วันรุ่งขึ้น โจวเสวียนลงจากเขาไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เวลานั้นชิงเฟิงยังกำลังกอดผ้าห่มหลับใหลอยู่
โจวเสวียนไม่ได้บอกลากับเฉินตันจู
แน่นอน ไม่ใช่ไม่มีผู้ใดรู้ จู๋หลินและองครักษ์คนอื่นต่างเห็นเหตุการณ์ แต่ไม่สนใจ
เมื่อเฉินตันจูนอนจนเพียงพอ ตื่นขึ้นนางไปเดินเล่นบนภูเขารอบหนึ่ง ฝึกฝนการยิงธนู จากนั้นกลับไปอาบน้ำ กินข้าวที่อาราม…
ชิงเฟิงพุ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน “คุณหนูตันจู ท่านรู้แล้วหรือไม่ คุณชายข้าไปแล้ว”
เฉินตันจูบอกว่าไม่รู้ด้วยความตกใจ จู๋หลินพูดอยู่ด้านนอกประตู “ข้ากำลังจะบอกคุณหนู ท่านโหวโจวลงจากเขาไปแล้ว…บางทีอาจจะแค่ไปเดินเล่น สักพักคงกลับมา”
ชิงเฟิงพูดอย่างระอา “ไม่ใช่ คุณชายข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่พระราชวังแล้ว”
เฉินตันจูพยักหน้า “เช่นนี้ก็ดี ยอมรับผิดต่อฝ่าบาท เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว เขาคงไม่อาจอยู่ในอารามของข้าไปตลอดชีวิต”
ชิงเฟิงครุ่นคิด ก่อนจะยิ้ม “ข้ารีบตามไปดูคุณชายข้าก่อน มีข่าวข้าจะรีบมาบอกคุณหนูตันจู” พูดพลางจากไปอย่างรีบร้อน
เดิมทีเฉินตันจูอยากจะพูดว่าไม่ต้องมาบอกนาง แต่เมื่อคิดได้ว่าโจวเสวียนบอกความลับกับนาง นางเลยไม่ได้พูดออกมา
โจวเสวียนต้องการแก้แค้นแทนบิดา ฮ่องเต้ย่อมต้องระวังเขา โจวเสวียนไม่กล้าเปิดเผยความผิดปกติต่อหน้าฮ่องเต้แม้แต่น้อย เมื่ออดีตชาติถึงแม้แลกด้วยชีวิตขององค์หญิงจินเหยา แต่ก็ยังคงล้มเหลว ชาตินี้เพราะว่าปฏิเสธการแต่งงาน ระหว่างเขาและฮ่องเต้จึงมีระยะห่างเพิ่มขึ้น การลอบสังหารจึงเป็นเรื่องยากกว่าเดิม
เช่นนี้ก็ดี เรื่องที่ยากจะทำได้ ทำให้เขาไม่กล้าทำอย่างง่ายดาย ทำให้เขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานมากขึ้น
ถึงแม้จะได้รับการลงโทษ แต่โจวเสวียนยังคงเดินทางเข้าพระราชวังได้อย่างราบรื่น คุกเข่าต่อหน้าพระตำหนักของฮ่องเต้
วันนี้ไม่มีการประชุมที่ท้องพระโรง ฮ่องเต้อยู่ว่างอย่างหาได้ยาก แสงอาทิตย์สาดเต็มห้องฮ่องเต้ยังไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียง
องครักษ์หลวงทั้งด้านในด้านนอกยืนอยู่ด้วยความสงบ ภายในห้องเงียบสงัด ไม่มีผู้ใดกล้ารบกวน
ขันทีจิ้นจงยกน้ำชาเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง เรียกเสียงเบา “ฝ่าบาท ดื่มชาหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ลุกขึ้นมาโบกมือจากด้านหลังม่าน “ไม่รีบ”
ขันทีจิ้นจงกลั้นหัวเราะ “ฝ่าบาท พระองค์สามารถแสร้งทำเป็นไม่ตื่น แต่สามารถเสวยพระกระยาหารก่อนได้พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อนึกถึงการกระทำของตนเอง ฮ่องเต้รู้สึกอยากหัวเราะเล็กน้อย เขาถอนหายใจส่ายหัวเดินออกมา บอกให้ขันทีจิ้นจงวางอาหารลงบนโต๊ะ พลางนั่งลงเอ่ยถาม “เขาคุกเข่านานแค่ไหน”
ขันทีจิ้นจงทูล “ไม่นานพ่ะย่ะค่ะ แค่หนึ่งชั่วยาม”
ฮ่องเต้ถือถ้วยชา เอ่ยถาม “การลงโทษผ่านมานานแค่ไหนแล้ว”
คุกเข่าหนึ่งชั่วยามไม่ถือว่านาน แต่สำหรับคนที่เคยได้รับการลงโทษแล้วแตกต่างกันไป ฝ่าบาทยังคงสงสารโจวเสวียน ขันทีจิ้นจงพูดเสียงเบา “ยี่สิบกว่าวันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้กัดฟันเอ่ย “รอยแผลยังไม่หายสนิท เขาจงใจมาให้ข้าเห็นหรือ” ก่อนจะวางถ้วยชาลง “ให้เขาเข้ามา!”
ขันทีจิ้นจงรีบเดินออกไป โจวเสวียนลุกขึ้นอย่างไม่คล่องตัว ขันทีจิ้นจงทั้งโกรธทั้งรีบร้อน เขาให้ขันทีอีกสองคนพยุงโจวเสวียนขยับร่างกาย ก่อนจะให้เหล่าหมอหลวงที่ซ่อนอยู่ด้านข้างดูอาการ ก่อนจะป้อนน้ำโสม
“ท่าทางอ่อนแอ เพียงแค่จะทำให้ฝ่าบาทโกรธ” เขาพูดกับโจวเสวียนด้วยสีหน้าดำทะมึน
โจวเสวียนผลักขันทีที่พยุงตนเองออก ยิ้มให้ขันทีจิ้นจง “ข้ารู้ ขอบคุณท่านมาก”
ขันทีจิ้นจงสะบัดแขนเสื้อด้วยความขุ่นเคือง “เจ้ารู้แล้วยังเหลวไหลอีก!” ขันทีจิ้นจงเดินนำเข้าไปก่อน โจวเสวียนเดินตามอยู่ด้านหลัง
ฮ่องเต้นั่งก้มหน้าเสวยพระกระยาหารอยู่ที่โต๊ะ ราวกับไม่รู้ว่ารอเป็นเวลานาน อีกทั้งไม่รู้ว่าเขาเข้ามา
“ฝ่าบาท” ขันทีจิ้นจงพูด “ท่านโหวโจวมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
โจวเสวียนจึงคุกเข่าลง คารวะฝ่าบาท
“เจ้ามาทำอันใดอีก” ฮ่องเต้ถามเสียงเรียบ
โจวเสวียนพูด “ฝ่าบาท กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เงยหน้ามองเขา ยิ้ม “เจ้าผิดอันใด เจ้าตัดสินใจเรื่องงานแต่งของเจ้าเอง พวกเราล้วนเป็นคนนอก ยุ่งไม่เข้าเรื่อง คนที่ผิดคือข้าและฮองเฮา”
โจวเสวียนพูดอย่างจริงใจ “ฝ่าบาท กระหม่อมผิดที่ไม่ได้เปิดเผยความคิดกับฝ่าบาทก่อน การกระทำบุ่มบ่าม ทำให้ฝ่าบาทรับมือไม่ทัน ทำให้ฝ่าบาทจำเป็นต้องลงโทษกระหม่อม”
ดังนั้นเขายังคงคิดว่าฮ่องเต้และฮองเฮาพระราชทานงานแต่งเป็นเรื่องที่ผิด ฮ่องเต้เงียบไปชั่วครู่
“หลายวันนี้กระหม่อมรักษาตัว ได้ยินเรื่องต่างๆ ขององค์ชายสาม กระหม่อมรู้สึกโดดเดี่ยวเนื่องจากสูญเสียท่านพ่อไป แต่อันที่จริงกระหม่อมมีชีวิตที่ราบรื่นไม่มีอุปสรรคอันใด องค์ชายสามถึงจะเป็นผู้ที่เข้มแข็งไม่ท้อถอย ถึงแม้ทรงมีอาการพระประชวรหลายปี แต่ไม่เคยทอดทิ้งตนเอง เมื่อมีโอกาสก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้ราชสำนัก” โจวเสวียนคุกเข่าอยู่บนพื้น สีหน้าเศร้าโศก “เมื่อเทียบกับองค์ชายสาม เรื่องที่กระหม่อมทำไม่ถือเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งกระหม่อมยังได้รับการสถาปนาเป็นท่านโหว แต่กระหม่อมยังกระทำการตามใจ ไม่รู้หนักเบา”
ที่แท้ได้รับการกระตุ้นจากองค์ชายสามหรือ ก่อนองค์ชายสามจากไป เขาเดินทางผ่านภูเขาดอกท้อ จึงขึ้นเขาไปเยี่ยมเฉินตันจู…อีกทั้งได้พบกับโจวเสวียน เรื่องนี้ฮ่องเต้รับรู้ สีหน้าของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“ฝ่าบาท” โจวเสวียนก้มกราบอีกครั้ง ยกตัวขึ้น “กระหม่อมรู้ว่าฝ่าบาทรักใคร่กระหม่อมดุจเหล่าองค์ชาย อีกทั้งยังดีต่อกระหม่อมยิ่งกว่าเหล่าองค์ชาย กระหม่อมไม่อาจดื่มด่ำกับความรักของฝ่าบาทได้อย่างสบายใจเช่นนี้อีกต่อไป ขอฝ่าบาทโปรดอย่ามองกระหม่อมเป็นบุตรหลาน โปรดมองกระหม่อมเป็นขุนนางของพระองค์เถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้จ้องมองเขา ยิ้ม “ขุนนาง ขุนนาง คนทั่วแผ่นดินล้วนเป็นราษฎรของข้า ขุนนางย่อมใช่”
โจวเสวียนรีบพูด “ขอฝ่าบาทโปรดมองกระหม่อมเป็นขุนนาง ก่อนจะเป็นบุตร”
ดูเหมือนเขายังต้องการพูดบางสิ่ง ฮ่องเต้พยักหน้ายกมือห้าม “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากลับไปรักษาตัวเถิด เมื่อรักษาตัวเสร็จ เจ้าก็ไปทำในสิ่งที่ขุนนางอย่างเจ้าควรทำ”
โจวเสวียนก้มกราบด้วยความดีใจ “ขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมโจวเสวียนขอทูลลา”
เขาลุกขึ้นถอยออกไป ฮ่องเต้ไม่ได้เรียกขานเขาอีก โจวเสวียนยืนอยู่นอกพระตำหนัก มองไปยังทิศทางของวังหลัง เขาลังเลเล็กน้อย ราวกับกำลังครุ่นคิดว่าต้องไปเข้าเฝ้าฮองเฮาและเหล่าองค์ชายหรือไม่…
“ท่านโหว” องครักษ์คนหนึ่งเข้ามาทำความเคารพเขา ยื่นมือออกไป “โปรดมอบป้ายคาดเอวกลับมาด้วย”
ก่อนหน้านี้ โจวเสวียนสามารถเข้าออกวังหลังได้อย่างอิสระ เพราะป้ายคาดเอวที่ฮ่องเต้มอบให้ ทำให้เขาทัดเทียมกับเหล่าองค์ชาย
เนื่องจากต่อจากนี้ เขาจะเป็นเพียงขุนนาง ไม่ใช่บุตรแล้ว ป้ายคาดเอวย่อมต้องถูกยึดคืน ขุนนางไม่มีสิทธิพิเศษเช่นนี้
โจวเสวียนยิ้มปลดป้ายคาดเอวออก ยื่นให้องครักษ์รักษาพระองค์ องครักษ์คำนับ ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “ท่านโหวต้องการออกจากวังใช่หรือไม่ โปรดเดินตรงไป อย่าออกนอกเส้นทาง”
โจวเสวียนตอบรับ ก่อนจะมองพระตำหนักสูงตระหง่าน รวมไปถึงวังหลังที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะเบนสายตาจากไปอย่างรวดเร็ว
เหล่าขันทีภายในพระตำหนักเดินเข้าออก ฮ่องเต้ปลดเครื่องแต่งกายภายใต้การปรนนิบัติของขันทีจิ้นจง สีหน้าไม่รู้ว่าโศกเศร้าหรือดีใจ
“เรื่องนี้อย่างไรก็เป็นเรื่องดี เขาคิดเช่นนี้ได้ แสดงว่าเขาเติบโตแล้ว รู้เรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีจิ้นจงพูดเสียงเบา
ฮ่องเต้พูดเสียงเรียบ “พูดตามตรงเขายังคงไม่อยากแต่งงานกับองค์หญิง ไม่อยากเกี่ยวข้องกับข้า”
ขันทีจิ้นจงพูดด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาท โจวเสวียนกลับจวนโหวไปแล้ว ไม่ได้เดินทางไปอารามดอกท้ออีกพระองค์ดู เขาไม่ทูลฝ่าบาทว่าจะทำอย่างไรกับคุณหนูตันจู…”
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นี้ ฮ่องเต้ก็โกรธจนตบโต๊ะ “เขากล้าหรือ! เขาลองพูดดู หากเขากล้าพูด ข้าก็กล้าที่จะเฆี่ยนเขาอีกห้าสิบไม้! ถ้าเขาบอกว่าเขาจะเป็นขุนนาง ไม่เป็นบุตร เขาคิดว่าข้าจัดการเขาไม่ได้จริงหรือ”
ขันทีจิ้นจงยิ้มปลอบโยน “พระองค์จัดการได้ พระองค์จัดการได้ ฝ่าบาททรงเป็นบิดามารดาของคนทั่วทั้งแผ่นดิน พระองค์ย่อมจัดการได้พ่ะย่ะค่ะ โจวเสวียนและเฉินตันจูล้วนไม่มีคนในตระกูลอยู่ในเมือง ฝ่าบาทไม่ดูแลพวกเขา ผู้ใดจะดูแล”
ฮ่องเต้สะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธ ก่อนจะนั่งลง
“เฉินตันจูเล่า” เขาถาม “นางกำลังทำอันใด นางเป็นคนยุยงให้โจวเสวียนมาใช่หรือไม่”
โจวเสวียนพักอยู่ในอารามของนาง องค์ชายสามเดินทางผ่านก็ไม่ลืมที่จะขึ้นไปเยี่ยมนาง ช่าง…ฮึ!
ขันทีจิ้นจงให้คนจับตาดูภูเขาดอกท้อเอาไว้ เวลานี้ได้ยินฮ่องเต้ถาม เขามีสีหน้าแปลกประหลาดเล็กน้อย
“คุณหนูตันจูไม่อยู่บนภูเขาดอกท้อพ่ะย่ะค่ะ” เขามองฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง “นางไป…พบท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็กแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฮอะ ฮ่องเต้หัวเราะเย้ยหยันในใจ ก่อนหน้านี้ขันทีจิ้นจงบอกว่าเฉินตันจูไม่มีคนในตระกูลอยู่ในเมือง แต่นางยังมีบิดาบุญธรรมอีกคน
ฮ่องเต้ส่งเสียงไม่พอใจ “คงไม่ได้ไปหาบิดาบุญธรรมของนางมาช่วยเกลี้ยกล่อมใช่หรือไม่”