ตอนที่ 321 รับสมัครพนักงานอีกครั้ง
ระหว่างทางกลับบ้าน เถาจืออวิ๋นถามขึ้นด้วยความเกรงใจอย่างมาก “ม่ายจื่อ โบนัสของฉันสิ้นเดือนนี้จะได้เท่าไหร่เหรอ?”
หลินม่ายคำนวณในใจครู่หนึ่ง แล้วพูด “เมื่อวานขายเสื้อผ้าได้ประมาณสามพันตัวแล้ว วันนี้ขายได้ประมาณสองพันตัว เฉพาะสองวันนี้โบนัสผลงานที่พี่ได้ก็สองร้อยกว่าแล้วล่ะ พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายของเดือน บวกกับวันพรุ่งนี้อีกวัน ทั้งหมดก็น่าจะได้สามร้อยกว่านะ”
“ฉันขอซื้อบ้านเดี่ยวที่ถนนเฉียนจิ้นของเธอได้ไหม ฉันเสนอราคา400หยวน” เถาจืออวิ๋นพูดพลางมองไปยังหลินม่ายตาปริบๆ
หลินม่ายส่ายหน้าปฏิเสธ “บ้านที่ฉันซื้อมาไม่สามารถขายต่อได้ค่ะ พี่อยากย้ายเข้าไปอยู่เหรอ? ถ้าอยากเข้าไปอยู่ งั้นก็พาฉีฉีย้ายไปด้วยสิคะ อยากอยู่นานเท่าไหร่ก็ตามสบายเลย”
ในตอนนี้การขายบ้านออกไปมันนั้นไม่คุ้มเลยสักนิด แล้วหลินม่ายจะขายได้อย่างไรกัน!
เถาจืออวิ๋นเห็นหลินม่ายไม่ยอมขายบ้าน ก็ได้แต่ยอมแพ้ ทว่าวันถัดมาหลังกินอาหารเช้าเสร็จ หล่อนก็ได้พาฉีฉีย้ายเข้าไปอยู่ด้วยความช่วยเหลือของหลินม่าย
แต่ก็ไม่ได้คิดจะอยู่ฟรีๆ หล่อนหารือกับหลินม่าย ว่าทุกๆ เดือนจะจ่ายเงินห้าหยวนให้เป็นค่าเช่า
ในฐานะที่เถาจืออวิ๋นเป็นหัวหน้าของ Unique แน่นอนว่าหล่อนเป็นนักออกแบบและหัวหน้าฝ่ายผลิตเพียงคนเดียวด้วยเช่นกัน เงินเดือนที่หลินม่ายให้หล่อนจึงค่อนข้างสูง
เมื่อบวกกับเงินโบนัสด้วยแล้ว รายได้แต่ละเดือนไม่ใช่น้อยๆ เลยทีเดียว
หล่อนตั้งใจจะจ่ายค่าเช่าเอง หลินม่ายก็ย่อมรับเอาไว้
เพื่อนมีเรื่องลำบาก เธอก็ย่อมต้องยื่นมือเข้าไปช่วย
แต่เถาจืออวิ๋นไม่ได้ขาดแคลนเงิน และหล่อนก็จ่ายค่าเช่าด้วยตัวเอง หลินม่ายจึงไม่มีความจำเป็นจะต้องให้เธอพักอยู่ฟรีๆ
ทว่าก็ไม่ได้เก็บค่าเช่าถึงเดือนละ 5 หยวนเช่นกัน แต่เก็บค่าเช่าหล่อนเพียงเดือนละ 3 หยวนเท่านั้น
ไม่ว่าจะพูดยังไง ทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน สิ่งที่ลดหย่อนได้ก็ควรจะลดหย่อน
แต่จะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์ดั่งมอบข้าวหนึ่งเซิงรำลึกบุญคุณ เพิ่มข้าวหนึ่งโต่วชักนำความแค้น(1)อย่างเด็ดขาด
เมื่อเถาจืออวิ๋นสองแม่ลูกต้องย้ายออกไป คนที่สนิทสนมจนไม่อาจพรากจากกันที่สุดนั้นก็คือเด็กทั้งสอง
โต้วโต้วดึงแขนของฉีฉีเอาไว้ น้ำตาคลอไม่ยอมให้เขาไป
แม้แต่อาหวงก็ยังกัดกางเกงขายาวของเขาเอาไว้ช่วยเจ้านายรั้งไม่ให้ไป
ฉีฉีเองก็น้ำตาคลอเบ้า ไม่รู้ว่าควรอยู่ต่อ หรือควรจะตามแม่ไป คิ้วจางขมวดอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หลินม่ายเห็นเช่นนั้นก็ปรึกษากับเถาจืออวิ๋นเล็กน้อย ว่าจะขอให้ใครสักคนมาดูแลเด็กน้อยทั้งสองในช่วงกลางวันโดยเฉพาะเสียเลย
