หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 978 ทำความรู้จักกันใหม่!

บทที่ 978 ทำความรู้จักกันใหม่!

ความแข็งแกร่งของปรมาจารย์แห่งไฟส่งผ่านมาทางประโยคทั้งสามนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ประโยคแรกบอกฐานะของหวังเป่าเล่อแก่อีกฝ่าย ประโยคที่สองสั่งให้อีกฝ่ายขอโทษ ประโยคที่สามไล่ออกไปตรงๆ!

นั่นคือข้าไม่สนว่าจะมีเหตุผลหรือไม่ นี่ไม่ใช่การแจ้งให้ทราบ มันคือคำสั่ง!

ไม่ถามถึงเหตุผลและไม่สนว่าเจ้าจะมีภูมิอย่างไร ข้าจะจัดการเจ้าด้วยวิธีของข้าและเจ้า…ต้องทำตาม ถึงไม่อยากทำก็ต้องทำ!

ในฐานะผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของอารยธรรมครามทองคำ ปรมาจารย์ที่ฐานการฝึกฝนสูงถึงระดับดารานิรันดร์ เขาคุกเข่าตัวสั่นอยู่ตรงนั้น ขณะเดียวกันในใจก็เต็มไปด้วยความคับข้องใจ แต่เขาก็ไม่กล้าขัดขืน ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ สิ่งที่คิดในใจก็ไม่กล้าเปิดเผยออกมาแม้แต่น้อย ทำได้เพียงตอบรับด้วยความยำเกรง หลังจากศีรษะเพลิงของปรมาจารย์แห่งไฟค่อยๆ หายไปเขาถึงค่อยกล้าเงยหน้าขึ้นและยืนนิ่งอยู่นานด้วยสีหน้าขมขื่น

ท้ายที่สุดเขาก็เหลือบมองไปยังระบบสุริยะที่อยู่ข้างหน้าด้วยสีหน้าเยือกเย็น ก่อนจะหันกลับมาแล้วเลือกที่จะจากไป

เขาพอจะเดาออกแล้วว่าดารานิรันดร์สองคนนั้นที่ไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะต้องล้มเหลวแล้วเป็นแน่ และชะตากรรมของผู้ฝึกตนอารยธรรมครามทองคำทั้งหมดที่อยู่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็เดาได้เช่นกัน การสูญเสียเช่นนี้เรียกได้ว่าทำให้อารยธรรมครามทองคำของพวกเขาน่าสลดใจยิ่งกว่าการเสียเลือดเสียเนื้อเสียอีก

และทั้งหมดนี้เป็นเพราะหวังเป่าเล่อ!

แต่เขายังไม่กล้าแก้แค้น เวลานี้ภายใต้ความหดหู่และความบ้าคลั่งในใจ เขาไม่อาจอดกลั้นไว้ได้และส่งเสียงคำรามรุนแรงถึงขีดสุด

“หวังเป่าเล่อ…เจ้ามีภูมิหลังเช่นนี้แล้วทำไมถึงไม่รีบพูดเล่า!!!”

ท่ามกลางเสียงคำรามเขาก็เร่งความเร็วจากไปอย่างบ้าคลั่ง เพราะเขารู้ว่าต่อจากนี้ยังต้องเตรียมของกำนัลไถ่โทษอีก แม้ในใจจะรู้สึกขุ่นเคือง แต่การขอโทษก็เป็นสิ่งสำคัญ มิเช่นนั้นจะก่อปัญหาไม่รู้จบ

ขณะที่เขาควบหนีไป ทางด้านดาราจักรดวงเนตรสวรรค์ ท่ามกลางเสียงดังสนั่นเสียดหูเหล่ามหาทัณฑ์ทั้งเก้า หวังเป่าเล่อเอ่ยปากพูดพร้อมกับยกมือขวาชี้ไปยังดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ ทันใดนั้นดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ก็สั่นสะเทือน

