เฉินตันจูรู้ว่าไม่อาจปิดบังได้
อยู่ด้วยกันเป็นเวลานานเพียงนี้ ชอบหรือไม่ชอบ เหตุใดโจวเสวียนจะมองไม่ออก
ในเมื่อไม่ได้ชอบเขา แต่กลับบีบบังคับให้เขาสาบานไม่แต่งงานกับผู้อื่น ย่อมต้องมีปัญหา
โจวเสวียนยื่นมือออกมาจับแผ่นหลังของนางเอาไว้ ยับยั้งการถอยหลังของนางอีก เขาจ้องมองดวงตาของนาง
“เฉินตันจู” เขาพูด “ตอบข้า”
เฉินตันจูหลุบตาต่ำ “ข้ารู้เพียงท่านกับองค์หญิงจินเหยาไม่เหมาะสมกัน”
โจวเสวียนไม่ได้หัวเราะเย้ยหยันเหมือนก่อนหน้านี้ สีหน้าของเขาราบเรียบแต่จริงจัง “ข้าโจวเสวียนกำเนิดในตระกูลชั้นสูง บิดามีชื่อเสียงเกรียงไกร ตัวข้าเองมีผลงานตั้งแต่อายุยังน้อย องค์หญิงจินเหยาสง่างาม เป็นองค์หญิงที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานที่สุด ข้าเติบโตมาพร้อมกับองค์หญิง หากพวกเราทั้งสองแต่งงานกัน ผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินต่างชื่นชมว่าเป็นวาสนาอันดี เหตุใดมีเพียงท่านที่คิดว่าไม่เหมาะสม”
เฉินตันจูพึมพำ “หรือไม่ อาจเป็นเพราะข้าชอบท่าน ดังนั้นจึงต้องการแย่งชิงกระมัง”
คำพูดนี้เป็นสิ่งที่โจวเสวียนบังคับให้นางพูดออกมาเสมอ แต่เวลานี้เมื่อเฉินตันจูพูดออกมา บนใบหน้าของโจวเสวียนไม่มีรอยยิ้ม ภายในดวงตามีแต่ความเจ็บปวด “เฉินตันจู ท่านรู้สึกว่าการพูดความจริงออกมา น่ากลัวกว่าให้ท่านชอบข้าอีกหรือ”
น่ากลัวกว่า เฉินตันจูหลุบตาต่ำ นางรู้เรื่องความลับของโจวเสวียน หากนางพูดออกมา โจวเสวียนย่อมต้องฆ่านางปิดปาก สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือฮ่องเต้ย่อมต้องฆ่านางปิดปากเช่นเดียวกัน
“ข้าไม่ได้กลัวตาย” นางพูดเสียงเบา “แต่เวลานี้ข้ายังตายไม่ได้”
มือที่จับไว้บนแผ่นหลังของนางสั่นเทา โจวเสวียนดึงนางให้เข้าใกล้มากขึ้น เสียงของเขาดังอยู่ข้างหู “ท่านรู้ได้อย่างไร ท่านรู้ใช่หรือไม่”
น้ำเสียงของเขากำลังสั่นเทา อีกทั้งยังมีกลิ่นของคาวเลือด ราวกับกัดปลายลิ้นจนเป็นแผล แต่กลับไม่มีความอาฆาตเหมือนที่เฉินตันจูเป็นกังวล
เขาเพียงแค่เจ็บปวดอย่างมาก
เฉินตันจูเงยหน้ามองเขา แทบจะประชิดกับดวงตาดำขลับที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความโกรธของชายหนุ่มตรงหน้า หากแต่ไม่มีความอาฆาต
เฉินตันจูจับข้อมือของเขา “พวกเรานั่งลงก่อนเถิด” น้ำเสียงของนางแผ่วเบา ราวกับกำลังเกลี้ยกล่อม
โจวเสวียนชักมือที่อยู่บนแผ่นหลังของนางกลับมา ดึงมือออกจากเฉินตันจู “แผลบนตัวข้ายังไม่หายดี นั่งอย่างไร เฉินตันจู ท่านไม่หวังดีต่อข้า”
เฉินตันจูยิ้ม “ข้าลืม” นางชี้เข้าไปในห้อง “ห้องของข้ามีเตียงหลัวฮั่น[1] ท่านนอนได้” พูดพลางก้าวเท้าออกไปก่อน
โจวเสวียนเดินตามอยู่ด้านหลังอย่างเชื่องช้า
เมื่อเห็นคนทั้งสองเดินเข้าห้องตามกัน ชิงเฟิงและจู๋หลินที่อยู่บนหลังคาและบนต้นไม้ผ่อนคลายความตึงเครียดลง
ถึงแม้ทั้งสองคนใกล้ชิดกันอย่างมาก ไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด ท่าทางของพวกเขาก็ไม่ได้มีการปะทะแต่อย่างใด แต่ชิงเฟิงและจู๋หลินยังคงสัมผัสได้ถึงความอันตรายในชั่วขณะหนึ่ง ทำให้ร่างกายของคนทั้งสองตึงเครียดขึ้นมา
“คนหนุ่มสาวล้วนเป็นเช่นนี้” ชิงเฟิงเคลื่อนไหวร่างกาย ยิ้มให้แก่จู๋หลินบนต้นไม้ “ขนพองราวกับแมว แต่ผ่านไปชั่วพริบตาก็ดีขึ้น เจ้าดู สันติเพียงใด”
จู๋หลินมองเข้าไปในห้อง หน้าต่างประตูเปิดกว้าง สามารถมองเห็นโจวเสวียนนอนคว่ำอยู่บนเตียงหลัวฮั่น เฉินตันจูถือถ้วยชานั่งอยู่ข้างตัวเขา ราวกับกำลังถามเขาว่าจะดื่มหรือไม่
ผู้ใดจะรู้ว่าคนหนุ่มสาวเหล่านี้คิดสิ่งใดอยู่!
