ผู้คนในหอน้ำชารับฟังบทเพลงนั้นด้วยความเคลิบเคลิ้ม
ทันทีที่จบเพลง อวิ๋นปี้ลั่วก็ลุกขึ้นยืนรับเสียงปรบมือด้วยท่วงท่าอ่อนช้อยราวกับต้นหลิว ทั้งดูอ่อนเยาว์และงดงาม
ยิ่งเฉินอีเฟิงได้ฟังบทเพลงนั้น เขาก็ยิ่งคิดว่าลูกพี่ของพวกเขาคงตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว เขาชำเลืองมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างเป็นกังวลไปแล้วไม่ต่ำกว่าสองครั้ง
ลูกพี่ของพวกเขาสามารถสร้างอาวุธได้ดีก็จริง แต่ร้องเพลงน่ะหรือ… เขานึกภาพนางร้องเพลงไม่ออกเลยด้วยซ้ำ มันจะไม่ทำให้คนฟังหวาดกลัวจนหนีเตลิดไปหรือ
เฮยจูก็ลอบมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่เช่นกัน นางยิ้มด้วยความพอใจระหว่างกล่าวกับอวิ๋นปี้ลั่วว่า ”ท่านพี่ ฝีมือของท่านน่าประทับใจยิ่งกว่าเมื่อก่อนนัก คราวหน้าคงไม่มีใครกล้าเล่นเครื่องดนตรีและร้องเพลงต่อหน้าท่านอีกแล้ว!”
อวิ๋นปี้ลั่วเผยรอยยิ้มออกมา และพูดว่า ”พอได้แล้วเฮยจู เจ้าชมข้าเกินไปแล้ว”
“ข้ากำลังพูดความจริงอยู่นะเจ้าคะ ถ้าท่านไม่เชื่อ ท่านถามนายน้อยเลี่ยดูก็ได้เจ้าค่ะ” เฮยจูเบนสายตาของตนไปยังหนานกงเลี่ย ”เขาเป็นคนที่รู้วิธีดื่มด่ำกับเสียงของกู่ฉินดียิ่งนัก”
แน่นอนว่าหนานกงเลี่ยย่อมรู้วิธีที่จะดื่มด่ำกับเสียงกู่ฉินจริงดังว่า แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ มันกลับทำให้ริมฝีปากบางที่ยิ้มอยู่นั้นดูเย็นชาขึ้นมา
อวิ๋นปี้ลั่วกลัวว่าหนานกงเลี่ยจะคิดมากเกินไป ดังนั้นนางจึงรีบคว้าตัวเฮยจูกลับมา ดวงตากระจ่างใสของนางเคลื่อนไปหยุดอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวย ในดวงตาของนางคล้ายกับมีระลอกคลื่นกระเพื่อมอยู่ ”ถึงตาเจ้าแล้ว แม่นางเวยเวย”
เฮยจูไม่ได้พูดอะไรอีก แต่กลับแสดงสีหน้าราวกับว่าพวกนางคือผู้ชนะแล้วออกมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้มองเฮยจู นางหยิบกู่ฉินขึ้นมา แต่แทนที่จะเริ่มเล่น มือข้างหนึ่งของนางกลับจับมันพลิกให้ด้านหนึ่งของตัวเครื่องตั้งอยู่บนพื้น ในขณะที่อีกด้านอยู่สูงจากพื้นขึ้นไปในแนวดิ่ง ซึ่งการจัดวางเช่นนี้ทำให้นางสามารถจับมันได้อย่างถนัดมือ
“บ้าน่า! อย่าบอกนะว่านางไม่รู้จักกระทั่งวิธีจับกู่ฉินเลยด้วยซ้ำ”
ในขณะที่ทุกคนหัวเราะเยาะการกระทำของเฮ่อเหลียนเวยเวย
ทันใดนั้น เสียงต่ำๆ ก็ดังออกมาจากลำคอของนาง…
“สายลมพัดพาเกล็ดหิมะ
ย้อมผมของพวกเราจนกลายเป็นสีขาว
ชวนให้หวนนึกถึงความคิดที่เราสองต้องการพิชิตโลกใบนี้ด้วยกัน
เจ้ายังจำได้อยู่หรือเปล่า
ในฤดูร้อนปีนั้น
พวกเราเฝ้าอธิษฐานอย่างไร้ที่สิ้นสุด
พวกเราจับมือกันขึ้นเรือ
ข้ามแม่น้ำแห่งความโศกเศร้า”
เดิมที เฮ่อเหลียนเวยเวยก็มีเสียงที่หนากว่าผู้หญิงคนอื่นๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อตอนนี้ที่นางกำลังมีรอบเดือนอยู่ด้วย จึงทำให้เสียงของนางฟังดูแหบพร่ามากกว่าเดิม
ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ประโยคแรกที่นางเปล่งเสียงออกมา
ก็สามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ทันที
ไม่ใช่แค่คนอื่นๆ แม้แต่ดวงตาของหนานกงเลี่ยก็ยังปรากฏร่องรอยแห่งความประหลาดใจออกมา
ท่วงทำนองแบบนี้ การร้องแบบนี้ ไม่เคยมีมาก่อน!
