คำพูดของสืออีเหนียงทำให้สวีลิ่งอี๋แปลกใจ เขาลุกขึ้นมานั่ง
“ฉินอี๋เหนียงก็แค่กังวลมากเกินไปเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงก็ลุกขึ้นมานั่ง “ท่านตำหนินางตอนนี้ อวี้เกอก็คงจะรู้เจตนาของท่านแล้ว ท่านไม่ต้องทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ดีกว่าเจ้าค่ะ จะว่าไปแล้ว สาเหตุก็เพราะว่าฉินอี๋เหนียงเป็นห่วงอวี้เกอมากเกินไป”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเบาๆ “ตอนนี้เจ้าเป็นคนดูแลจวนแล้ว กฏเกณฑ์บางอย่าง ตั้งไว้เสียก็ดี”
กลับไม่เห็นด้วย!
สืออีเหนียงตกใจ ได้ยินเขาพูดเป็นนัย นางก็พูดด้วยความตกใจว่า “ฉินอี๋เหนียงเป็นคนดูแลอวี้เกอ เดิมเป็นความต้องของพี่หญิงหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋พูด “ตอนนั้นเรื่องที่จวนวุ่นวาย พี่หญิงของเจ้าดูแลไม่ทั่วถึง”
สืออีเหนียงนึกถึงความรู้ของฉินอี๋เหนียง แล้วก็นึกถึงส่วนเกี่ยวข้องกันของฮูหยินสองและสวีซื่ออวี้… นางอดไม่ได้ที่จะหาคำตอบ ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าพี่สะใภ้สองเป็นคนสอนหนังสืออวี้เกอ ตอนนั้นอวี้เกออายุเท่าไหร่หรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้ตอบนาง แต่กลับขมวดคิ้ว “เจ้าได้ยินใครพูด”
“ทานป้าในจวนล้วนแต่พูดเช่นนี้กันเจ้าค่ะ! แล้วยังชมว่าอวี้เกอฉลาด” สืออีเหนียงพูด “มีอะไรผิดปกติหรือ”
สวีลิ่งอี๋พูดด้วยสีหน้าที่คิดไม่ถึง “ตอนนั้นอวี้เกอไม่มีคนดูแล เขาเอาแต่เล่นกับบ่าวรับใช้ไปวันๆ ฤดูใบไม้ผลิ เมื่อนกกำลังฟักไข่อยู่ในรัง บ่าวรับใช้พาเขาไปแหย่รังนกในจวน แล้วยังแข่งใครแหย่ได้มากกว่ากัน พี่สะใภ้สองเห็นว่าเช่นนี้ไม่เหมาะสม จึงคิดที่จะให้เขาเรียนหนังสือ กลัวว่าเขาจะติดเล่นมากเกินไป ถึงตอนนั้นจะเรียนไม่รู้เรื่อง ต่อมาอวี้เกอรู้ความขึ้นเรื่อยๆ พี่สะใภ้สามเห็นเช่นนี้ จึงส่งฉินเกอและเจี่ยนเกอไปด้วย พี่สะใภ้สองหาเวลาช่วงบ่ายเล่า ‘บทเรียนปฐมวัย’ ให้เด็กๆ ทั้งสามคนฟัง ต่อมาถึงเวลาที่ฉินเกอต้องเรียนหนังสือ พี่สะใภ้สองกลัวว่าคนที่ฉลาดเกินไปจะไม่กล้าควบคุม คนที่อ่อนโยนเกินไปก็จะควบคุมไม่ได้ จึงแนะนำอาจารย์คนปัจจุบันมา”
เช่นนั้นก็หมายความว่า ฮูหยินสองบอกให้สวีซื่ออวี้เรียนหนังสือ คือตอนก่อนที่ฉินเกอจะเรียนหนังสือ สวีซื่ออวี้เด็กกว่าสวีซื่อฉินสามปี จุนเกอก็เด็กกว่าสวีซื่อฉินแปดปี เช่นนี้ แสดงว่าตอนนั้นจุนเกอยังไม่เกิด สวีซื่ออวี้คือบุตรชายคนเดียวของสวีลิ่งอี๋
สืออีเหนียงเข้าใจแล้ว
หยวนเหนียงคงจะอ้างว่าตัวเองไม่สบาย ให้ฉินอี๋เหนียงที่เคยเป็นสาวใช้มาก่อนเป็นคนเลี้ยงดูสวีซื่ออวี้ มีท่านแม่ที่ไม่มีความรู้อะไรเป็นคนเลี้ยงดู บวกกับมีคนคอยประจบสอพลออยู่ข้างๆ เช่นนี้ ก็ไม่แปลกใจที่เหตุใดสวีซื่ออวี้ถึงเป็นเด็กดื้อ
นางนึกถึงหลัวเจิ้นเซิง!
