ทีแรกอวิ๋นปี้ลั่วคิดว่าอีกฝ่ายจะเห็นด้วยกับนาง นางจึงเผยรอยยิ้มเฉยเมยออกมา
แต่คาดไม่ถึงว่าใบหน้าหล่อเหลาแต่แฝงไปด้วยความชั่วร้ายของหนานกงเลี่ยจะดูเย็นชากว่าที่เคย
อวิ๋นปี้ลั่วมองเขาด้วยความประหลาดใจ และก่อนที่นางจะทันได้อ้าปากพูด หนานกงเลี่ยก็ลุกขึ้นยืน แล้วกระตุกยิ้มเป็นรอยยิ้มอันชั่วร้าย ”เจ้าบอกว่าจะเล่นเพลงให้ข้าฟังมิใช่หรือ ไหนล่ะเพลง”
รอยยิ้มที่อยู่ในดวงตาของเขาไม่มีแม้แต่ความเย็นชาที่นางเห็นเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย จะมีเหลือก็แต่เพียงความเกียจคร้านและดื้อรั้นอย่างที่เป็นเสมอมา มันเกือบทำให้อวิ๋นปี้ลั่วคิดว่านางมองภาพที่เห็นเมื่อครู่ผิดไป
เฮยจูเองก็นั่งอยู่ที่อีกด้านหนึ่ง นางถือถ้วยชาเอาไว้ในมือ ”พี่อวิ๋นก็ขึ้นไปเล่นสักเพลงสิเจ้าคะ แสดงให้ใครบางคนเห็นเสียเลยเจ้าค่ะว่านางยังขาดอะไรอยู่”
ระหว่างที่พูด เฮยจูก็มองไปที่โต๊ะของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยวางมือลงบนหน้าท้องของตัวเองเบาๆ นางก้มหน้าลง ขณะลูบท้องไปด้วย แววตาของนางดูหม่นแสงราวกับว่านางไม่คิดที่จะสนใจใครอีกต่อไป
ภาพนี้ทำให้เฮยจูรู้สึกโมโหเป็นอย่างยิ่ง คำกล่าวที่ว่าคนอัปลักษณ์ดีแต่สร้างปัญหานั้นล้วนแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น
“ท่านพี่” เฮยจูยิ้มให้กับอวิ๋นปี้ลั่ว ”ดูเหมือนจะมีคนบางคนที่ไม่คิดแม้แต่จะมองท่านนะเจ้าคะ แน่ล่ะ ด้วยหน้าตาอย่างนั้น มีหรือที่นางจะกล้ามองท่านตรงๆ ช่างเป็นความแตกต่างราวฟ้ากับเหวจริงๆ”
อวิ๋นปี้ลั่วไม่ตอบ นางทำเพียงแย้มยิ้ม จากนั้นจึงถามหนานกงเลี่ยที่อยู่ข้างๆ ว่า ”อาเลี่ยอยากฟังเพลงอะไรหรือ”
“ท่านพี่ หากให้ท่านร้องเองคนเดียวคงจะน่าเบื่อเกินไป” เฮยจูตวัดสายตาของนางไปหยุดอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวย ”ข้าได้ยินมาว่าท่านพี่กับพระชายามีพนันกันอยู่ เช่นนั้นทำไมพวกท่านไม่ลองประชันกันดูก่อนล่ะเจ้าคะว่าใครจะเก่งกว่ากัน” ท่านพี่เริ่มติดตามรับใช้องค์ชายมาตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นดนตรี หมากล้อม คัดอักษร และวาดภาพก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ส่วนผู้หญิงอัปลักษณ์นั่นน่ะหรือ ว่ากันว่านางเขียนพู่กันยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรกับการเล่นดนตรีและร้องเพลง
ครั้งนี้ จะต้องทำให้นังผู้หญิงอัปลักษณ์คนนี้อับอายขายหน้าอย่างแน่นอน!
ทำให้นางรู้ซึ้งถึงฐานะของตัวเองได้เสียที!