ท่ามกลางพื้นดินพลิกกลับ ท้องฟ้าเปลี่ยนสี ร่างของหวังเป่าเล่อที่นอนอยู่ภายในโลงศพลืมตาขึ้น และในทันใดนั้นพื้นดินก็สั่นสะเทือนอีกครั้ง ก่อนที่ดินรอบโลงศพจะพังทลายลง รอยร้าวขนาดมหึมาค่อยๆ แผ่ขยายครอบคลุมรัศมีหนึ่งพันลี้

ทันใดนั้นพื้นดินหนึ่งพันลี้นั้นก็แตกออก โลงศพที่อยู่ในพื้นดินที่แตกกระจายก็พุ่งออกมาจากใต้พื้นดินเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีราวกับดาวตก วาดเป็นสายรุ้งสดใสพุ่งขึ้นไปยังจักรวาล!

มันขึ้นไปปรากฏตัวอยู่กลางจักรวาลเหนือสนามรบด้วยความเร็วเหนือกว่าดาวพระเคราะห์ทั่วไปพร้อมเสียงคำรามตลอดทางท่ามกลางความตะลึงงันของผู้ฝึกตนจำนวนมาก ณ ที่แห่งนี้ และความตกตะลึงของมหาทัณฑ์ทั้งเก้า!

เมื่อมันปรากฏตัว แรงกดดันก็แผ่ออกมาจากโลงศพรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะอักษรโบราณบนโลงที่ส่องสว่างความผันผวนของกาลเวลายาวนานยังแทรกซึมอยู่ตลอดเวลา ทำให้ทุกคนในสนามรบส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง

วินาทีที่พวกเขากรีดร้อง หวังเป่าเล่อยิ้ม นัยน์ตาเผยแววคาดหวัง

“ทุกท่าน เดี๋ยวเจอกันนะ” พูดจบร่างของหวังเป่าเล่อก็สั่นและกลายเป็นหมอกพุ่งไปยังโลงศพไปในพริบตา หมอกที่กลายร่างมาจากเขาแทรกซึมและทะลุเข้าไปในโลงศพท่ามกลางสายตาจับจ้องจากผู้คนโดยรอบ!

นับตั้งแต่มายังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เพื่อหลบหนีเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นจึงต้องใช้กระบวนท่าสารัตถะที่ศิษย์พี่ถ่ายทอดให้ และใช้ร่างสารัตถะฝึกฝนมาจนถึงทุกวันนี้ วินาทีนี้…เมื่อทุกสิ่งของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์กำลังจะจบสิ้นลง หวังเป่าเล่อจึงผนึกร่างจริงกับร่างแยกเข้าด้วยกันในที่สุด!

ในเวลานี้เมื่อหมอกร่างสารัตถะผนึกกาย ที่ด้านในโลงศพ หมอกที่แปลงมาจากร่างแยกก็เข้าครอบคลุมร่างจริง แทรกซึมไปตามรูทวารทั้งเจ็ดและรูขุมขนบนร่างกายเพื่อผนึกกายเข้ากับร่างจริง ขณะเดียวกันก็ผนึกฐานการฝึกฝนเข้าไปด้วย!

รวมถึงกฎดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าและ…ดาวเคราะห์เต๋า!!

เนื่องจากร่างแยกและร่างจริงมีความคล้ายคลึงกันอยู่แล้ว การผนึกกายในครั้งนี้ถึงแม้จะเป็นการถ่ายโอนดาวเคราะห์เต๋าก็ไม่มีอุปสรรคแม้แต่น้อยและสิ้นสุดลงแทบจะในพริบตา และเมื่อมันสิ้นสุดลง ร่างหวังเป่าเล่อในโลงศพก็กระตุกอย่างแรง ความผันผวนของฐานการฝึกฝนปะทุอย่างรุนแรง