นอกจากโต้วโต้วกับฉีฉีจะยังคงเล่นด้วยกันในตอนกลางวันได้แล้ว พวกเธอเองก็สามารถทำงานได้อย่างสบายใจด้วย
ในตอนที่เถาจืออวิ๋นย้ายไปอยู่บ้านที่ถนนเฉียนจิ้นของหลินม่าย คุณแม่ว่านก็เข้ามาถามนู่นถามนี่ทันที
หลินม่ายและเถาจืออวิ๋นต่างก็ไม่ได้สนใจหล่อนนัก
ว่านฮุ่ยเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น กลับตัดสินไปว่าหลินม่ายไม่เห็นแม่ของหล่อนอยู่ในสายตา ก็โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เมื่อเถาจืออวิ๋นย้ายบ้านเสร็จ หลินม่ายก็พาเด็กๆ ทั้งสองกลับบ้านของตน
ขณะที่เดินมาถึงถนนเส้นที่เธออาศัยอยู่ ก็เห็นเพื่อนบ้านสามสี่คนกำลังจับกลุ่มคุยกัน เธอเดินเข้าไปถามเพื่อนบ้านกลุ่มนั้นว่าสามารถช่วยแนะนำคุณน้าที่รับฝากเด็กให้เธอสักคนได้ไหม
เพื่อนบ้านคนหนึ่งถามขึ้น “เธอให้ค่าแรงเท่าไหร่ล่ะ?”
หลินม่ายคิดเล็กน้อย “ต้องฝากเด็กทั้งหมดสองคน ฝากแค่ตอนกลางวัน ค่าจ้างเดือนละ30หยวน วันหยุดไม่ต้องฝากค่ะ”
คุณป้าพวกนั้นบางคนก็เกษียณแล้ว อีกทั้งเดิมทีก็ไม่ได้ทำงานอยู่แล้ว จึงมีเวลาว่างกันทั้งนั้น
เมื่อเห็นหลินม่ายให้ค่าจ้างไม่น้อย ก็พากันเสนอตัวรับฝากเด็กๆ ให้
แม้จะบอกว่าฉีฉีกับโต้วโต้วยังเล็กอยู่มาก แต่ก็สามารถดูแลตัวเองได้กันหมด ฝากไว้ก็คงไม่ลำบากมากนัก
แม่เสี่ยวหงได้ยินอยู่ใกล้ ก็วิ่งเข้ามาอยากจะช่วยหลินม่ายดูแลเด็กๆ เช่นกัน
หลินม่ายได้เลือกคุณป้าที่ซื่อสัตย์ ไม่มีงานทำ อีกทั้งครอบครัวค่อนข้างลำบากคนหนึ่งมาช่วยดูแลหนูน้อยทั้งสอง
ไม่เพียงจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าครึ่งเดือนให้ทันที ยังให้เงิน 5 หยวนกับคุณป้าคนนั้นไว้ซื้อขนมให้เด็กๆ ทั้งสองคนกินต่างหาก
ด้วยกลัวว่าหนูน้อยเกิดหิวอยากกินขนมขึ้นมา ก็คงไม่สามารถให้คุณป้าออกเงินซื้อให้เองได้
คุณป้าคนนั้นแซ่ติง หล่อนได้พาหนูน้อยทั้งสองและอาหวงที่ตามพวกเขามาด้วยไปที่บ้านของหล่อนทันที
หลินม่ายนั้นไม่ได้กลับบ้าน แต่หมุนตัวไปยังโรงงานเสื้อผ้า วันนี้เป็นวันที่เถาจืออวิ๋นรับสมัครพนักงานใหม่
ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนได้หารือกันไว้แล้ว ว่าครั้งนี้จะรับสมัครพนักงาน 120 คนในคราวเดียว
หลังจากรับสมัครพนักงานเสร็จแล้ว จักรเย็บผ้าและจักรโพ้งที่ซื้อกลับมาจากกว่างโจวครั้งก่อนก็คงจะได้ใช้งานเกือบทั้งหมด ไม่ต้องตั้งให้ฝุ่นเกาะอีกต่อไป
ตอนที่หลินม่ายมาถึงโรงงาน การรับสมัครงานก็กำลังดำเนินไปอย่างคึกคักเร่าร้อนพอดี
ครั้งนี้รับสมัครพนักงานจำนวนมาก แต่คนที่มาสมัครงานนั้นมากยิ่งกว่า จนยืนกันเต็มพื้นที่โล่งว่างด้านหน้าโรงงาน
เถาจืออวิ๋นนำผ้าที่เหลือจากการทำเสื้อผ้าของโรงงานมา ระบุสิ่งที่ต้องทำ แล้วทำการประเมินผู้สมัครเหล่านั้น
เพราะมีจักรเย็บผ้าจำนวนมาก จึงประเมินได้อย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าคนที่มาสมัครงานจะมีห้าถึงหกร้อยคน แต่เพียงแค่ใช้วิธีการแบ่งออกเป็น 6 กลุ่มก็เรียบร้อยแล้ว
เถาจืออวิ๋นคัดเลือกพนักงาน 120 คนตรงนั้นในทันที
คนที่ไม่ได้ถูกรับเข้าทำงานนั้นจากไปด้วยความผิดหวัง
ผู้ที่ได้เข้าทำงานนั้น ก็จัดการทำความสะอาดห้องทำงานหลายห้อง แล้วนำจักรเย็บผ้าหรือเครื่องเย็บตะเข็บเข้าไปภายใต้คำสั่งของเถาจืออวิ๋น และแล้วห้องทำงานเหล่านั้นก็กลายเป็นโรงงานผลิต
เถาจืออวิ๋นแจ้งให้พวกเขามาทำงานอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ ทว่าวันนี้ก็ไม่ได้ให้พวกเขาฟรีๆ เช่นกัน เงินเดือนจะนับตั้งแต่วันนี้ไป รวมอยู่ในเงินเดือนของเดือนหน้า
พนักงานใหม่กลุ่มนั้นต่างดีใจอย่างมาก
ในตอนนั้นเอง ก็ถึงเวลาเลิกงานพอดี
หลินม่ายเห็นว่าพนักงานดั้งเดิมไม่กี่คนนั้นยังไม่ได้จากไปทันทีหลังเลิกงาน แต่กำลังทำความสะอาดโรงงานอยู่
สภาพความสะอาดของโรงงานย่ำแย่มาก ทั่วบริเวณล้วนเต็มไปด้วยเศษผ้าที่เหลือจากการตัดเย็บ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการผลิตได้
เพราะเศษผ้าเหล่านั้นอาจเข้าไปติดในล้อของจักรเย็บผ้าหรือเครื่องเย็บตะเข็บได้
ดังนั้นจึงต้องรักษาความสะอาดของโรงงานอยู่เสมอ
หลินม่ายถามเถาจืออวิ๋น “พนักงานทำความสะอาดเองมาโดยตลอดเลยเหรอ?”
เธอไม่ค่อยได้อยู่ที่โรงงานมากนัก จึงมีสภาพการณ์ของโรงงานบางอย่างที่เธอไม่รู้
เถาจืออวิ๋นพยักหน้า “ใช่แล้ว”
หลินม่ายครุ่นคิด ต่อไปขอบข่ายการผลิตของโรงงานคงจะเพิ่มมากขึ้นทุกวัน หากให้พนักงานทำความสะอาดโรงงานเอง จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการผลิตของพวกเขา
ดังนั้นเธอจึงพูดกับเถาจืออวิ๋น “ดูเหมือนว่าเราจะต้องจ้างคนทำความสะอาดสักสองสามคน มาคอยดูแลโรงงาน และโดยเฉพาะสุขอนามัยของโรงงาน”
เธอใคร่ครวญ “นอกจากต้องจ้างคนทำความสะอาดแล้ว ยังต้องจ้างยามเฝ้าประตูและผู้ดูแลหม้อไอน้ำที่ห้องหม้อน้ำด้วย อีกอย่างหัวหน้าโรงงานกับพนักงานขายเองก็ต้องจ้างไว้สักสองคนด้วยเหมือนกัน”
เธอเกรงว่าเถาจืออวิ๋นจะไม่สามารถเข้าใจว่าทำไมถึงต้องจ้างหัวหน้าโรงงานกับพนักงานขาย จึงพูดอธิบายเพิ่มอีกเล็กน้อย
“โรงงานจ้างพนักงานมากมายขนาดนี้ในคราวเดียว ขอบข่ายจึงขยายขึ้นไปอีกไม่น้อย พวกเราแค่สองคนคงจะจัดการดูแลได้ยากมาก”
ถ้าจ้างหัวหน้าโรงงานกับพนักงานขายไว้สักสองคน ก็จะสามารถลดภาระงานของเราลงได้”
เถาจืออวิ๋นพยักหน้า
ทั้งสองหารือกันเล็กน้อย กำหนดคุณสมบัติและจำนวนของพนักงานที่ต้องการรับสมัคร เขียนออกมาเป็นใบประกาศขนาดใหญ่ แล้วติดเอาไว้ที่ประตูโรงงาน
ลูกน้องของเฉินเฟิงที่รับหน้าที่เฝ้าประตูใหญ่เห็นดังนั้นก็กุมศีรษะ ถามหลินม่ายอย่างน่าสงสาร “ผู้จัดการโรงงานหลิน ผมทำงานได้ไม่ดีเหรอครับ คุณไม่ต้องการผมแล้วเหรอ?”
หลินม่ายหันไปมองเขา “คุณเห็นใบประกาศรับสมัครนี้ต้องการรับสมัครลุงยามเฝ้าประตู ก็เลยคิดว่าจะถูกไล่ออกเหรอ?”
คนเฝ้าประตูพยักหน้า “ไม่อย่างนั้นคุณจะอยากจ้างยามเฝ้าประตูทำไมละครับ?”
“ให้คุณเฝ้าประตู ก็เหมือนเอาปืนใหญ่มายิงยุงน่ะสิ ต่อไปคุณจะถูกส่งไปอยู่ทีมรักษาความปลอดภัย แล้วรับผิดชอบงานรักษาความปลอดภัยของโรงงานกับพวกพี่น้องของคุณค่ะ”
เมื่อคนเฝ้าประตูได้ยินว่าไม่ได้จะไล่เขาออก แต่จะย้ายตำแหน่งให้เขา ก็ดีใจจนอดยิ้มไม่ได้
เขาเองก็ไม่อยากเป็นคนเฝ้าประตูเช่นกัน
ในตอนนี้ คนเฝ้าประตูของโรงงานที่ไหนเป็นคนหนุ่มวัยรุ่นกันบ้าง? ไม่ใช่คุณตาก็เป็นคุณลุงทั้งนั้น
ให้เขาเฝ้าประตู เขาเองก็รู้สึกค่อนข้างขายหน้าอยู่เหมือนกัน
ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องเฝ้าประตูอีกแล้ว
หลังติดประกาศรับสมัครเสร็จ ทั้งสองเองก็ควรจะเลิกงานได้แล้ว
หลินม่ายพูดกับเถาจืออวิ๋น ว่าตอนเที่ยงให้ฉีฉีกินข้าวที่บ้านของเธอ
เด็กน้อยทั้งสองได้กินข้าวด้วยกัน คงจะกินได้เอร็ดอร่อยไม่น้อย
เถาจืออวิ๋นพยักหน้าตกลง
หล่อนไม่จำเป็นต้องเกรงใจหลินม่ายเพราะข้าวเพียงมื้อเดียว
หลินม่ายออกจากโรงงานเสื้อผ้าแล้ว ก็ตรงไปยังบ้านของป้าติงทันที
แม้ว่าป้าติงจะเป็นเพื่อนบ้านของหลินม่าย แต่ก็ไม่ได้อยู่ถนนสายเดียวกัน แต่อาศัยอยู่ที่บ้านชั้นเดียวหลังตึกแถวห่างไป 50เมตร
บ้านชั้นเดียวหลังนี้แม้ว่าจะเป็นบ้านส่วนตัวทั้งหมด แต่ทุกหลังต่างก็เป็นบ้านที่ชำรุดทรุดโทรม นับได้ว่าเป็นพื้นที่เสื่อมโทรมเลยทีเดียว
โชคดีที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการสุขาภิบาล สภาพสุขอนามัยความสะอาดจึงไม่นับว่าย่ำแย่นัก
……………………………………………………………………………………………………………………….
(1) ‘มอบข้าวหนึ่งเซิงรำลึกบุญคุณ เพิ่มข้าวหนึ่งโต่วชักนำความแค้น’ หมายถึง เมื่อให้ความช่วยเหลือให้ขณะที่ผู้อื่นลำบากแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้เกิดความซาบซึ้งในบุญคุณ แต่เมื่อช่วยเหลือมากเข้ากระทั่งช่วยไม่ไหวหรือหยุดช่วย อีกฝ่ายกลับรู้สึกโกรธเคืองถึงขั้นคับแค้นใจ *เซิง/โต่ว คือ มาตราตวงวัดข้าวโดยคิดเป็น 10เซิง(升) = 1โต่ว(斗)
สารจากผู้แปล
อิจฉาล่ะสิ อยากมีบ้านเหมือนกันล่ะสิป้า
ตอนขยายกิจการนี่งานใหญ่เลยล่ะ วางแผนไม่ดีก็จะเข้าวลีขายดีจนเจ๊งอะ
ไหหม่า(海馬)