ความครึกครื้นหายไป เหลือไว้เพียงความเงียบอยู่ในลาน
สืออีเหนียงพูดกับป้าซ่งเบาๆ สองสามประโยค จากนั้นก็เดินผ่านสาวใช้และท่านป้าที่กำลังก้มตัวทำความสะอาดออกไปจากโถงเตี่ยนชวนพร้อมกับเยี่ยนหรงและคนอื่นๆ
ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะเปลี่ยนเป็นฤดูร้อน ลมที่พัดมาตอนกลางคืนช่างอบอุ่น อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้
นางอดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึกๆ
ข้างบนหัวคือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้าสีครามในยามราตรี แวววาวเป็นประกายทำให้คนหลงใหล
มีเสียงกลองดังมาจากระยะไกล
“ฮูหยิน” เยี่ยนหรงพูดด้วยความเป็นห่วง “ท่านเหนื่อยมาแล้วทั้งวัน มีเรื่องอันใดก็บอกบ่าวได้เลยนะเจ้าคะ ท่านรีบพักผ่อนเถิด!”
สืออีเหนียงนึกถึงแขกที่มาในวันนี้ นางไม่ง่วงเลยแม้แต่น้อย
“แขกของท่านโหวกลับแล้วหรือยัง”
“ยังเจ้าค่ะ!” เยี่ยนหรงตอบ “ท่านโหว ใต้เท้าจัวและใต้เท้าเจี่ยงกำลังดื่มสุรากันอยู่เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า จากนั้นก็กลับไปพักผ่อนที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน
ถูกสวีลิ่งอี๋ปลุกตอนกลางคืน
“สืออีเหนียง เงียบ…” เขาวางแขนลงบนเตียงแล้วมองมาที่นาง ดวงตาที่สดใสมีความมึนเมาหลังดื่มสุราเสร็จ คำพูดคำจาก็อ้อแอ้ “ทำไมเจ้าถึงนอนหลับราวกับเด็ก เรียกก็ไม่ตื่น”
เรียกไม่ตื่น? แล้วตอนนี้นางกำลังทำอะไรเล่า
สืออีเหนียงแอบบ่นในใจ ลุกขึ้นพร้อมกับบอกให้สาวใช้ข้างนอกนำน้ำแกงสร่างเมามาให้สวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ หอมไปที่แก้มของนางสองครั้ง
ในลมหายใจมีแต่กลิ่นน้ำเมา
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะย่นจมูก “รีบไปปล้างหน้าแปรงฟันเถิดเจ้าค่ะ มีแต่กลิ่นสุรา!”
สวีลิ่งอี๋มองดูใบหน้าที่ขมวดคิ้วของนาง เขาก็หัวเราะ ไม่เพียงแต่ไม่ไปล้างหน้าแปรงฟันตามที่นางบอก แล้วยังเอนตัวเข้าไปหอมนางอีกครั้ง
“ท่านโหว!” สืออีเหนียงตกใจ นางกำลังจะใช้มือบัง เงยหน้าขึ้นก็เห็นสาวใช้ยกถาดน้ำชาสีแดงเข้ามา
นางกังวล
“ท่านโหว!”
จากนั้นก็ผลักเขาอย่างแรง
สวีลิ่งอี๋ยืนไม่มั่น เขาสะดุดล้มลงบนเตียง
สืออีเหนียงมองไปที่สวีลิ่งอี๋ด้วยความตกใจ เขาถูกผลักล้มง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร!
สวีลิ่งอี๋ก็มองไปที่สืออีเหนียงด้วยความตกใจ คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะถูกนางผลักล้มลงบนเตียง
สาวใช้ที่ยกถาดน้ำชาเข้ามาก็ตกใจจนหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ นางรีบคุกเข่าลงบนพื้น ฝาถ้วยน้ำชาบนถาดสั่นสะเทือน เสียงถ้วยน้ำชากระทบกันดังอย่างชัดเจนในห้องที่เงียบสงัด
สวีลิ่งอี๋ถึงได้รู้ว่ามีสาวใช้เข้ามา
เขาพยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืนอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ข้ายืนไม่มั่นเอง”
สืออีเหนียงได้สติกลับมา เห็นเขาพยุงตัวลุกขึ้นยืน นางสงสัยว่าเขาไม่ได้ดื่มสุรามากขนาดนั้น จึงรีบไปประคองเขามานั่งบนเตียง จากนั้นก็บอกสาวใช้ด้วยท่าทีนิ่งสงบ “นำน้ำแกงสร่างเมาเข้ามา”
สาวใช้ยกถาดน้ำแกงสร่างเมาเดินเข้ามาอย่างตัวสั่น
สืออีเหนียงยกน้ำแกงสร่างเมาให้สวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ดื่มจนหมด
สืออีเหนียงนำถ้วยเปล่ากลับไปวางบนถาด จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาให้สวีลิ่งอี๋
สาวใช้เดินออกไปด้วยความหวาดกลัว
สวีลิ่งอี๋รับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปาก จากนั้นก็ถอนหายใจยาว ยืนขึ้นอย่างโซซัดโซเซ “เรียกสาวใช้มารับใช้ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด”
สืออีเหนียงนึกถึงแรงที่ตัวเองผลักเขาเมื่อครู่…จึงรู้สึกผิดเล็กน้อย เดินเข้าไปประคองเขา “ดึกมากแล้ว ข้ารับใช้ท่านโหวเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่าเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้คัดค้าน ทั้งสองคนพากันเดินไปที่ห้องน้ำ
สืออีเหนียงจะตักน้ำให้เขา
“ข้าตักเอง” สวีลิ่งอี๋หยิบช้อนไม้ในมือของนางมาตักน้ำเย็นลงในอ่าง
ต้นฤดูร้อนยังคงหนาวอยู่
“ท่านโหวเจ้าคะ!” สืออีเหนียงพูดอย่างลังเล
“ไม่เป็นไร” สวีลิ่งอี๋ไม่ยอม “เมื่อก่อนก็อาบน้ำเย็นอยู่บ่อยครั้ง” จากนั้นก็โน้มตัวลงก้มหน้าจุ่มลงในอ่าง
น้ำกระเซ็นไปทั่ว
สืออีเหนียงตกใจ
สวีลิ่งอี๋เงยหน้าขึ้นมา
หยดน้ำบนใบหน้าของเขาไหลลงมาใส่เสื้อผ้า
เขาถอนหายใจยาวๆ
บนใบหน้าก็ไม่มีความสบายใจเหมือนตอนที่สืออีเหนียงลืมตาขึ้นมาเห็นอีกต่อไป สายตาของเขาชัดเจนขึ้น
นึกถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมือนวันธรรมดาของสวีลิ่งอี๋ สืออีเหนียงรู้สึกเป็นห่วง นางเรียกเขาด้วยความลังเลว่า “ท่านโหวเจ้าคะ…”
สวีลิ่งอี๋ไม่หันกลับมา เขาก้มหน้าลงมองหน้าที่ซีดเซียวของตัวเอง “เหล่าจัว กลับเมืองหลวงแล้ว”
ใบหน้าของเขาสะท้อนอยู่ในกระจกบนอ่างล้างหน้าอย่างคลุมเครือ
สืออีเหนียงฟังไม่เข้าใจ “อะไรนะเจ้าคะ”
“ตอนที่ข้าไปถึงค่าย คนแรกที่ข้าเจอก็คือเหล่าจัว” เขาพูดเบาๆ “ตอนนั้น เขาเป็นแม่ทัพที่ผ่านศึกมาแล้วกว่าร้อยศึก!” เขาทำท่าทีเคร่งขรึม “คนที่ตะโกนดุร้ายที่สุดก็คือเขา คนที่ฆ่าศัตรูโหดเหี้ยมที่สุดก็คือเขา… ต่อมาข้าโจมตีซีเป่ย เขาเสนอตัวเป็นผู้โจมตี…ตอนที่โจมตีเก๋อซัง เขาขาหักไปข้างหนึ่ง…ฮ่องเต้ทรงตกรางวัลให้เขาตามความดีความชอบ ฮ่องเต้ตรัสถามเขาว่า ชีวิตนี้เขาต้องการอะไร เขาบอกว่า เขาอยากดูแลซีเป่ยให้ฮ่องเต้ตลอดไป ฮ่องเต้จึงให้เขาไปรับตำแหน่งผู้บัญชาการที่อวิ๋นกุ้ย...”
ใต้เท้าจัว รองเจ้ากรมกลาโหมที่พึ่งรับตำแหน่งคนนั้นหรือ
“ตอนนี้ผ่านไปแค่สองสามปี” สวีลิ่งอี๋เงยหน้าขึ้นมา “เขาจะกลับเมืองหลวง ชื่อเสียงครึ่งหนึ่งของเฟยอวิ๋นถูกทำลายอยู่ที่ซีเป่ย ส่วนข้า…” เขามองไปที่กระจกเล็กๆ ไม่พูดอะไรอยู่นาน
เฟยอวิ๋น? เจี่ยงเฟยอวิ๋นหรือ คนที่ให้สวีลิ่งอี๋ไปแทนที่หลังจากพ่ายแพ้สงครามในซีเป่ยคนนั้น?
เขากำลังนึกถึงความเปลี่ยนแปลงหลังงานเลี้ยงสิ้นสุดลงเช่นนั้นหรือ
สืออีเหนียงจับไหล่ของเขาเบาๆ
สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะหันมามอง มองเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
“ไม่เป็นไร!” เขาพูด “พวกเราสามคน คนหนึ่งเป็นรองเจ้ากรมกลาโหม คนหนึ่งเป็นแม่ทัพทหารทั้งห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาค คนหนึ่งเป็นราชครูรัชทายาท โชคดีกว่าคนที่ตายในเเคว้นเหมียวเจียงและซีเป่ยตั้งเยอะ”
ไม่โกรธ ไม่โศกเศร้า ไม่เสียดาย และไม่ตัดพ้อ…ถึงแม้ว่าจะเสียใจ แต่เขาก็สบายใจ
สืออีเหนียงตกใจ นางอดไม่ได้ที่มองบุรุษที่อยู่ตรงหน้า
ดวงตาสีดำ สดใสราวกับน้ำ ราวกับสามารถสะท้อนความอ่อนแอและความสับสนของเขาเมื่อครู่
สวีลิ่งอี๋หันกลับมา ยิ้มแล้วพูดว่า “อ้อใช่ เจ้าเจอจัวฮูหยินแล้วใช่หรือไม่”
คำพูดของเขาดึงดูดเรื่องในใจของสืออีเหนียง นางจับเสื้อสวีลิ่งอี๋ “ข้ากำลังอยากจะถามท่านโหวอยู่พอดีเจ้าค่ะ จัวฮูหยินคนนั้นอายุเท่าไรกันแน่เจ้าคะ”
นางพูดอย่างใจร้อน ทำให้สวีลิ่งอี๋ตกใจ “ทำไมหรือ”
“ข้าคิดว่าจัวฮูหยินอายุแค่ยี่สิบปี แต่นางบอกว่าอยากจะมาสู่ขอเจินเจี่ยเอ๋อร์ให้กับบุตรชายคนโต” สืออีเหนียงพูด “เมื่อครู่ข้าได้ยินท่านบอกว่าใต้เท้าจัวจะกลับเมืองหลวง เกิดอะไรขึ้นกับสกุลพวกเขากันแน่เจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “เหล่าจัวปีนี้อายุห้าสิบหกแล้ว จัวฮูหยินคนนี้ คือฮูหยินที่สี่ของเหล่าจัว สามคนก่อนป่วยเสียชีวิตไปหมดแล้ว ปีนี้บุตรชายคนโตของเขาอายุสิบห้า เป็นบุตรชายของฮูหยินที่สาม”
“ทำไมถึงวุ่นวายเช่นนี้” สืออีเหนียงบ่นพึมพำเบาๆ จากนั้นก็ถามสวีลิ่งอี๋ “จัวฮูหยินมีบุตรแท้ๆ หรือไม่”
“มี” สวีลิ่งอี๋พูด “เหล่าจัวมีบุตรชายสามคน บุตรชายคนที่สองและบุตรชายคนที่สามล้วนแต่เป็นบุตรของจัวฮูหยิน”
“เช่นนั้นสกุลเดิมของท่านแม่ของคุณชายใหญ่สกุลจัวคือใครกันเจ้าคะ”
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจ” สวีลิ่งอี๋พูด “ข้ารู้แค่ว่าเหล่าจัวมีผู้ติดตามแซ่ว่าน บอกว่าเป็นสหายของเหล่าจัว แต่ไม่รู้ว่าเป็นญาติของฮูหยินคนไหน”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะบ่น “เขาเป็นลูกน้องท่านไม่ใช่หรือเจ้าคะ ทำไมท่านไม่รู้อะไรเลย”
สวีลิ่งอี๋เบิกตากว้าง “ข้าจะถามถึงเรื่องฮูหยินของเขาทำไมกัน แค่รู้ว่าเขามีบุตรชายก็มากพอแล้ว”
สืออีเหนียงครุ่นคิด
ก็จริง เวลาสตรีอยู่ด้วยกันมักจะพูดถึงเรื่องสามี ลูกๆ แต่เวลาผู้ชายอยู่ด้วยกันพวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้
“เช่นนั้นท่านรู้เจตนาของจัวฮูหยินหรือไม่”
“รู้” สวีลิ่งอี๋พูด “เมื่อครู่เหล่าจัวบอกข้าแล้ว”
“แล้วท่านว่าเช่นไรเจ้าคะ” สืออีเหนียงกังวล
สกุลจัววุ่นวายเกินไป ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี
“ข้ายังไม่เคยเจอเขาเลย จะตอบตกลงได้เช่นไร” สวีลิ่งอี๋พูด “ข้าก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้”
แต่ในเมื่อสกุลจัวมีความคิดเช่นนี้ เกรงว่าคงจะมีครั้งต่อไปอีกแน่นอน
สืออีเหนียงลากสวีลิ่งอี๋เข้าไปในห้อง “ท่านโหว เรื่องนี้เราต้องปรึกษากันให้ดีนะเจ้าคะ ปีนี้…” นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คิดสำนวนหนึ่งออก “ท่านร้องเพลงจบข้าก็ขึ้นเวที”
นางเป็นคนใจเย็นและใจกว้างมาตลอด สวีลิ่งอี๋ไม่ค่อยเห็นนางใจร้อนเช่นนี้
เขายิ้มแล้วปล่อยให้สืออีเหนียงลากตัวเองเข้าไปในห้อง เห็นว่าสืออีเหนียงสวมเสื้อคลุมบาง เขาจึงหยิบเสื้อคลุมไหมพรมที่แขวนอยู่บนราวมาคลุมให้สืออีเหนียง
กลางคืนของต้นฤดูร้อนยังคงหนาวเย็นอยู่เล็กน้อย
สืออีเหนียงจับเสื้อคลุมไว้ ห่อตัวเองไว้ในเสื้อคลุมไหมพรมตัวใหญ่ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ไปนั่งบนเตียงเตาข้างหน้าต่างกับสวีลิ่งอี๋
“วันนี้เจี่ยงฮูหยินก็มาด้วย” นางรินน้ำอุ่นที่อยู่ข้างๆ มาสองแก้ว แก้วหนึ่งยื่นให้สวีลิ่งอี๋ อีกแก้วหนึ่งวางไว้ข้างหน้าตัวเอง
สวีลิ่งอี๋รับมา “ข้ารู้ว่า เฟยอวิ๋นยังโทษที่ข้าไม่ส่งเทียบเชิญให้เขา”
สืออีเหนียงดื่มน้ำอุ่นแล้วพูดว่า “แล้วท่านรู้หรือไม่ ว่าวันนี้เจี่ยงฮูหยินพาหลานสาวสกุลเดิมของตัวเองมาด้วยหนึ่งคน”
สวีลิ่งอี๋เลิกคิ้ว
สืออีเหนียงพูดว่า “ฟังจากน้ำเสียงของเจี่ยงฮูหยินแล้ว คงอยากจะให้หลานสาวของตัวเองหมั้นกับอวี้เกอเจ้าค่ะ”
“แต่เฟยอวิ๋นไม่ได้พูดอะไรสักคำ” สวีลิ่งอี๋ตกใจ เขาพึมพำ “หลานสาวสกุลเดิมของเจี่ยงฮูหยิน…หากข้าจำไม่ผิด ท่านพ่อของเจี่ยงฮูหยินคือผู้บัญชาการสวี่โจว เป็นสกุลใหญ่สกุลโตในพื้นที่ แต่แค่ไม่รู้ว่าหลานสาวคนนี้ของนางคือครอบครัวไหน”
“ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มอย่างขมขื่น “ฟังจากคำพูดของเจี่ยงฮูหยินแล้ว หลานสาวคนนี้ของนางเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่เด็ก นางเป็นคนเลี้ยงมาจนโต มารดาแท้ๆ คือสกุลใหญ่สกุลโตในชังโจว ตอนที่แต่งงานเข้ามามีสินเดิมตั้งเจ็ดแปดพันตำลึง สกุลญาติเป็นคนตัดสินใจ เหลือไว้เป็นสินเดิมของหลานสาวคนนี้ทั้งหมด ตอนนี้มีเจี่ยงฮูหยินเป็นคนจัดการเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะแตะหน้าผาก เขานึกถึงโจวฮูหยิน “นางพูดถึงสกุลไหน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความคาดหวัง
“บอกว่าเป็นหลานชายของสกุลเดิมเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูด “เป็นครอบครัวเดียวกันกับผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยนคนนั้น โตกว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์ของเราสามปี เป็นบุตรชายคนเดียวของครอบครัว แล้วยังบอกว่าเขาหน้าตาหล่อเหลา นิสัยอ่อนโยน ปีก่อนยังสอบผ่านบัณฑิตรุ่นเยาว์อีกด้วย”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว “เป็นครอบครัวเดียวกันกับผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยน เช่นนั้นก็เป็นสกุลญาติ ได้บอกหรือไม่ว่ามีพี่น้องกี่คน”
“บอกว่ามีพี่สาวสามคน ล้วนแต่แต่งงานแล้ว”
“รู้หรือไม่ว่าแต่งงานกับใคร”
“ตอนนั้นคนเยอะ ไม่ทันได้ถามเจ้าค่ะ”
“มีพี่สาวสามคน นิสัยอ่อนโยน” สวีลิ่งอี๋พูด “เกรงว่าจะเป็นบุตรชายที่ถูกตามใจตั้งแต่เด็ก ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง” พูดจบก็ถอนหายใจ “เราต้องคิดให้ดี”