ในตอนนั้นนั่นเองที่จู่ๆ ก็มีเสียงเพลงดังมาจากชั้นบนประสานไปกับท่วงทำนองของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงัก นางมองขึ้นไปข้างบน สายตาของนางสบเข้ากับดวงตาที่ดูราวกับดวงดาวคู่หนึ่ง
นางเห็นจิ่งอู๋ซวงที่มองนางกลับมาด้วยสายตาอันอ่อนโยน ชุดสีขาวราวกับงาช้างที่เขาสวมอยู่ทำให้เขายิ่งดูสง่างามและโดดเด่นราวกับออกมาจากภาพวาด บางครั้งสายลมที่พัดเข้ามาก็ดูคล้ายกับถูกรอยยิ้มของเขาพัดพาให้มันหายไป อิริยาบถของเขาดูเชื่องช้า แต่ก็สง่างาม ท่าทางอันงดงามนั้นสามารถทำให้ทุกคนหยุดหายใจได้เลยทีเดียว
เสียงเพลงของจิ่งอู๋ซวงไม่ได้เพียงแค่ไพเราะน่าฟังเท่านั้น แต่มันยังแฝงไปด้วยกำลังภายในที่บางเบาราวกับสายน้ำไหล ด้วยพลังที่ประสานเข้ามานั้น มันสามารถเยียวยาความขุ่นเคืองและความวุ่นวายภายในใจของผู้ฟังได้เป็นอย่างดี
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม เสียงของนางฟังดูมีน้ำหนักและน่าฟังยิ่งขึ้นกว่าเดิมราวกับถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสันอันหลากหลายทันทีที่มันผสานเข้ากับเสียงเป่าขลุ่ยแสนไพเราะนั้น
นางมองผู้คนที่กำลังรับฟังเพลงนี้อยู่ ดวงตาของนางเป็นประกายเหมือนนักร้องที่กำลังขับขานเรื่องราวสุดแสนรันทดใจออกมา
“พวกเราสัญญาว่าจะไม่แยกจากกัน
จะอยู่เคียงข้างกันชั่วนิจนิรันดร์
ต่อให้มันจะผิดต่อกาลเวลา
ต่อให้มันจะผิดต่อโลกทั้งใบ
ไม่อาจทนหลอกลวงกันและกันตลอดวันคืนแห่งความบริสุทธิ์นั้นได้
ต่อให้วัยเยาว์ของข้าจะไร้ความหมาย แต่ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง
หิมะเอ๋ย วอนขอเจ้าอย่าลบมันไปเลย
ร่องรอยแห่งความรักของสองเรา…”
เสียงร้องเพลงเงียบไปแล้ว เสียงเป่าขลุ่ยก็หยุดลงเช่นกัน และทั่วทั้งหอน้ำชาก็พลันตกอยู่ในความเงียบ
เฉินอีเฟิงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เขาเพิ่งจะมาได้สติก็ตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยวางกู่ฉินลงบนพื้น แล้วเดินเข้ามาข้างเขานั่นเอง เขาโพล่งออกมาว่า ”เพลงนี้ช่างไพเราะเหลือเกินขอรับ!”
ราวกับกับดักทำงาน คำพูดของเขาทำให้ผู้ฟังคนอื่นๆ มีปฏิกิริยาทันที พวกเขาปรบมือให้นางเสียงดังสนั่น!
ทุกคนเข้าไปรุมล้อมรอบๆ เฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วตื๊อขอให้นางร้องอีกสักเพลง!
เฮ่อเหลียนเวยเวยกุมท้อง แล้วหัวเราะ ”ข้ายังอยู่ในการแข่งขัน ขอทางให้ข้าหน่อย”
“ได้ๆๆ” บรรดาลูกศิษย์ต่างก็หลีกทางให้นาง เพียงแค่บทเพลงเพลงเดียว เฮ่อเหลียนเวยเวยก็สามารถเอาชนะใจของพวกเขาได้
แม้แต่เด็กสาวสองสามคนจากหอชั้นเลิศก็ยังอดนึกถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเพราะเพลงนี้ไม่ได้
หากสังเกตดูให้ดีก็จะพบว่าจริงๆ แล้วคนที่ถูกทอดทิ้งก็คือนางต่างหาก
เจ้าคนไร้คุณธรรมจากจวนอ๋องมู่หรงถอนหมั้นกับนาง แล้วสุดท้ายก็ใส่ร้ายป้ายสีว่านางเป็นคนบ้าผู้ชาย
ตอนนี้แม้ว่าในที่สุดนางจะได้ผูกสัมพันธ์กับองค์ชายสามแล้ว แต่สถานการณ์ของนางก็ยังไม่ดีขึ้น
เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่าเหตุผลที่แท้จริงที่องค์ชายสามอภิเษกสมรสกับนางคืออะไร
ในฐานะผู้หญิงแล้ว จะมีใครบ้างหรือที่ไม่ปรารถนาจะได้อยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายที่จะไม่มีวันทอดทิ้งตน
แต่ไม่มีใครกล้าพูดและทำเหมือนกับเฮ่อเหลียนเวยเวย
ความจริงแล้วพวกนางเป็นเพียงแค่กลุ่มคนขี้ขลาดที่ไม่สมควรจะไปหัวเราะเยาะเย้ยผู้หญิงหน้าตาอัปลักษณ์แต่กลับแข็งแกร่งเช่นนี้เลยด้วยซ้ำ
เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่รู้ความคิดของคนเหล่านี้ เหตุผลที่นางยอมตกลงพนันกับอีกฝ่ายนั้นเรียบง่ายยิ่งนัก นางเพียงแค่ต้องการแก้แค้นแทนชิงจ้านเท่านั้น ดังนั้นนางจึงมุ่งมั่นที่จะเอาลิ้นของเฮยจูมาให้ได้!
“มาลงคะแนนกันเถอะ คะแนนขึ้นอยู่กับเสียงปรบมือของผู้ฟัง” ริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยโค้งขึ้นและแสดงความเกียจคร้านออกมา ”คนที่คิดว่าข้าร้องเพลงเพราะ ให้เริ่มปรบมือได้เลย อ้อ คนที่ปรบมือให้ข้าจะได้เงินจากข้าด้วย”
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคสุดท้าย ปฏิกิริยาแรกของผู้ฟังก็คือหัวเราะ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงปรบมือสะเทือนเลือนลั่นราวกับฟ้าร้อง
มีเสียงกล่าวชื่นชมดังขึ้นท่ามกลางเสียงปรบมือนั้น ”พระชายาสาม เสียงร้องของท่านไพเราะยิ่งนัก! ต่อให้ไม่เอาเงินมาล่อ ข้าก็ยังคิดว่ามันยอดเยี่ยมอยู่ดี!”
“ขอบใจ” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ชินกับคำชมเช่นนั้น นางไม่ได้หลงระเริงไปกับมัน แต่กลับยิ้มออกมาอย่างสง่างาม ”รสนิยมของเจ้าดีทีเดียว”
เยือกเย็นแต่ไม่เย็นชา เฉยชาแต่มีอารมณ์ขัน
ไม่มีคำใดที่จะสามารถอธิบายเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว
คำพูดนั้นเรียกเสียงปรบมือได้อีกเล็กน้อย
สำหรับบทเพลง และยังสำหรับตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยเองด้วย
ผลการแข่งขันนั้นเห็นกันได้อย่างชัดเจนแล้ว
มีเสียงปรบมือก้องอยู่ในอากาศเพียงเล็กน้อยเมื่อถึงตาของอวิ๋นปี้ลั่ว และเสียงส่วนมากนั้นล้วนแต่มาจากคนที่อยู่ฝั่งเดียวกับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์
ทันใดนั้น ใบหน้าของเฮยจูก็พลันซีดจนไร้สีเลือด
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มออกมาเล็กน้อย พร้อมกับควงมีดสั้นในมือไปพร้อมกัน ในวินาทีนั้นนางดูเหมือนปีศาจไม่มีผิด นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมบังคับว่า ”เจ้าจะลงมือเอง หรือต้องให้ข้าช่วย”
ทันทีที่เฮยจูเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้ามา มือทั้งสองข้างของนางก็กำเข้าหากันแน่น นางดูพร้อมที่จะลงมือจัดการอีกฝ่ายทุกเมื่อ
แน่นอนว่าอวิ๋นปี้ลั่วย่อมไม่ปล่อยให้นางมีโอกาสได้ลงมือ หากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น คนทั้งแผ่นดินคงได้รู้ที่อยู่ของนางเป็นแน่ นางจะยอมให้ตัวเองถูกอดีตฮ่องเต้พาตัวไปก่อนจะได้พบหน้าเขาได้อย่างไร
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางก็ยื่นมือออกไปห้ามเฮยจู พร้อมกับมองไปที่ชิงจ้านตาไม่กะพริบ ”ชิงจ้าน เจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับเฮยจูมาโดยตลอด หากนางเสียลิ้นไป ทั้งชีวิตที่เหลือของนางก็คง…”
องครักษ์ของวังปีศาจมีความเอื้ออาทรต่อกันเสมอ เพราะพวกเขาต้องผ่านการฝึกฝนมากมายมาด้วยกัน และสุดท้าย มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงรอดชีวิตมาได้
นอกจากการปกป้องผู้เป็นนายแล้ว พวกเขาก็จะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ด้วยกัน นับได้ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนที่ร่วมเป็นร่วมตายกันอย่างแท้จริง
อวิ๋นปี้ลั่วจงใจดึงชิงจ้านเข้ามาในเวลานี้เพียงเพราะต้องการสร้างสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกให้กับชิงจ้านนั่นเอง…