“ข้าคิดว่าน่าสนุกดีเหมือนกัน” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่ไม่ได้พูดอะไรมาเป็นเวลานานเอ่ยขึ้น แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย ”ทุกคนก็อยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นให้ทุกคนช่วยกันตัดสินอย่างยุติธรรมก็แล้วกัน”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวย นางยังไม่ทันได้ตอบตกลงเลยด้วยซ้ำ แต่คนพวกนี้กลับคิดเองเออเองเสียแล้ว แล้วยังมีหน้ามาพูดถึงความยุติธรรมอีกหรือ
นางไม่เคยเรียนดนตรีมาก่อน เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์รู้เรื่องนี้ดียิ่งกว่าใคร
ในความทรงจำของนาง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นางไปนอนอยู่นอกหน้าต่าง เพราะพยายามจะแอบเรียนดนตรีกับพวกนาง
ในเวลานั้นนางยังเด็กอยู่ น่าจะอายุได้เพียงแค่สิบขวบเท่านั้น
แต่ก่อนที่นางจะทันได้ฟังบทเรียนต่อไป นางก็ถูกเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ขวางไว้ตรงมุมห้อง เด็กคนอื่นๆ สั่งให้นางเห่าเหมือนสุนัข ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเขาจะจับนางแก้ผ้าแล้วปล่อยให้ตะโกนออกมาแทน
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ยอมเห่า ดังนั้นนางจึงถูกตบตีอย่างแรงแทน หลังจากนั้น นางก็ไม่เคยเข้าเรียนดนตรีอีกเลย
เมื่อนึกถึงมือทั้งสองข้างที่นางใช้ถือทั้งดาบยาว มีดสั้น หอบปืนไรเฟิลสำหรับลอบสังหาร กวาดล้างทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรมแล้ว นางก็ไม่เชื่อหรอกว่ามือคู่นี้จะไม่สามารถเล่นกู่ฉินได้
มีคนกำลังพยายามใช้จุดอ่อนของนางมาสอนบทเรียนให้นางหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยหมุนถ้วยชาในมือ แล้วยิ้มออกมา
ชิงจ้านรู้สึกได้เช่นเดียวกันว่าเหตุการณ์นี้ไม่ต่างอะไรกับการกลั่นแกล้งกันอย่างชัดเจน นางกำมือข้างซ้ายของนางไว้ แล้วมองไปที่เฮยจู ”เฮยจู ทำเช่นนี้เจ้าไม่กลัวหรือว่าฝ่าบาทจะโกรธจนเอาชีวิตเจ้าได้”
“ทำไมฝ่าบาทจะต้องโกรธด้วยล่ะ” เฮยจูมองชิงจ้านอย่างขบขัน ”ท่านพี่ของข้าก็แค่อยากจะแข่งร้องเพลงกับพระชายาเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นฝ่าบาทเองก็ชอบฟังท่านพี่เล่นดนตรีมาตลอด หากฝ่าบาทอยู่ที่นี่ เขาจะต้องยินดียิ่งกว่าใครแน่ ชิงจ้าน ทำไมเจ้าต้องตื่นตูมเกินเหตุด้วยเล่า ต่อให้เจ้าต้องการเรียกร้องความสนใจจากนายน้อยเลี่ย แต่เจ้าก็ไม่ควรแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมานะ”
ทุกคนต่างก็ได้ยินน้ำเสียงเสียดสีที่ซ่อนอยู่ภายในประโยคนั้น ทันทีที่พูดจบ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นภายในหอน้ำชาแห่งนั้น
ใบหน้าของชิงจ้านซีดเผือด แต่นางไม่คิดที่จะยอมอ่อนข้อให้ นางยืนขึ้นตรงหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่ก่อนที่นางจะทันได้เอ่ยอะไรนั้น
จู่ๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ลุกพรวดขึ้น ก้าวข้ามม้านั่งไม้ แล้วยิ้มให้กับเฮยจู นางไม่คิดที่จะปกปิดบังกลิ่นอายชั่วร้ายของตัวเองแม้แต่น้อย ไฝที่ใต้ตาคล้ายจะมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นในยามที่นางเผยรอยยิ้มออกมา ฟันสีขาวที่โผล่ออกมาให้เห็นเล็กน้อยบริเวณมุมปากของนางนั้นทำให้ยากที่จะคาดเดาสีหน้าอารมณ์ของนางได้ ”มันเป็นการพนันมิใช่หรือ เดิมพันด้วยอะไรล่ะ”
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความแตกต่างอันเห็นได้ชัดนี้มีมากเกินไปหรืออย่างไร เฮยจูจึงมีอาการตกตะลึงเล็กน้อยขณะถามว่า ”เดิมพันด้วยอะไรหรือ”
“ถ้าเจ้าไม่แน่ใจก็ไม่เป็นไร แต่ว่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยยื่นมือออกไปแล้วปัดมือผ่านกู่ฉินที่อยู่ข้างตัว การวางนิ้วของนางนั้นแม่นยำ และท่วงท่าของนางก็มั่นคงยิ่งนัก ระหว่างนั้นนางก็ค่อยๆ ดีดสายของกู่ฉินตัวนั้นทีละเส้นอย่างนุ่มนวล จากนั้นนางก็หันหน้าไปมองรอบตัว ก่อนจะหรี่ตาใส่เฮยจู แล้วเอ่ยช้าๆ ว่า ”ถ้าเจ้าไม่รู้ก็หลบไป อย่ามาบังข้า”
