บทที่ 304 โชคร้ายเหลือเกิน จะให้พวกเราสู้กับพวกเด็ก ๆ จริงหรือ!?
ทั่วทั้งเขาหยงหมิงตกอยู่ในความโกลาหล ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าผู้อาวุโสเก้าจะเอ่ยข่าวสะท้านฟ้าออกมาเช่นนี้
เผ่าซาง ลัทธิเจี๋ยเทียน เผ่าหาน และพุทธศาสนาล้วนเป็นกองกำลังที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ยาวนานเสียจนไม่อาจสืบสาวได้!
ในยุคของพวกเขาแล้ว กองกำลังเหล่านี้ล้วนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก!
ทุกวันนี้ภูมิหลังของพวกเขาล้ำลึกจนไม่อาจหยั่งรู้ได้ แต่ตอนนี้เหล่ากองกำลังที่ทรงพลังจากยุคโบราณกาลตกลงจะร่วมมือกันสร้างสถานศึกษา นับว่าเป็นเรื่องน่าตื่นตะลึงอย่างยิ่ง!
กาลเวลาที่ล่วงผ่านมานาน เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาเป็นครั้งแรก ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้า!
แต่นอนว่า พวกเขาย่อมไม่รู้ถึงรายละเอียดภายใน
หากพวกเขาได้รับรู้ข้อมูลโดยละเอียดแล้ว พวกเขาคงจะไม่ตื่นตกใจมากเท่านี้
เพราะนอกจากวิธีนี้ก็ไร้ซึ่งหนทางอื่นแล้วจริง ๆ
สิ่งมีชีวิตจากแดนเทียนหยวนกำลังใกล้เข้ามา ทั้งโลกจะต้องรวมพลังเข้าด้วยกัน หากพวกเขายังคงอยู่แบบกระจัดกระจายเช่นเคย เกร่งว่าการเผชิญหน้าในครั้งนี้จะไร้ซึ่งความหวัง
ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ พวกเขาคงไม่มารวมตัวกันเช่นนี้
อย่างไรเสียก็ไม่มีใครเต็มใจจะเอามรดกและทรัพยากรที่ได้รับสืบทอดออกมามอบให้กับผู้อื่น
ในการก่อตั้งสถานศึกษานั้น การปลูกฝังผู้ฝึกตนอย่างจริงจังนั้นเป็นเพียงหนึ่งในเหตุผล
อีกเหตุผลหนึ่งคือ การที่พวกเขาต้องการจะให้ทั้งโลกยอมรับข้อมูลของสิ่งมีชีวิตจากแดนเทียนหยวนที่ใกล้เข้ามาผ่านทางสถานศึกษา
การประกาศเรื่องนี้ออกมาอย่างกะทันหันจะทำให้เกิดความตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เป็นผลเสียต่อพวกเขาอย่างร้ายแรง
ยังดีที่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงการแจ้งเตือนของเจตจำนงฟ้าดินในครั้งแรก ทำให้ยังพอมีเวลาที่จะตระเตรียมการ
หลังจากผู้อาวุโสเก้าประกาศเรื่องสถานศึกษาแล้ว ก็กล่าวออกมาต่อว่าจะเริ่มดำเนินการสร้าง และพิจารณาเกณฑ์ในการสอบคัดเลือก ขอให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม
สถานที่ตั้งของสถานศึกษานั้นยังไม่ถูกกำหนด
ผู้อาวุโสเก้ากล่าวว่า ยามนี้อัจฉริยะจากทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกันในที่เดียว นับเป็นโอกาสอันหายากที่ทุกคนจะสามารมาประกลองและเรียนรู้จากกันและกัน เพื่อหาและปรับปรุงข้อบกพร่องของตนเอง
หลังจากนั้นเองแต่ละชั้นก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว มีผู้คนนับไม่ถ้วนออกมาประลองฝีมือกัน
ลานบนยอดเขาเองก็เริ่มมีการประลองขึ้นมาเช่นกัน
ผู้ฝึกตนที่อยู่บนยอดเขาล้วนแต่มีความแข็งแกร่งไม่ธรรมดา แต่ละคนล้วนมาจากกองกำลังโบราณ
พรสวรรค์ของรุ่นเยาว์ในแต่ละกองกำลังนั้นน่าทึ่งเป็นอย่างมา ความสามารถของพวกเขาทิ้งห่างจากคนรุ่นเดียวกันไกลลิบ ทั้งยังมีชื่อเสียงเลื่องลือ
พวกเขาเหล่านั้นต่างสนใจการประลองในครั้งนี้มาก
พวกเขาพากันทยอยลงไปในสนาม จากนั้นจึงเริ่มประลองกันเอง
พวกอ้ายฉานเองก็กำลังคันไม้คันมือ สนใจการประลองในครั้งนี้เป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้พวกเขาฝึกฝนอยู่แต่ในพรรคจื่อเสีย แทบจะไม่มีโอกาสได้ต่อสู้ ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นผู้ฝึกตนทุกชาติพันธุ์มารวมตัวกันก็เกิดความอยากจะวัดฝีมือตนเองขึ้นมา
“ไปเถอะ แสดงให้พวกเขาได้รู้ ว่าคนจากเมืองชิงซานของพวกเรายอดเยี่ยมมากแค่ไหน”
หลี่จิ่วเต้าที่เห็นพวกอ้ายฉานต้องการจะร่วมประลอง จึงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ดีเลย!”