เหมือนวิธีของนายหญิงใหญ่ไม่มีผิด
ไม่แปลกที่ฮูหยินสองจะเข้าใจเรื่องการเรียนของเด็กๆ สองสามคนมากขนาดนี้!
สวีลิ่งอี๋ไม่ชอบได้ยินข่าวลือเช่นนี้ หรือเพราะว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหยวนเหนียง?
สืออีเหนียงนึกถึงพิธีสิ้นสุดการไว้ทุกข์คืนนั้น สวีลิ่งอี๋นอนพลิกตัวไปมาตั้งนานกว่าจะนอนหลับ
นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าคิดไม่ถึงเองเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดไม่จา ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็นอนลง “ดึกมากแล้ว เจ้ารีบพักผ่อนเสียเถิด”
สืออีเหนียงพลันนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้จัดการเรื่องของฉินอี๋เหนียง จึงรีบพูดว่า “ท่านโหวเจ้าคะ อย่าให้ฉินอี๋เหนียงมาเรียนรู้กฏเกณฑ์กับข้าเลยเจ้าค่ะ หากจะตั้งกฏจริงๆ รอให้อวี้เกอไปเล่ออานแล้วค่อยตั้งกฏดีกว่า” จัดการเรื่องที่อยู่ตรงหน้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน
สวีลิ่งอี๋มองไปที่นางด้วยความสับสน
“ท่านโหวเจ้าคะ!” สืออีเหนียงดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ สองครั้ง
นี่เป็นครั้งแรกที่สืออีเหนียงทำกับสวีลิ่งอี๋เช่นนี้
มองดูนิ้วที่เรียวยาวและขาวสะอาดที่ดึงแขนเสื้อของตัวเอง เขารู้สึกว่ามันน่ารักเป็นอย่างมาก
เขากลั้นหัวเราะ พลิกตัวหันหลังให้นาง “รีบนอนเถิด”
“ท่านโหว” สืออีเหนียงจึงเอนตัวเข้ามา “ท่านบอกแล้วว่าจะตั้งกฏ เช่นนั้นท่านจะเป็นคนแหกกฏเองไม่ได้นะเจ้าคะ…”
สวีลิ่งอี๋หลับตาลงแล้ว แต่กลับพูดอย่างคลุมเครือ “ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ” เขาทำท่าทีง่วงนอนและไม่สนใจ
“แต่ข้าเป็นคนดูแลเรื่องของลานข้างใน!” สืออีเหนียงรู้ว่า หากวันนี้ไม่พูดเรื่องนี้ให้ชัดเจน ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉินอี๋เหนียงก็จะคอยเดินตามตัวเองราวกับหาง
เพียงแค่คิดก็รู้สึกอึดอัด
“ท่านโหวเจ้าคะ…” สืออีเหนียงเห็นว่าสวีลิ่งอี๋ไม่มีปฏิกิริยา นางเขย่าไหล่เขาเบาๆ “ท่านโหว ท่านโหว…”
มีเสื้อผ้าบางๆ กั้นอยู่ ตัวของเขาสั่นเบาๆ
สืออีเหนียงตกใจ
นางมองดู เขากำลังกลั้นหัวเราะ
“ท่านโหว!” สืออีเหนียงผลักสวีลิ่งอี๋อย่างแรง “ในเมื่อท่านต้องการให้ข้าตั้งกฏ เช่นนั้นข้าก็จะทำตามกฏ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านโหวมีเรื่องอะไรก็พูดกับข้าโดยตรง ห้ามล่วงล้ำการตัดสินใจของข้า…”
นางยังพูดไม่จบ สวีลิ่งอี๋ก็พลิกตัวเข้ามากอดนางไว้ในอ้อมแขน “ทำไมเจ้าถึงโง่ขนาดนี้!”
โง่… สืออีเหนียงเป็นคนมาตั้งสองยุค นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินคนวิจารณ์ตนเช่นนี้
นางเหม่อลอย
สวีลิ่งอี๋มองดูท่าทีเหม่อลอยของนาง เขายิ่งคิดว่ามันน่าสนใจ เขาหัวเราะแล้วหอมแก้มนางอย่างแรง
สืออีเหนียงเข้าใจขึ้นมาทันที
ตัวเองโง่จริงๆ!
ตั้งกฏ คำว่าตั้งกฏ แน่นอนว่าตัวเองอยากให้ฉินอี๋เหนียงทำอะไรก็ได้!
ให้นางเดินตามตัวเองทั้งวันราวกับสาวใช้ หรือจะให้นางอยู่ในเรือนทั้งวันไม่ต้องไปไหน ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับตัวเองทั้งนั้น!
จะโทษก็ต้องโทษที่ตัวเองช่างโง่เขลา
ตอนอยู่ที่สกุลหลัว เมื่อนายหญิงใหญ่ตั้งกฏให้อี๋เหนียงสองสามคน เหมือนอี๋เหนียงสี่ นางยังเคยยืนอยู่ข้างนายหญิงใหญ่ทั้งวันราวกับสาวใช้ ส่วนอี๋เหนียงสาม อี๋เหนียงห้าและอี๋เหนียงหกกลับต้องไปรับใช้นายหญิงใหญ่สวมเสื้อผ้าเมื่อนางตื่นนอน คอยพัดให้นางเมื่อนางนอนกลางวัน ตอนกลางคืนก็ต้องนอนรับใช้อยู่ข้างล่างเตียง… แต่สืออีเหนียงไม่เคยคิดที่จะลงโทษฉินอี๋เหนียง ความคิดของนางจึงเปลี่ยนไปอีกทาง!
คิดได้แล้ว นางก็กลับมาสงบสติอารมณ์ได้อีกครั้ง
พยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋ สืออีเหนียงดึงผ้าห่ม “ท่านโหว รีบนอนเถิดเจ้าค่ะ”
มองดูสืออีเหนียงที่หันหลังให้เขา สวีลิ่งอี๋ก็ตกใจ
เหตุใดถึงนอนหันหลังเขา…หรือเพราะว่าตนบอกว่านางโง่ นางจึงโกรธ?
เขาอดไม่ได้ที่จะเอนตัวไปถามนาง “เจ้าเป็นอะไรไป!”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงหลับตาลง แล้วบอกเหตุผลที่ตัวเองต้องรีบนอน “พรุ่งนี้เช้าฉินอี๋เหนียงจะต้องมารับใช้ข้าแต่เช้า!” นางพูดอย่างคลุมเครือว่า “ประเดี๋ยวจะไม่ตื่น… ท่านโหวก็รีบนอนเถิด!”
สวีลิ่งอี๋ไม่เชื่อว่านางจะนอนหลับเร็วเช่นนี้ เข้าพูดเบาๆ “เงียบ ข้าไม่ได้จะเข้ามายุ่งเรื่องของเจ้า แต่ข้าแค่กลัวว่าเจ้าจะกังวล…ข้าอยากให้เจ้าเป็นคนดูแลเรื่องของจวน…”
สืออีเหนียงเข้าใจเจตนาของเขา ไม่เช่นนั้น เขาคงจะไม่ตะโกนตำหนิฉินอี๋เหนียงต่อหน้าคนมากมายขนาดนั้น เพราะเขาสามารถพูดดีๆ กับฉินอี๋เหนียงเป็นการส่วนตัว หรือพูดเบาๆ ก็ได้
นางตอบกลับ “เจ้าค่ะ” รู้สึกไม่ชินที่หันหน้ามาทางตะเกียงจึงพลิกตัว มุดหน้าเข้าไปในอ้อมกอดของสวีลิ่งอี๋
มองดูสืออีเหนียงที่ราวกับลูกแมวขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง ตัวของสวีลิ่งอี๋ค่อยๆ ร้อนผ่าว จ้องมองใบหน้าที่นิ่งสงบของนาง เขาไม่อยากทำให้นางตื่น
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงรวบตัวนางมาไว้ในอ้อมแขนเบาๆ
*****
เช้าวันต่อมา หู่พั่วเข้ามารับใช้สืออีเหนียงตื่นนอน สวีลิ่งอี๋ไปฝึกดาบที่ศาลาริมน้ำตั้งแต่เช้า
“ฉินอี๋เหนียงมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ยืนรอท่านตื่นนอนอยู่ใต้ชายคากับสาวใช้เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้าแล้วพึมพำว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดคุณชายน้อยสองถึงต้องแอบฟังอยู่ที่หน้าต่าง”
“ฉินอี๋เหนียงรู้ว่าคุณชายน้อยสองจะไปเล่ออาน” หู่พั่วพูดเบาๆ “นางวิ่งไปที่เรือนของฮูหยินสอง เหวินจู๋บอกว่า สาวใช้ของฉินอี๋เหนียงกลัว จึงไปหาคุณชายน้อยสอง คุณชายน้องสองได้ยินเช่นนี้ก็รีบไปที่เรือนของฮูหยินสอง ตอนที่พวกเขาไปถึง ฮูหยินสองกำลังตำหนิฉินอี๋เหนียง บอกว่านี่คือความต้องการของท่านโหว ฉินอี๋เหนียงไม่ควรคัดค้าน เห็นว่าคุณชายน้อยสองไปที่นั่น ฮูหยินสองจึงไม่สนใจฉินอี๋เหนียง จากนั้นก็ไปที่ห้องหนังสือกับคุณชายน้อยสอง ฉินอี๋เหนียงจึงมาหาท่าน คุณชายน้อยสองออกมาไม่เห็นฉินอี๋เหนียง รู้ว่านางมาหาท่านจึงรีบตามมา ได้ยินว่าท่านโหวมาแล้ว เขาจึงยืนฟังอยู่ที่หน้าต่างเจ้าค่ะ”
ไม่แปลกที่นางผมเผ้ารุงรัง…
สืออีเหนียงตำหนิฉินอี๋เหนียง จากนั้นก็บอกให้นางสำนึกผิดอยู่ที่ห้องของตัวเอง ห้ามออกไปไหนเป็นเวลาหนึ่งเดือน ไม่ต้องมาคารวะนาง ส่วนตัวเองจัดการเรื่องงานเลี้ยงวันเกิดของไท่ฮูหยินที่ฝ่ายรายงานลานข้างนอกกับท่านป้าผู้ดูแล
ไท่ฮูหยินรู้ที่มาของเรื่องราวนางก็พยักหน้า “เป็นคนรู้ความ! แต่แค่ทำอะไรอ่อนโยนเกินไป!”