หลังจากที่เฮยจูได้ยินคำพูดนี้ นางก็ยืดคอขึ้น โทสะของนางแทบจะระเบิดออกมาทันทีที่ถูกสะกิด แต่ก่อนที่นางจะทันได้อ้าปาก อวิ๋นปี้ลั่วก็คว้ามือของนางเอาไว้ แล้วหันไปส่งยิ้มให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย ”เอาเช่นนี้ดีกว่า ถ้าข้าชนะ เจ้าก็หลีกทางให้ข้าเสีย แต่ถ้าข้าแพ้… ข้าจะบอกข้อมูลและทุกคำใบ้ที่ข้ามีในเวลานี้ให้เจ้า”
“หลีกทางหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยครุ่นคิดพลางทวนคำสองคำนั้น หลังจากนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปที่หนานกงเลี่ย ”นี่เป็นความคิดของเจ้า หรือเป็นความคิดของพวกเขากัน”
อย่างไรเสีย บางครั้งหนานกงเลี่ยก็สามารถพูดแทนองค์ชายสามได้
หนานกงเลี่ยขมวดคิ้วเข้าหากัน เขามองกลับไปที่อวิ๋นปี้ลั่ว ก่อนจะพูดกับเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า ”ข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ข้าเพียงแค่อยากจะฟังเพลงเท่านั้น”
“เช่นนั้นหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลงราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
เฮยจูเยาะเย้ยขึ้นจากด้านข้าง ”ท่านพี่ ทำไมท่านถึงต้องพนันกับนางด้วยล่ะเจ้าคะ ทันทีที่ฝ่าบาทเห็นท่าน แล้วจะยังมีเหตุจำเป็นให้นางต้องหลีกทางให้ด้วยหรือ ฝ่าบาทจะต้องหย่ากับนางทันทีแน่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็กระตุกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม นางช้อนตาขึ้นมองสบกับสายตาของอวิ๋นปี้ลั่ว ”ข้าจะพนันกับเจ้า แต่ของพนันนี้มันเล็กน้อยเกินไป ถ้าข้าแพ้ ข้ายอมหลีกทางให้ก็ได้ มันก็เป็นแค่ตำแหน่ง ถ้าเจ้าอยากได้ก็เอาไปเถอะ แต่ถ้าข้าชนะ ตัดลิ้นของเฮยจูมาให้ข้าก็แล้วกัน ว่าอย่างไร แม่นางอวิ๋น เจ้าอยากจะพนันหรือเปล่า”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฮยจูก็หันไปมองทางอวิ๋นปี้ลั่วทันที!
อวิ๋นปี้ลั่วนิ่งเงียบราวกับกำลังชั่งน้ำหนักของข้อเสนอนั้นอยู่
เฮยจูไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ชั่วร้ายว่า ”ท่านพี่ ในเมื่อพระชายาพูดเช่นนั้น ท่านก็ควรจะรับพนันนะเจ้าคะ ทุกคนจะได้เพลิดเพลินไปกับการฟังเพลงไปด้วย อย่างไรเสียบทเพลงของท่านพี่ก็แตกต่างจากบทเพลงของคนทั่วไปอยู่แล้ว ยากนักที่ทุกคนจะมีโอกาสได้ฟัง”
“ก็ได้” ประหนึ่งว่านางเพิ่งจะตัดสินใจเรื่องสำคัญที่สุดลงไป อวิ๋นปี้ลั่วยิ้มให้เฮ่อเหลียนเวยเวยราวกับกำลังแสดงความจริงใจให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่ ”แม่นางเวยเวย เจ้าอาจจะยังไม่ได้เตรียมตัว ดังนั้นข้าขอเป็นคนเริ่มก่อนจะได้หรือไม่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองอวิ๋นปี้ลั่วครั้งหนึ่ง รอยยิ้มที่อยู่บริเวณมุมปากของนางเผยความเย็นชาออกมาให้เห็น
ชิงจ้านยังคงเป็นห่วงเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่ เพราะการทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการรอความตาย นางรู้ถึงความเก่งกาจของอวิ๋นปี้ลั่วดีกว่าใคร
ระหว่างที่เอ่ยเช่นนั้น อวิ๋นปี้ลั่วก็ยื่นมือของตัวเองออกไป แล้วบอกให้สาวใช้นำผีผาของตัวเองมาให้ นิ้วเรียวเพียงปัดผ่านเส้นสายบนเครื่องดนตรีนั้นได้ไม่ทันไร แค่เพียงเสียงดีดผีผากระท่อนกระแท่นนั้นก็ยังฟังดูราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิที่ไหลผ่านโขดหิน มันไหลเข้ามาในหูอย่างช้าๆ ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกสบายอันไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
เสียงของนางเองก็ไพเราะ การเน้นเสียงแต่ละคำ น้ำเสียงและดนตรีนั้นต่างถูกขับขานออกมาอย่างประณีต แม้จะเป็นเพลงเดียวกัน แต่เมื่อนางเป็นคนขับร้อง มันก็สามารถแทรกซึมเข้าไปในหัวใจของคนฟังได้อย่างอ่อนโยนและไพเราะน่าฟังยิ่งนัก…