“คุณชายคอยดูนะ!”
พวกอ้ายฉานตอบรับ จากนั้นก็พากันลงสนามประลองไปทีละคน
“พวกเรามาแล้ว ใครอยากจะมาประลองกับพวกเราบ้าง?”
“มาเลย ๆ สู้กับพวกเรา ไม่มีอะไรต้องอายทั้งนั้น!”
พวกเขากล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทว่ามันกลับทำให้ดูผิดแปลกอย่างยิ่งบนยอดเขาแห่งนี้
ผิดแปลกอย่างไรน่ะหรือ…
ผิดแปลกตรงที่มีเด็กอายุไม่กี่ขวบลงมาในสนามประลอง ยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าผู้ฝึกตนที่อายุมากกว่าพวกเขามาก
ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์บนยอดเขาล้วนแต่ไร้คำจะกล่าว ภายในใจเอ่ยออกมาว่าใครจะอยากประมือกับเด็กน้อยเช่นพวกเจ้ากัน
พวกเขาจะไม่ถูกกล่าวหาว่ารังแกเด็กหรอกหรือ?
พวกเขาไม่ได้ต้องการจะถูกประณามให้อับอายเช่นนั้น
เมื่อผู้อาวุโสเก้าแห่งเผ่าซางเห็นดังนั้น เขาจึงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าประเมินคู่ต่อสู้ของพวกเจ้าต่ำเกินไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม”
แม้ว่าพวกอ้ายฉานจะยังเด็กนัก แต่พวกเขาทุกคนก็ล้วนบรรลุขอบเขตพรตเต๋า ไม่ใช่ระดับที่ไม่ว่าใครก็สามารถเปรียบเทียบได้
รุ่นเยาว์ในลานประลองประเมินพวกอ้ายฉานต่ำเกินไป นับเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่จริง ๆ..
เด็กพวกนี้มองอย่างไรก็เพียงไม่กี่ปี…
ต่อให้ฝึกตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ก็จะแข็งแกร่งสักแค่ไหนกันเชียว?
รุ่นเยาว์ในสนามประลองไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำพูดของผู้อาวุโสเก้าเผ่าซาง
พวกเขาต่างก็ไม่เคลื่อนไหว ไม่ต้องการเข้าประลอง
พวกเขาไม่ทำแม้กระทั่งใช้ประสาทสัมผัสญาณในการตรวจสอบขอบเขตของพวกอ้ายฉาน
เพราะพวกเขาต่างคิดว่ามันไม่จำเป็น เด็กน้อยอายุเพียงไม่กี่ปีจะสามารถฝึกตนได้ถึงขั้นไหนเชียว?
เหล่าผู้อาวุโสของพวกเขาไม่ได้บอกพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องยอดนิกาย ทั้งยังไม่บอกพวกเขาให้ทราบถึงระดับขอบเขตของพวกอ้ายฉาน
นั่นทำให้เหล่ารุ่นเยาว์ต่างก็ไม่เคลื่อนไหว จนทำให้บรรดาผู้อาวุโสเริ่มอยู่ไม่สุข
รุ่นเยาว์เหล่านี้ไม่รู้เรื่องราวของยอดนิกาย ทว่าเหล่าผู้อาวุโสต่างเข้าใจไปว่า พวกอ้ายฉานเป็นคนจากยอดนิกาย มาเยือนยังที่แห่งนี้เพื่อฝึกฝนตนเอง
หากพวกเขาทำให้พวกอ้ายฉานขุ่นเคืองใจแล้วละก็…พวกเขาไม่อาจจะแบกรับผลที่ตามมาได้!
พวกเขาจึงเริ่มขานชื่อขึ้นมา ให้รุ่นเยาว์ในกองกำลังของตนเองที่อยู่ขอบเขตเดียวกันกับพวกอ้ายฉานออกไป
“อ๊ะ เหตุใดต้องเป็นข้าที่ลงสนามเล่า?”
“ไม่มีทาง!”
รุ่นเยาว์ที่ถูกขานชื่อต่างทำสีหน้าทุกข์ตรม เหตุใดจึงต้องเป็นพวกเขาเล่า!?
ช่างโชคร้ายเหลือเกิน!
รังแกเด็กอายุเพียงไม่กี่ขวบ…หากเรื่องนี้ถูกเล่าขานออกไป คงกลายเป็นรอยด่างในชีวิตพวกเขา!
นอกจากนี้ จำเป็นต้องให้ขอบเขตขั้นระดับพวกเขาออกโรงไปจัดการกับพวกเด็ก ๆ อย่างอ้ายฉานด้วยหรือ?
พวกเขาไม่เต็มใจที่จะทำสักนิด
แต่พวกเขาเองก็ไม่กล้าจะขัดคำของผู้อาวุโส จึงได้แต่ทยอยลงไปยังสนามประลองเพื่อสู้กับพวกอ้ายฉานทีละคน
ขณะที่อีกฝั่งหนึ่ง มีเด็กหนุ่มรูปงามก้าวออกมาด้วยความคล่องแคล่วฉับไว
บนใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ของเขาประดับด้วยรอยยิ้มงดงาม เขาเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าอันหลานเสวี่ย ก่อนกล่าวออกมาด้วยเสียงสบาย ๆ “ไม่ทราบว่า แม่นางท่านนี้จะให้เกียรติประมือกับข้าได้หรือไม่?”
เขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับยอดนิกายเลย
เนื่องจากเหล่ากองกำลังโบราณได้ตกลงกับผู้อาวุโสเก้าแห่งเผ่าซางว่า จะไม่เอ่ยบอกเรื่องนี้กับเหล่าผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ บนภูเขานี้
“ข้า? ไว้คราวหน้าเถิด…”
อันหลานเสวี่ยไม่มีความคิดอยากจะต่อสู้อยู่แม้แต่น้อย
นางมีนิสัยชอบเก็บเนื้อเก็บตัว จึงไม่ค่อยจะชื่นชอบการประลองท่ามกลางสายตาจับจ้องเช่นนี้
“นี่เป็นเพียงแค่การฝึกซ้อมเท่านั้น จะแพ้ชนะล้วนไม่สำคัญ ขอบเขตของข้าสูงกว่าแม่นาง ทั้งยังมีประสบการณ์อยู่บ้าง เป้าหมายของข้าจึงไม่ใช่แลกเปลี่ยนความรู้ แต่เพื่อให้ได้รับประสบการณ์”
เด็กหนุ่มรูปงามแย้มยิ้ม ยังคงเอ่ยต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้ “แม่นางประลองกับข้าสักครั้งครา ย่อมได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์บางอย่างกลับไป”
แม้เขาจะไม่รู้เกี่ยวกับยอดนิกาย
แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าตัวตนของเซี่ยเหยียน พวกเด็ก ๆ อย่างอ้ายฉาน และอันหลานเสวี่ยย่อมต้องไม่ธรรมดา
ไม่เช่นนั้น เผ่าซางจะใส่ใจพวกเขามากเพียงนี้ได้อย่างไร!
ดังนั้นเขาจึงเกิดความคิดที่จะใช้โอกาสในการประลองกับอันหลานเสวี่ย เพื่อสานสัมพันธ์กับนาง
สำหรับสาเหตุที่เขาไม่เลือกเซี่ยเหยียนหรือพวกอ้ายฉาน ก็เป็นเหตุผลที่เรียบง่ายอย่างยิ่ง
พวกอ้ายฉานไม่จำเป็นต้องพูดถึง พวกเขายังเด็กเกินไป
ส่วนเซี่ยเหยียนนั้น เขาไม่มีความกล้าจะไปประลองด้วย!
จะบ้าหรืออย่างไร เซี่ยเหยียนเคยถึงขึ้นยิงศรตอกพ่อของฉงคูลงกับภูเขาต่อหน้าคนมากมาย เขาจะเอาความกล้าที่ไหนไปคิดปะมือกับเซี่ยเหยียน?
นอกจากเขาจะคิดว่าชีวิตของตนเองยืนยาวเกินไป…