ป้าตู้ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้น บ่าวไปเตือนฮูหยินสี่ดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้อง!” ไท่ฮูหยินพูด “คนเยอะมากความ ตอนนี้นางเป็นคนดูแลจวน เราต้องทำตามนาง คอยตักเตือนนางทุกเรื่อง นางจะมีหน้ามีตาต่อหน้าบรรดาท่านป้าผู้ดูแลเหล่านั้นได้เช่นไร!”
“บ่าวโง่เองเจ้าค่ะ!” ป้าตู้ยิ้ม มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยินสี่มาแล้วเจ้าค่ะ!”
“รีบเชิญนางเข้ามา!” ไท่ฮูหยินยิ้ม ป้าตู้เดินไปเปิดม่านด้วยตัวเอง
สืออีเหนียงมาปรึกษาเรื่องรายชื่อแขกงานเลี้ยงวันเกิดกับไท่ฮูหยิน “…สองปีนี้ท่านไม่ได้จัดงานเลี้ยงวันเกิด ข้าจึงจัดรายชื่อตามงานเลี้ยงวันเกิดเมื่อสองปีก่อน ท่านลองดูว่าต้องการเพิ่มหรือลดอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินรับรายชื่อมาดู จากนั้นก็พูดว่า “ร่างรายชื่อใหม่เถิด สองปีก่อนคือเจตนาของฮ่องเต้ ตอนนั้นท่านโหวชนะศึก จึงอยากช่วยข้าจัดงานเลี้ยง มันฟุ่มเฟือยเกินไป เชิญแค่สกุลญาติมาก็พอแล้ว”
ตอนที่สืออีเหนียงเห็นรายชื่อแขกงานเลี้ยงเมื่อสองปีก่อนนางก็ตกใจ คิดว่ามันฟุ่มเฟือยเกินไปเหมือนกัน
นางยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” กำลังจะออกไปจัดการรายชื่อแขกใหม่ ฮูหยินห้าก็กลับมาพอดี
ฮูหยินห้าผอมลงไม่น้อย แต่กลับดูมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อน
ไท่ฮูหยินหัวเราะ “ข้าคิดว่าน่าจะกลับมาได้แล้ว” จากนั้นก็ให้คนอุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์มาให้นางดู
ซินเจี่ยเอ๋อร์สูงขึ้นและอ้วนขึ้น ดวงตาสีดำสดใส ใบหน้าที่แดงก่ำเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ไท่ฮูหยินอุ้มนางไม่ยอมปล่อย จากนั้นก็ถามฮูหยินห้า “เป็นเช่นไร ดีขึ้นหรือไม่”
ฮูหยินห้าหน้าแดง “ขอบพระคุณท่านแม่ที่ให้ข้ากลับไปพักผ่อนเจ้าค่ะ”จากนั้นก็ไปกอดแขนอ้อนไท่ฮูหยิน “มีท่านอยู่ ข้ายังจะกลัวอะไรอีกเจ้าคะ”
“เจ้าคิดได้เช่นนี้ก็ดี” ไท่ฮูหยินหัวเราะ นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก
บางครั้ง คนก็กลัวที่จะไม่ฉลาด
การที่ให้ฮูหยินห้ากลับไป ก็เพราะอยากให้นายท่านใหญ่เกลี้ยกล่อมนาง ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะได้ผลจริงๆ
ยามเย็น ทุกคนอยู่ด้วยกัน ถึงแม้ว่าอีกสองวันจะถึงวันเกิดไท่ฮูหยิน แต่ที่จวนกลับเริ่มมีบรรยากาศครึกครื้นแล้ว