เดิมทีร่างจริงของเขาแข็งแกร่งอยู่แล้ว ตอนนี้หลังจากผนึกร่างแยกพลังต่อสู้ก็ปะทุออกมาเช่นกัน โดยเฉพาะความรู้สึกที่มีกายเนื้อในที่สุดนั้นยิ่งทำให้ร่างกายและจิตใจหวังเป่าเล่อรวมเป็นหนึ่ง ดาวเคราะห์เต๋าในร่างกายยิ่งไหลเวียนได้ราบรื่น กฎและกฎหมายบนร่างของเขาวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ฐานการฝึกฝนของเขาก็เพิ่มขึ้นเพราะมันด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะยังไม่ถึงระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง แต่ด้านพลังต่อสู้นั้น…พุ่งสูงมาก!

ในเวลาเดียวกันกับที่เขากำลังผนึกกาย พวกปรมาจารย์มหาทัณฑ์แต่ละคนต่างฉายแววตาโหดเหี้ยมและความบ้าคลั่งที่ไม่อาจควบคุมได้ พวกเขารู้ดีว่าครั้งนี้ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะอวดดีเพียงใด แต่ภายใต้พลังสยบของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพ พวกเขาก็ไม่อาจมีชีวิตรอดไปจากที่แห่งนี้ได้

อีกทั้งยังเห็นได้ชัดว่าหวังเป่าเล่อไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไป ไม่ว่าจะทำอย่างไรล้วนมีแต่เส้นทางแห่งความตายเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้…พวกเขาแต่ละคนจึงเริ่มกระวนวายและคลุ้มคลั่งขึ้นมา ไอสังหารยิ่งรุนแรงขึ้นอีก

ในขณะนั้นเอง…ในโลงศพที่ทุกคนจับจ้องอยู่นั้นก็เกิดเสียงกุกกัก!

สายตานับไม่ถ้วนมองเห็นฝาโลงค่อยๆ ขยับจนกระทั่งหลังจากเปิดออกครึ่งหนึ่ง…ในโลงศพมืดมิดก็มีมือหนึ่งยื่นออกมา มือที่มีเลือดเนื้อ!

ทันทีที่มือนี้ปรากฏขึ้น คนจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คนนั้นก็ร้องตะโกนด้วยความเดือดดาล

“ทุกคนฟัง ข้าผู้ฝึกตนแห่งอารยธรรมครามทองคำ แม้จะต้องตายก็ขอตายไปพร้อมกับเจ้าหัวขโมยนี่!” พูดจบร่างของเขาก็ลุกไหม้ในพริบตาและพุ่งไปยังโลงศพ ไม่ใช่แค่เขา ดาวพระเคราะห์คนอื่นรวมทั้งปรมาจารย์มหาทัณฑ์ที่สิ้นหวังและขมขื่นต่างก็โจมตีติดต่อกัน

ส่วนผู้ฝึกตนจำนวนมากโดยรอบก็เริ่มโจมตีอย่างบ้าคลั่งจนก่อตัวเป็นพลังเทพกระบวนเวททั่วผืนฟ้าพุ่งเข้าหาโลงศพ!

ทว่าในตอนที่กระบวนเวทพลังเทพพุ่งเข้ามา เสียงสงบนิ่งเสียงหนึ่งก็ลอยออกมาจากโลงศพเบาๆ

“วางแผนการรบบนกระดาษ”

เวลาเดียวกันกับที่เสียงนั้นลอยมา มือที่ยื่นออกมาจากโลงศพก็บีบผนึกออก และทุกคนที่เห็นต่างก็จิตใจสั่นไหวอย่างรุนแรง และยังทำให้กระดาษรูปมนุษย์บนเรือดาวตกที่ไม่ได้จากไปไหนเผยแววตาแปลกประหลาด!

มือข้างที่เคยมีเลือดเนื้อ…วินาทีนี้ได้กลายเป็นมือกระดาษไปแล้ว!

และทันทีที่มันกลายเป็นกระดาษ พลังแห่งกฎจักรวาลที่ผู้ฝึกตน ณ ที่แห่งนี้ไม่เคยพบเห็นมาก่อนก็แผ่ขยายออกไป ทันใดนั้น…กระบวนเวทพลังเทพนับไม่ถ้วนที่ผู้ฝึกตนทั้งหมดและดาวพระเคราะห์ทั้งเก้าคนร่วมมือกันระเบิดออกมานั้นเข้าใกล้มือกระดาษนั่น…ก็กลายเป็นกระดาษ!!

“เป็นไปไม่ได้!!” คนของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อุทานอย่างตะลึงงัน!

“นี่…นี่ไม่ใช่เคล็ดวิชา! นี่คือกฎ!!”

“มันไม่ใช่กฎ ข้าไม่เคยได้ยินกฎที่เปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นกระดาษมาก่อน!!”

“สุสาน…สุสานดวงดารา!!” ดาวพระเคราะห์คนอื่นต่างตกใจถึงขีดสุด ท่ามกลางเสียงอุทานมีเพียงปรมาจารย์มหาทัณฑ์ตัวสั่นถอยร่นออกมาเป็นคนแรก เขาล้มเลิกการโจมตีและพยายามหลบหนี!

ชัดเจนมากว่าฉากนี้ทำให้เขาตกใจแทบบ้า ไม่ว่าพลังเทพอะไร ไม่ว่ากระบวนเวทไหน แม้แต่อาวุธเวทก็ไม่มีข้อยกเว้น พวกมันกลายเป็นกระดาษรูปทรงต่างๆ ในชั่วพริบตา ภาพตรงหน้าน่าขนพองสยองเกล้าเกินไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนเวทพลังเทพทั้งหมดนั้นถูกส่งไปอย่างคุกคามและโหดเหี้ยม แต่ตอนนี้กลับร่วงลงไปอย่างแผ่วเบา มองไกลๆ ราวกับเป็นเกล็ดหิมะและยังเหมือนกับฝนกระดาษที่ค่อยๆ ตกลงไป ความรู้สึกไร้พลังว่างเปล่าเช่นนี้ทำให้ผู้คนสิ้นหวัง!

และในขณะที่ทุกคนรอบๆ ตื่นตระหนกจนหนังศีรษะชาอยู่นั้น มือกระดาษนั้น…ก็จับที่ขอบโลงศพทำให้ร่างข้างในค่อยๆ ลุกขึ้นยืน!

และเปิดเผยแก่สายตาทุกคน!

ผมสีดำ ชุดสีดำ ดวงตาราวกับดวงดาว ใบหน้าคมราวกับมีด ทั้งคมเข้ม ขณะเดียวกันก็มีกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนสัมผัสสวรรค์สั่นคลอนแผ่ออกมาจากร่างนั้นอย่างต่อเนื่อ งส่งอิทธิพลต่อจักรวาลและทำให้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เกิดความผันผวน เปลวไฟลุกโชนล้อมรอบอารยธรรม อีกทั้งยังมีดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ดวงเนตรสวรรค์ที่ส่องประกายแรงกล้าอยู่ในขณะนี้!

รูปลักษณ์ที่ต่างจากหลงหนานจื่อนี้ทำให้ทุกคน ณ ที่แห่งนี้รู้สึกไม่คุ้นเคย ขณะเดียวกันก็สัมผัสสวรรค์ปั่นป่วนรุนแรง ในตอนที่ทุกคนกำลังสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวนั้นเอง ร่างในชุดสีดำที่เดินออกมาจากโลงศพก็เอ่ยปากขึ้นเบาๆ

“ทำความรู้จักกันใหม่เสียหน่อย ข้าคือผู้นำสหพันธรัฐแห่งระบบสุริยะ หวังเป่าเล่อ!”

……………………………………………….

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท