราวนี้ ข้าไม่ได้ใช้แรงเสริมข้างนอกแล้ว ถ้าอย่างนั้นเจ้า…จะมา หรือไม่มา!”

……………………………………………………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท