รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 302 ตราพระจันทร์สีน้ำเงิน นั่นคือฉินของเสี่ยวหยา!

บทที่ 302 ตราพระจันทร์สีน้ำเงิน นั่นคือฉินของเสี่ยวหยา!

บทที่ 302 ตราพระจันทร์สีน้ำเงิน นั่นคือฉินของเสี่ยวหยา!

นักรบพระโพธิสัตว์มีหน้าที่ปกป้องพระพุทธะ ยามปกติจะไม่ปรากฏกายออกมา ทว่าวันนี้กลับมาถึงแปดท่าน ทำให้ต้าเต๋อรู้สึกได้ว่างเรื่องนี้ไม่ธรรมดาถึงปานนั้น

“อมิตาภพุทธ อู้เต๋อรีบออกมาเถิด มีเรื่องสำคัญพวกเราจึงมาพบ”

พระอาจารย์เกาเซิงที่อยู่ด้านนอกห้องของเณรน้อยกล่าวออกมา

‘อู้เต๋อ’ เป็นชื่อทางธรรมของเณรน้อย ทว่าเขารู้สึกว่ามันไม่ไพเราะ จึงไม่เคยเรียกตนออกมาเช่นนั้น ซ้ำยังบอกกับผู้อื่นว่านามทางธรรมของตนเองคือ ต้าเต๋อ

อะไรคืออู้เต๋อ? เขายังไม่มีธรรมหรืออย่างไร? ยังจำเป็นต้องมาประจักษ์*[1]อีก?

เขาไม่อยากถูกเรียกด้วยชื่อทางธรรมเช่นนั้นเลยจริง ๆ!

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

เณรน้อยเปิดประตูออกมา ก็พบเข้ากับพระอาจารย์เกาเซิงและนักรบพระโพธิสัตว์แปดท่าน

แปดนักรบพระโพธิสัตว์มีร่างกายแข็งแรงกำยำ แต่ละคนมีพลังสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง จากพลังที่แผ่ออกมาแล้วล้วนอยู่ระดับขอบเขตเทวาขึ้นไป

“พระสังฆราชมีคำกล่าว ให้ท่านพุทธบุตรกลับไป”

นักรบพระโพธิสัตว์ผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมากับเณรน้อย

“กลับก็กลับสิ ต้องขนเหล่านักรบพระโพธิสัตว์มาขนาดนี้ กลัวว่าข้าจะวิ่งหนีไม่ยอมกลับไปหรืออย่างไร”

เณรน้อยกล่าวออกมาอย่างติดตลก ไม่คิดว่าต้องเองกำลังจะมีปัญหา

เมื่อตัวตนในฐานะพุทธบุตรผู้กลับชาติมาเกิดถูกเปิดเผยออกมา เขาก็มีสถานะสูงส่งเป็นอย่างมากในพุทธศาสนา แม้กระทั่งพระสังฆราชยังเคารพเขา

สาวกพุทธคนอื่นจำเป็นต้องปฏิบัติตามพุทธบัญญัติ แต่ตัวเขานั้นไม่ต้องทำตามเลยสักนิด จะกินเนื้อดื่มสุรา หรือแหกกฎก็ล้วนทำได้

“มีเรื่องเร่งด่วน ท่านพุทธบุตรโปรดไปกับพวกเรา”

สีหน้าของนักรบพระโพธิสัตว์ไร้ซึ่งอารมณ์ใด ไม่มีแม้แต่การขยับไหวแม้แต่น้อย

“ขอถามได้หรือไม่ ว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้น?”

ถัดไปด้านข้าง พระอาจารย์เกาเซิงขมวดคิ้วถามนักรบพระโพธิสัตว์

นักรบพระโพธิสัตว์มาอย่างกะทันหันเกินไป เขายังไม่ทันได้รับข่าวสารอะไรแม้แต่น้อย อีกฝ่ายก็มาถึงเสียแล้ว นี่นับเป็นเรื่องผิดปกติและแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

“พระสังฆราชไม่ได้กล่าวอะไรกับพวกเรามาก เพียงบอกให้พวกเราพาตัวท่านพุทธบุตรกลับไป”

นักรบพระโพธิสัตว์ผู้หนึ่งตอบออกมา

นี่คือเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับพุทธบุตรงั้นหรือ?

พระสังฆราชอาจสัมผัสได้ถึงเรื่องบางอย่าง?

พระอาจารย์เกาเซิงคิดขึ้นมาในใจ

“อู้เต๋อ ในเมื่อพระสังฆราชมีคำสั่งออกมาแล้ว เจ้าก็กลับไปโดยเร็วเถิด”

เขากล่าวกับเณรน้อย ทว่าภายในใจของเขารู้สึกโล่งขึ้นมาทันที

ในที่สุดก็ไม่จำเป็นต้องอยู่กับเณรน้อยผู้นี้แล้ว!

เขาไม่ต้องกังวลเรื่องพระธรรมในใจที่จะพังทลายอีกต่อไป!

เณรน้อยไม่อยากกลับไปสักนิด เขาเพิ่งได้พานพบกับท่านเซียน ยังไม่ทันได้สานสัมพันธ์ก็ต้องจากไป เขาจะเต็มใจกลับเขาหลิงซานได้อย่างไร?

ทว่าตัวของเขาอาศัยอยู่ในเขาหลิงซานตั้งแต่เล็กภายใต้การดูแลของพระสังฆราช ดังนั้นแล้วเขาจึงเคารพพระสังฆราชเป็นอย่างมาก

อีกทั้งพระสังฆราชถึงขึ้นสั่งให้นักรบพระโพธิสัตว์มารับเขากลับไป เกรงว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นจริง ๆ

“ไปกันเถอะ”

เขาเอ่ยปากออกมา ก่อนจะจากที่นี่ไปพร้อมกับแปดนักรบพระโพธิสัตว์ มุ่งหน้ากลับไปยังเขาหลิงซานของแดนฝอ

วันงานชุมนุมครั้งใหญ่ได้มาถึงแล้ว เหล่าผู้ที่ได้รับเชิญล้วนต่างมาถึงเขาหยงหมิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว งานชุมนุมจึงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

มีผู้มาชุมนุมจำนวนมากเกินไป ไม่อาจล้อมวงชุมนุมได้ จึงต้องแบ่งเขาหยงหมิงออกเป็นสิบกว่าชั้น

เผ่าซางจัดเตรียมทุกอย่างไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ งานชุมนุมใหญ่จึงถูกจัดออกมาอย่างดี บนโต๊ะที่นั่งแต่ละชั้นล้วนมีผลไม้ สุรา และอาหารชั้นเลิศหลากหลายประเภทถูกจัดวางเอาไว้

ณ ลานตรงยอดเขาหลิงซาน พวกของหลี่จิ่วเต้านั่งอยู่ด้านบน รองลงมาเป็นกลุ่มกำลังเก่าแก่และทรงพลังเช่นลัทธิเจี๋ยเทียนและเผ่าหาน

เครื่องดนตรีต่าง ๆ บรรเลงขึ้น แต่ละชั้นล้วนมีผู้ฝึกตนหญิงงดงามโบยบินร่ายรำ คลอไปกับเสียงเพลงอันไพเราะ สวยงามดึงดูสายตาเป็นอย่างยิ่ง

บนยอดเขา มีผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งนั่งเล่นฉินอยู่ตรงกลาง นางมีผิวขาวนวล ใบหน้างดงามล่มบ้านล่มเมือง

เส้นผมสีดำขลับของนางสยายลงมาราวกับม่านน้ำตก ดวงตากลมโตทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความพิสุทธิ์ เรือนร่างอรชรในอาภรณ์สีเขียว ทำให้นางประหนึ่งดอกปทุมสีเขียวซึ่งมิแปดเปื้อนซึ่งมลทิน

เสียงฉินอันไพเราะบรรเลงออกมาจากสองมือของนาง รอบกายนางรายล้อมด้วยกลุ่มผู้ฝึกตนหญิงงามที่กำลังร่ายรำ เสมือนนางเป็นดวงดาวที่สว่างไสวที่สุดบนท้องฟ้ายามตรี เปล่งประกายพร่างพราวชวนสะดุดตา!

“ไพเราะยิ่ง!”

“สมกับชื่อนางฟ้าแห่งฉิน”

ผู้ฝึกตนจำนวนมากบนยอดเขาต่างพากันตบเข่าฉาดร้องชื่นชม ดื่มด่ำไปกับเสียงฉินอันไพเราะของหญิงสาวในชุดสีเขียว

สตรีในชุดสีเขียวไม่ใช่หญิงสาวสามัญธรรมดา แต่มาจากหุบเขาคงหลิง

นี่ก็นับเป็นอีกหนึ่งนิกายโบราณเหมือนลัทธิเจี๋ยเทียนและเผ่าหาน หุบเขาคงหลิงมาจากแดนฮวง สืบทอดผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานจนไม่อาจสืบย้อนกลับไปได้

เต๋าสามพันวิถีต่างล้วนนำไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน เต๋าแห่งดนตรีเองก็ไม่ต่างกัน หุบเขาคงหลิงจึงเลือกฝึกฝนเต๋าแห่งดนตรี

สตรีในชุดเขียวมีนามว่าเจียงอวี่สือ เป็นหญิงสาวผู้มากพรสวรรค์อันดับต้น ๆ ของแดนฮวง เสียงฉินของนางไม่เพียงไพเราะ ทว่ายังมีพลังอันน่าตื่นตะลึงอยู่ภายในด้วย!

ผู้ฝึกตนที่ชื่นชมในตัวนางเรียกขานเจียงอวี่สือว่า ‘นางฟ้าแห่งฉิน’ ทว่าในทางกลับกัน ศัตรูของนางต่างพากันเรียกขานเจียงอวี่สือเป็น ‘มารฉินพิฆาต’

เมื่อใดที่นางบรรเลงเสียงฉิน ศัตรูทั้งหมดล้วนต้องศิโรราบ!

ผู้ฝึกตนหญิงที่เล่นดนตรีและร่ายรำในแต่ละชั้นล้วนมาจากหุบเขาคงหลิง

นี่คือสิ่งที่เผ่าซางได้เอ่ยเจรจากับหุบเขาคงหลิงไว้ตั้งแต่แรก สำหรับการบรรเลงเพลงร่ายรำในการเปิดงาน

‘ฉินนั้นเล่นได้ไม่เลว ทว่า…ช่างไร้ซึ่งหัวใจ’

ที่นั่งด้านบน หลี่จิ่วเต้าส่ายหัวเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้นมาภายในใจ

เจียงอวี่สือนั้นไม่เลว สามารถเล่นฉินได้ยอดเยี่ยมยิ่ง ท่วงนำนองเองก็ไพเราะชวนฟัง

ทว่า ในยามนี้เจียงอวี่สือกลับบรรเลงเพื่อแสดงความสามารถ ไม่ได้ใส่หัวใจลงไปในท่วงทำนอง

ไม่ว่าเรื่องใดบนโลกนี้ ต้องใช้ใจทำเท่านั้นจึงจะออกมาดีที่สุด หากไร้ซึ่งใจ ไม่ว่าจะดีเพียงใดก็เป็นได้เพียงแค่ความฉาบฉวย ท่วงทำนองฉินไพเราะเพียงใดก็จืดซืดไร้รสชาติ

หลิงอินที่นั่งด้านข้างเขาก็ไม่ได้คิดอะไรในตอนแรก

ทว่า ยามที่นางเห็นฉินที่เจียงอวี่สือกำลังเล่นอยู่ก็ถึงกับตกตะลึง

‘เสี่ยวหยา!’

หัวใจของนางกระหน่ำเต้นแรง ไม่อาจสงบจิตได้

ตราพระจันทร์สีน้ำเงินบนฉิน กระตุ้นให้ความทรงจำของนางหวนคืนมา

ตราพระจันทร์สีน้ำเงินเต็มดวงกลับมีรอยเว้าแหว่ง เหมือนโดนคนกัดเข้าไปหนึ่งคำ

ด้วยตราสัญลักษณ์พิเศษที่ปรากฏขึ้นบนฉิน ทำให้นางสามารถมั่นใจได้ในทันทีว่านี่คือ ฉินของเสี่ยวหยา!

ชื่อเต็มของเสี่ยวหยาคือฟ่านหยาเหยียน นางเป็นเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่หลิงอินรู้จักในสมัยโบราณ

ยามนั้น นางเข้าก้าวเข้าสู่ช่วงบั้นปลายของชีวิตแล้ว ทำให้กลายเป็นที่จับจ้องของผู้แข็งแกร่งจากทั่วหล้า

เมื่อจ้าวสูงสุดผู้หนึ่งกำลังจะร่วงหล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นนางที่ไร้ซึ่งกองกำลังแข็งแกร่งหนุนหลัง ผู้แข็งแกร่งจากทุกหนแห่งจะต้องจับจ้องมาทางนางอย่างแน่นอน

นางฝึกฝนมาทั้งชีวิตด้วยตัวของนางเอง ไม่ได้เข้าร่วมสังกัดใด ๆ

ครั้งโบราณกาลนางเคยเป็นถึงบุตรีแห่งสวรรค์

ช่างน่าเสียดาย ที่หนทางแห่งการฝึกตนนั้นแสนโหดร้าย จ้าวสูงสุดเป็นขั้นสุดท้ายที่นางไปถึง และนางไม่อาจบรรลุไปยังขอบเขตขั้นต่อไปได้

เวลาของนางใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว เหล่าผู้แข็งแกร่งต่างจับจองมาทางนาง ต้องการจะสังหารหมายฉกของหลอมพลังของนาง และยึดครองสมบัติ

แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ไม่ใช่จ้าวสูงสุดธรรมดาทั่วไป หลังจากแทบจะต้องทุ่มหน้าตักแลก สุดท้ายแล้วนางก็สามารถสังหารอีกฝ่ายลงได้

ในตอนนั้นเอง ที่นางได้พบเข้ากับเสี่ยวหยา

นางที่สิ้นสติจากอาการบาดเจ็บสาหัสตกลงไปในแม่น้ำ ลอยละล่องตามสายธารไปเกยฝั่งยังหมู่บ้านเล็ก ๆ

เป็นเสี่ยวหยาที่พานางกลับบ้าน

จนกระทั่งตอนนี้นางยังไม่อาจลืมเสี่ยวหยา ไม่อาจลืมเด็กสาวผู้อ่อนโยนและใจดีที่ดูแลนางอย่างเอาใจใส่ในช่วงที่บาดเจ็บสาหัสได้

[1] ธรรมหรือธรรมะ มาจากภาษาจีน ‘เต๋อ (德)’ กับ ประจักษ์ธรรม มาจากคำว่า ‘อู้ (悟)’ เมื่อรวมกันจะกลายเป็น ‘การประจักษ์ธรรม’ ซึ่งเป็นการเล่นล้อเลียนศาสนา

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท