ภายในพระตำหนักขององค์รัชทายาทมีเสียงดังอื้ออึง บ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านนอกพระตำหนักตกใจ ได้ยินเสียงดังขึ้นจากภายใน “องค์รัชทายาท กระหม่อมสมควรตาย” ก่อนจะตามมาด้วยเสียงตบปากดังลั่น
ขันทีฝูชิงพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “เหตุใดจึงไม่ระวัง ถ้วยชาชุดนี้ฝ่าบาทพระราชทานให้องค์รัชทายาท”
“เอาเถิด” เสียงทุ้มต่ำขององค์รัชทายาทดังขึ้นตามมา “อย่าได้ส่งเสียงดัง ลงไปเถิด”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ขันทีผู้หนึ่งถอยออกมา ภายในมือถือถ้วยชาที่แตกละเอียด บนใบหน้ายังมีรอยฝ่ามือแดง เขาก้มหน้าจากไปอย่างรวดเร็ว
บ่าวรับใช้คนอื่นต่างมองหน้ากัน รีบยืนถอยห่างออกไป เพื่อหลีกเลี่ยงการได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยินจากภายใน
ฝูชิงรินชามาอีกครั้ง พูดเสียงเบา “องค์รัชทายาท ทรงระงับอารมณ์พ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าขององค์รัชทายาทไม่ดีนัก มองชาที่ยื่นมาตรงหน้า อยากจะหยิบมาเขวี้ยงทิ้งอีกครั้ง
“เวลานี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว” สุดท้ายเขาสงบอารมณ์ขุ่นเคืองลง “ฉู่ซิวหยงสามารถออกความคิดเห็นเรื่องแผ่นดินต่อหน้าเสด็จพ่อได้แล้ว”
ฝูชิงก้มหน้าเกลี้ยกล่อม “เพราะว่าฝ่าบาททรงโปรดปรานเขา”
องค์รัชทายาทพูดเสียงเรียบ “คราก่อนอาจเพราะฝ่าบาทโปรดปราน แต่ครานี้ไม่ใช่”
คราก่อนเป็นเพียงการอยู่หรือไปของหญิงสาวผู้หนึ่ง คนที่เกี่ยวข้องมีเพียงสองสามคน องค์ชายสามใช้ชีวิตบีบบังคับ ฮ่องเต้ยอมบุตรก็แล้วไป
แต่เรื่องในครานี้เป็นเรื่องใหญ่ของแผ่นดิน เหล่าท่านอ๋องเป็นผู้ที่ฝ่าบาทเคียดแค้นที่สุด ถึงแม้อภัยโทษให้เพราะมีเชื้อสายราชวงศ์ แต่องค์รัชทายาทรู้ดีอย่างยิ่ง ฮ่องเต้ยินดีให้เหล่าท่านอ๋องตายให้หมด มีเพียงความตายถึงสามารถระบายความแค้นภายในใจนับหลายสิบปี
ครานี้มีโอกาสแล้ว
ไม่มีผู้ใดหยุดยั้งฮ่องเต้ได้ แต่เหตุใดองค์ชายสาม…
“เขาทำได้อย่างไร เขาทำได้อย่างไร” องค์รัชทายาทกัดฟันพูดกับฝูชิง “หรือเพียงเพราะความโปรดปราน ทำให้เขาเกลี้ยกล่อมเสด็จพ่อสำเร็จ”
ฝูชิงถอนหายใจเสียงเบา เขาย่อมรู้ดี ครานี้สิ่งที่โน้มน้าวฮ่องเต้ได้ไม่ใช่เพราะความโปรดปราน
“หลังจากเหตุการณ์ต่างๆ นานา อันดับแรกมีการแข่งขันระหว่างบัณฑิตตระกูลขุนนางกับตระกูลสามัญชน จากนั้นรับผิดชอบเรื่องการคัดเลือกขุนนางตามกลยุทธ์” เขาพูดเสียงเบา “นอกจากความโปรดปรานแล้ว ฝ่าบาทยังเกิดความประทับใจอื่นในตัวองค์ชายสาม อีกทั้งยังมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เขาเอ่ยออกมาไม่ได้เป็นเพียงคำอ้อนวอนอันน่าสงสารและสิ้นหวังอีกต่อไป หากแต่เป็นข้อเสนอแนะที่สามารถนำมาพิจารณาและปฏิบัติได้พ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะ สีหน้าเรียบเฉย เพราะว่าให้ความสำคัญ สิ่งที่องค์ชายสามพูดจึงได้รับการพิจารณาจากฮ่องเต้ อีกทั้งเพราะความสงสาร ฮ่องเต้จึงเต็มใจให้โอกาสองค์ชายสาม
“ผลของการหารือออกมาแล้วหรือไม่” องค์รัชทายาทตรัสถาม
ฝูชิงก้มหน้าพูด “ฝ่าบาททรงให้องค์ชายสามนำกองทหารเสด็จไปยังเมืองฉี ถามโทษต่อท่านอ๋องฉีพ่ะย่ะค่ะ”
การนำทัพในครานี้แตกต่างจากการออกรบที่หารือก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ทหารเหล่านี้มีหน้าที่สำคัญคืออารักขาองค์ชายสาม
“ชาตินี้นอกจากย้ายเมืองหลวงแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่น้องสามเดินทางไกลเช่นนี้” องค์รัชทายาทยิ้มอย่างมีนัยยะ “อีกทั้งไม่เพียงเสด็จไปในฐานะองค์ชาย หากแต่ยังเป็นทูตของโอรสแห่งสวรรค์ มันแตกต่างจากที่เคยเป็นแล้วเสียจริง”
ฝูงชิงกล่าว “องค์รัชทายาท ให้คนเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทอีกครั้งเถิด?”
สุดท้ายคำพูดนี้กระตุ้นให้องค์รัชทายาทควบคุมอารมณ์โกรธไม่ได้อีกต่อไป เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมาโยนลงบนพื้น ตามมาด้วยเสียงแตกละเอียดของถ้วยชา เขาเค้นเสียงออกมา “ผู้ใดยับยั้งได้ ข้าจะยับยั้งได้อย่างไร น้องชายคนดีของข้าจะไปทวงความยุติธรรมกับท่านอ๋องฉีแทนข้า ความคิดเสด็จพ่อคนดีของข้าไม่อาจคาดเดาได้ ไม่อาจขัดขืนได้”
ฝูชิงมองไปยังถ้วยชาที่แตกกระจายบนพื้น คุกเข่าลงพูดเสียงดัง “กระหม่อมสมควรตาย!” ก่อนจะยกมือขึ้นตบหน้าตัวเอง
องค์รัชทายาทพูดอย่างเย็นชา “ไม่จำเป็นต้องปกปิด ข้าเชื่อว่าคนข้างนอกจะไม่พูดเหลวไหล”
คนข้างตัวเขาที่กล้าพูดเหลวไหลล้วนตายหมดแล้ว
ฝูชิงตอบรับ เงยหน้ามององค์รัชทายาท “องค์รัชทายาท ถึงแม้เวลานี้ไม่เหมือนแต่ก่อน แต่เวลายังมีอีกมากพ่ะย่ะค่ะ”
ความอาฆาตในสายตาขององค์รัชทายาทที่โยนถ้วยน้ำชาแตกร้าวได้สลายไป เขามองออกไปนอกหน้าต่าง “ใช่ อนาคตยังอีกยาวไกล เอาเถิด เจ้าถอยออกไปได้แล้ว ข้ายังมีสิ่งที่ต้องทำ เมื่อทำเสร็จ ข้าย่อมสามารถส่งน้องชายที่แสนดีของข้าได้”
ฝูชิงตอบรับ เขาเก็บถ้วยชาบนพื้นขึ้นมาแล้วถอยออกไป นอกพระตำหนัก เขาเห็นว่าบ่าวรับใช้ที่เคยยืนอยู่ตรงนั้นล้วนยืนห่างออกไป เมื่อเห็นเขาออกมาจึงรีบก้มหน้าลง
ผู้ที่สามารถอยู่ในพระราชวังได้ อีกทั้งยังสามารถมาทำงานในพระตำหนักขององค์รัชทายาทได้ ผู้ใดไม่ใช่คนฉลาด
ฝูชิงลูบใบหน้าของเขาเบาๆ อันที่จริงการตบนี้ก็ไม่มีความหมายอันใด
เมื่อเทียบกับความเงียบสงบของพระตำหนักขององค์รัชทายาท ภายในวังหลัง โดยเฉพาะพระตำหนักขององค์ชายสามนั้นคึกคักอย่างมาก ผู้คนไปมา มีเหนียงเหนียงท่านนี้ส่งยามาให้ มีเหนียงเหนียงท่านนั้นส่งเครื่องรางมาให้ องค์ชายสี่แอบลักลอบเข้ามา ก่อนจะเห็นองค์ชายสองยืนอยู่ภายในพระตำหนัก อีกฝ่ายกำลังกำชับขันทีที่กำลังเก็บสัมภาระ “สิ่งนี้ต้องนำไปด้วย สิ่งนี้ไม่จำเป็นต้องนำไป”
“พี่สอง” องค์ชายสี่รู้สึกโล่งใจทันที
องค์ชายสองชำเลืองมองเขา แสดงท่าทางของความเป็นพี่ชายออกมา “เจ้ามาด้วยหรือ”
องค์ชายสี่รีบหยิบกล่องใบเล็กออกมา “สิ่งนี้เป็นสมบัติที่ข้ายึด…ไม่ใช่ ซื้อมาจากพ่อค้าผู้มั่งคั่งในเมือง บอกว่าหากสวมใส่แล้วสามารถป้องกันมีดดาบได้ ข้านำมาให้พี่สามลอง”
องค์ชายสองยิ้ม “เจ้าถือไว้ก่อนเถิด น้องสามกำลังพูดคุยกับเสด็จพ่อ”
เสด็จพ่ออยู่ที่นี่อีกแล้วหรือ องค์ชายสี่มองเข้าไปด้านในด้วยความอิจฉา ไม่เพียงแต่เสด็จพ่อมักมาหาองค์ชายสาม ได้ยินเสด็จแม่บอกว่า หลายวันนี้เสด็จพ่อมักอยู่ในพระตำหนักของพระสนมสวี เสด็จแม่ของเขานำเครื่องประดับที่สะสมเอาไว้นำมามอบให้พระสนมสวีเพื่อเป็นข้ออ้าง ทำให้นางสามารถนั่งในพระตำหนักของพระสนมสวี อีกทั้งได้พูดคุยกับฮ่องเต้
ความคึกคักไม่ได้ดำเนินอยู่เป็นเวลานาน ฮ่องเต้เป็นผู้ที่เด็ดเดี่ยว ในเมื่อองค์ชายสามอาสาด้วยตนเอง หลังจากนั้นสามวันจึงรับพระราชโองการออกเสด็จ
เฉินตันจูนั่งอยู่บนเก้าอี้ คนซุปหวานในถ้วยช้าๆ เงยหน้ามองโจวเสวียนที่นอนเอียงอยู่บนเตียง
นางถาม “องค์ชายสามจะเสด็จแล้ว เหตุใดท่านจึงไม่ไปขอฝ่าบาท หากช้ากว่านี้ท่านคงไม่ได้นำทัพแล้ว”
โจวเสวียนมือหนึ่งประคองหัว มือหนึ่งเกาหู หัวเราะเย้ยหยันออกมา “ไม่ได้ไปฆ่าคน กองทัพเช่นนี้ ข้าไม่ไปนำ”
ไม่ฆ่าคนก็ไม่แปลก เมื่ออดีตชาติ องค์ชายสามยับยั้งไม่ให้ฮ่องเต้ส่งกองกำลังไปกำราบท่านอ๋องฉีได้ แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ ครานี้องค์ชายสามเสด็จไปเมืองฉีด้วยตนเอง คำขอและข้อเสนอขององค์ชายสามที่มีต่อท่านอ๋องฉีแพร่กระจายออกไปแล้ว เฉินตันจูย่อมรู้
หากพูดเช่นนี้ ถึงแม้ท่านอ๋องฉีไม่ตาย เขาย่อมไม่อาจเป็นท่านอ๋องฉีอีก เมืองฉีจะกลายเป็นพื้นที่แรกสำหรับการคัดเลือกขุนนางตามกลยุทธ์…เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเมื่ออดีตชาติ
“นี่!” โจวเสวียนตะโกน
เฉินตันจูหันกลับมามองเขา “อันใดอีก”
โจวเสวียนชี้ไปที่ซุปหวานในมือของนาง “กินได้แล้วหรือไม่ คนนานแค่ไหนแล้ว”
เฉินตันจูเบ้ปาก “ท่านไม่ได้บอกว่าไม่กินหรือ”
โจวเสวียนพูด “เวลานี้ข้าอยากกินแล้ว”
เฉินตันจูลุกขึ้น เดินไปส่งชามซุปหวานให้เขา แต่โจวเสวียนไม่รับ เขานำมือหนุนหัวนอน “อย่างไร เรื่องนี้จบสิ้นแล้ว ไม่ต้องให้ข้าสืบข่าวจึงไม่สนใจข้าแล้ว?”
เฉินตันจูหัวเราะ หยิบช้อนขึ้นมา ตักส่งเข้าปากเขาอย่างแรง โจวเสวียนเปิดปากคาบเอาไว้อย่างไม่หลีกเลี่ยง
“หากกัดพัง ท่านจะไม่ได้กิน” เฉินตันจูกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในขณะที่กำลังหยอกล้อกันชิงเฟิงโผล่หัวมาจากข้างนอก “คุณชาย องค์ชายสามมาหาท่าน”
ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ถูกจู๋หลินเตะออกไป “คุณหนูตันจู องค์ชายสามเสด็จผ่านเชิงเขา เขาต้องการบอกลาท่าน”
ออกเดินทางวันนี้หรือ เฉินตันจูเกือบยัดชามซุปหวานใส่ปากของโจวเสวียน โชคดีที่โจวเสวียนใช้มือรับทัน ก่อนจะเห็นเฉินตันจูเดินออกไปด้านนอกอย่างรีบร้อน “ควรที่จะเป็นข้าไปส่งถึงจะถูก”
โจวเสวียนถือชามเรียกนางเอาไว้ ไม่ได้ตำหนินาง หากแต่ถาม “ท่านเตรียมของขวัญอำลาให้องค์ชายสามแล้วหรือ”
เฉินตันจูโกรธ “ข้ามีเวลาเตรียมของขวัญที่ใดกัน เป็นเพราะท่านทำให้ข้าเสียเวลา” พูดพลางเดินจากไปเสียงดัง
โจวเสวียนยิ้มอย่างพึงพอใจอยู่ด้านหลัง
เมื่อเฉินตันจูเดินออกจากอาราม นางก็เห็นองค์ชายสามยืนอยู่บนทางภูเขา เขาสวมมงกุฎหยกสีขาว สวมชุดสีฟ้าอ่อน หันหลังให้แก่อารามมองทิวทัศน์บนภูเขา
“องค์ชายสาม” เฉินตันจูเรียกขาน
องค์ชายสามหันหน้ากลับมา เห็นหญิงสาวที่เดินเข้าใกล้ เขายิ้มเล็กน้อย โดดเด่นท่ามกลางความเขียวขจีในฤดูใบไม้ผลิ