โจวเสวียนไม่ได้ดื่มชา เขานอนคว่ำหนุนแขนจ้องมองนาง “ท่านรู้ว่าท่านพ่อข้า…”
เฉินตันจูบอกให้เขาเงียบ
โจวเสวียนไม่พูดสิ่งใดอีก แต่ท่าทางของเฉินตันจูถือเป็นคำตอบแล้ว แขนของโจวเสวียนเกร็งแน่น สองมือกำเข้าหากัน
“ข้าไม่รู้มากนัก” เฉินตันจูรีบพูด อันที่จริงนางไม่รู้จริงๆ นางพูดด้วยสีหน้าระอาและโศกเศร้าเล็กน้อย เพราะเมื่ออดีตชาติ นางรู้มาจากปากของเขา อีกทั้งยังเป็นคำพูดหลังจากความมึนเมา ความจริงเป็นอย่างไร นางไม่รู้จริงๆ
“ท่านพ่อข้าเคยบอกว่า ท่านอ๋องอู๋ไม่เคยคิดอยากจะลอบฆ่าท่านพ่อของท่าน” นางหาเหตุผลขึ้นมาอ้าง “ถึงแม้อีกสองคนที่เหลือมีใจคิดกระทำเช่นนี้ แต่ย่อมไม่อาจทำได้ เพราะว่าเวลานั้นเหล่าท่านอ๋องไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ถึงแม้เข้าไปในเมืองหลวงได้ แต่ก็ยากที่จะเข้าใกล้ตัว แต่ท่านพ่อของท่านยังคงตาย ข้าจึงคาดเดาว่าอาจมีสาเหตุอื่น”
คำอธิบายของนางไม่สมเหตุสมผลนัก ย่อมต้องมีสิ่งอื่นปิดบังอยู่ แต่โจวเสวียนไม่อยากบังคับนางแล้ว เวลานี้นางยอมเผยใจให้เขาครึ่งหนึ่ง เขาก็รู้สึกเพียงพอแล้ว
“ท่านพ่อของท่านมีทั้งพูดถูกและไม่ถูก” โจวเสวียนพูดเสียงเบา “ท่านอ๋องอู๋ไม่เคยคิดอยากจะลอบฆ่าท่านพ่อข้าจริง แต่เหล่าท่านอ๋องอื่นเคยคิด อีกทั้ง…”
เขาหัวเราะเสียงเบาเมื่อพูดถึงตรงนี้
“พวกเขาไม่ได้คิดอยากจะลอบฆ่าท่านพ่อข้า หากแต่พวกเขาคิดอยากจะลอบฆ่าฮ่องเต้”
เฉินตันจูตกตะลึงเล็กน้อย พลางถาม “ท่านรู้ได้อย่างไร”
“เพราะว่าข้าเห็นกับตา” โจวเสวียนพูดเสียงเบา สายตาของเขาเหม่อลอยไปไกล “ตอนที่ฮ่องเต้ถูกลอบฆ่า ข้าอยู่ในห้องด้านข้าง”
เฉินตันจูยกมือขึ้นปิดปาก มีเพียงกระทำเช่นนี้ถึงจะข่มเสียงร้องได้ เขาเห็นกับตาของตนเอง ดังนั้นเขารู้ความจริงตั้งแต่แรก
ภายในห้องสดชื่นและอบอุ่นในยามฤดูใบไม้ผลิ แต่เฉินตันจูกลับรู้สึกว่าตรงหน้าเป็นสีขาวโพลน หนาวเย็นยะเยือก ราวกับย้อนกลับไปในพื้นหิมะเมื่ออดีตชาติ นางกำลังจ้องมองคนเมาที่นอนอยู่บนพื้น
เมื่ออดีตชาติ เขาพูดออกมาแค่ประโยคเดียว ก่อนที่จะถูกนางใช้หิมะปิดปาก ชาตินี้นางนั่งฟังอยู่ข้างตัวเขา ฟังเขาเล่าความลับที่น่ากลัวเรื่องนี้
…
โจวเสวียนมองแขนของตนเอง เสื้อสีดำปักด้ายทอง ทั้งสุขุมและสง่างาม
วันนั้นหิมะตกหนักมาก ภายในกั๋วจื่อเจี้ยนเหล่าองค์ชายไม่มีกะจิตกะใจในการเรียนหนังสือ เต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวก เขาไม่อยากจะเล่นกับพวกองค์ชาย จึงบอกซินแสว่าจะไปหอเก็บตำรา ซินแสวางใจเขาเรื่องเรียนอย่างมาก จึงโบกมือปล่อยเขาไป
แต่ในขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหอเก็บตำราหนาวเย็นอย่างมาก ในฐานะบุตรชายคนเล็กของตระกูล ถึงแม้เขาจะตั้งใจศึกษาอย่างมาก แต่อย่างไรเขาก็เป็นคุณชายที่ถูกเลี้ยงดูอย่างดี ดังนั้นจึงนึกถึงห้องตำราบริเวณตำหนักนอกที่ฮ่องเต้พระราชทานให้บิดาโดยเฉพาะ ด้านหลังของชั้นวางตำราในห้องตำรามีห้องอุ่น ทั้งมิดชิดทั้งอบอุ่น หากต้องการอ่านตำรายังสามารถหยิบได้ทันที
เวลานี้ท่านพ่อคงกำลังหารือกับฮ่องเต้ เขาจึงเปลี่ยนมาทางนี้แทนด้วยความดีใจ เพื่อหลีกเลี่ยงขันทีที่หลบซ่อนอยู่ทางนี้ฟ้องท่านพ่อ เขาจึงปีนเข้าไปจากหน้าต่างบานเล็กด้านหลังห้องตำรา
เฮ้อ อันที่จริงเขาไม่ใช่คนที่ชอบศึกษามากนัก มักจะใช้วิธีนี้ในการหนีเรียน แต่เขาฉลาด เรียนรู้ได้ไว ไม่ว่าสิ่งใดเพียงแค่สอนครั้งเดียวเขาก็เรียนรู้แล้ว พี่ใหญ่จะลงโทษเขา ท่านพ่อยังคอยปกป้องเขา บอกว่ารอเขาอยากเรียนค่อยเรียน
เขาปีนเข้าห้องตำราของท่านพ่อ แต่ไม่ได้อ่านตำราแต่อย่างใด ในห้องอบอุ่นอย่างมาก เขาอ่านตำราไปสักพักก่อนจะนอนหลับไปบนโต๊ะเล็ก…
เขาตกใจตื่นเพราะเสียงหัวเราะของท่านพ่อ
เขาสามารถมองเห็นท่านพ่อและฮ่องเต้เดินเข้ามาผ่านรอยต่อของชั้นวางตำรา สีหน้าของฮ่องเต้ไม่ดีนัก ส่วนท่านพ่อกำลังยิ้มอยู่ อีกทั้งยังยื่นมือตบไหล่ของฮ่องเต้ “ไม่ต้องกังวล หากฝ่าบาทกังวลเพียงนี้จริง ย่อมมีวิธี”
คิ้วที่ขมวดของฮ่องเต้ไม่ได้ผ่อนคลายลง
ระยะนี้เรื่องในราชสำนักไม่ราบรื่นมาก เนื่องจากพระราชโองการลดพื้นที่ศักดินา คนที่คัดค้านมีจำนวนมากขึ้นในราชสำนัก เหล่าขุนนางมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย เหล่าท่านอ๋องไม่ได้เป็นภัยต่อพวกเขา หากแต่เหล่าท่านอ๋องยังมอบของขวัญให้พวกเขาอีกเป็นประจำ…เหล่าขุนนางบางส่วนจึงยืนอยู่ข้างเหล่าท่านอ๋อง ดังนั้นจึงอ้างพระราชโองการของจักรพรรดิเกาจู่มากีดกัน
ท่านพ่อเกลี้ยกล่อมให้ฮ่องเต้อย่ารีบร้อน แต่ฮ่องเต้ร้อนใจอย่างมาก ระหว่างคนทั้งสองจึงมีการโต้เถียงกัน
เรื่องเหล่านี้เขารับรู้ ดังนั้นจึงรู้ว่าไม่อาจให้ท่านพ่อและฮ่องเต้พบว่าเขาหนีเรียนในเวลานี้ มิฉะนั้นไฟโกรธของทั้งสองคนจะระบายมาที่เขา ไม่แน่ว่าอาจจะถูกลงโทษ
เขากลั้นหายใจเงียบเสียงไม่ขยับตัว เห็นฮ่องเต้นั่งลง มองท่านพ่อที่กำลังพลิกหาฎีกาเล่มหนึ่งอยู่ด้านข้าง มองขันทีคนหนึ่งเดินก้มหน้ายกน้ำชามาให้ฮ่องเต้ จากนั้น…
ร่างของท่านพ่อเคลื่อนไหว เสียงตะโกนดังขึ้น “ฝ่าบาทระวัง!” จากนั้นได้ยินเสียงของถ้วยชาแตกละเอียด
เขาเห็นท่านพ่อล้มลงบนตัวของฮ่องเต้ผ่านชั้นวางตำรา ขันทีผู้นั้นถือมีดไว้ในมือ มีดปักลงที่ด้านหน้าของท่านพ่อ แต่โชคดีที่ท่านพ่อใช้ฎีกาบังเอาไว้ก่อน จึงไม่ได้ทิ่มลงลึกมาก
ฮ่องเต้ไม่ใช่คนอ่อนแอ เขามักฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรง อีกทั้งการตอบสนองก็ว่องไวอย่างมาก ในเวลาที่ท่านพ่อล้มลงบนตัวเขา เขาก็ถีบขันทีผู้นั้นออกไปแล้ว
ขันทีจิ้นจงกระโจนเข้ามาในเวลาเดียวกัน ขันทีผู้นี้ไม่ได้แก่ชราจนหมดแรง ร่างกายของเขาคล่องแคล่วดุจดั่งกระต่าย เขากระโดดขึ้นบนตัวของขันทีผู้นั้น ก่อนที่จะปาดคอขันทีผู้นั้นทิ้งไป…
“อย่าเสียงดัง!” ท่านพ่อตะโกน “ไว้ชีวิตเขา!”
แต่ยังคงสายไป ขันทีผู้นั้นถูกขันทีจิ้นจงปาดคอไปแล้ว คนที่คุ้มกันฮ่องเต้อย่างพวกเขา มีเป้าหมายเดียวคือ ฆ่าทิ้ง เมื่อเผชิญกับมือสังหาร
แต่ขันทีจิ้นจงยังคงฟังประโยคแรก เขาไม่ได้ตะโกนดึงดูดคนเข้ามา
เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา เขาหลบอยู่ด้านหลังชั้นวางตำรา เอามือปิดปาก มองฮ่องเต้พยุงท่านพ่อ ทั้งสองคนลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาเห็นมีดที่ปักอยู่บนหน้าอกของท่านพ่อ มือของท่านพ่อจับคมมีดเอาไว้ เลือดหลั่งไหลออกมา ไม่รู้ว่าเป็นแผลที่มือหรือว่าหน้าอก…
ฮ่องเต้จับด้ามมีดเอาไว้ เขาพยุงท่านพ่อ หัวของท่านพ่อซบอยู่บนไหล่ของฮ่องเต้
“เรียกหมอหลวง…” ฮ่องเต้ตะโกนเสียงดัง น้ำเสียงเหมือนกำลังจะร้องไห้
เสียงเรียกนี้ทำให้เขาได้สติขึ้นมา เขากำลังจะพุ่งตัวออกมา เวลานี้เขาไม่กลัวท่านพ่อลงโทษเขา เขาหวังว่าท่านพ่อจะตีเขาด้วยตนเองได้
แต่ครู่ถัดมา เขาก็เห็นมือของฮ่องเต้ผลักไปด้านหน้า ส่งมีดที่ไม่ได้ทิ่มแทงเข้าหัวใจของท่านพ่อในเดิมทีเข้าไปในหัวใจของท่านพ่อ…
เสียงของเขา ท่าทางของเขา ตัวของเขา สลายไปในเวลานั้น
[1] เตียงหลัวฮั่น เป็นเครื่องเรือนสมัยโบราณของจีน ใช้สำหรับนั่งรับแขกหรือนอนเล่น ลักษณะคล้ายตั่งขนาดใหญ่ แต่ไม่ใช้เป็นเตียงนอนในห้องนอน