เฉินตันจูออกจากค่ายทหารอย่างดีใจ แสงแดดและสายลมยามฤดูใบไม้ผลิกำลังดี รอยยิ้มเต็มเปี่ยมบนใบหน้า
จู๋หลินอดบ่นไม่ได้ “คุณหนูตันจูรบกวนท่านแม่ทัพให้ส่งจดหมายให้ท่านได้อย่างไร”
เฟิงหลินบอกเขาแล้ว จะรายงานการเคลื่อนไหวในเมืองฉีแก่เขา ให้เขาบอกคุณหนูตันจูทันที จดหมายของคุณหนูตันจูที่มอบให้องค์ชายสามก็จะส่งไปทันที
แม้แต่พระสนมสวีเสด็จแม่ขององค์ชายสามยังไม่อาจบัญชาการทหารส่งจดหมายได้ พระสนมสวีทำได้เพียงรับรู้ทิศทางการเคลื่อนไหวขององค์ชายสามจากฮ่องเต้เท่านั้น
เฉินตันจูได้ใจ “เรียกว่ารบกวนได้อย่างไร ข้าเป็นกังวลเกี่ยวกับองค์ชายสามเพราะเป็นเรื่องใหญ่ของบ้านเมือง”
จู๋หลินหัวเราะเย้ยหยันภายในใจ ครุ่นคิดเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองอย่างการกินผลซานจาในวัดถิงอวิ๋นหรือ?
เฉินตันจูไม่สนใจเขา นางพูดไม่ผิด ความปลอดภัยขององค์ชายสามเป็นเรื่องใหญ่ของบ้านเมือง เพียงแต่นางตัวคนเดียว เสียงไม่สำคัญ หากบอกว่าสงสัยอาการประชวรขององค์ชายสามยังไม่หายดี คงไม่มีผู้ใดเชื่อนาง…อันที่จริงคนจำนวนมากล้วนบอกว่าไม่เป็นอันใด ทำให้ตัวนางเองไม่เชื่อมั่นในตัวเองมากนัก
ตอนนั้นสัมผัสเป็นระยะเวลาอันสั้น อาจเป็นความผิดพลาดของนาง หรืออาจเป็นเพราะร่างกายขององค์ชายสามเพิ่งหายดี ยังอ่อนแอ จึงยังทิ้งร่องรอยของอาการ
สิ่งที่นางทำได้คือรับรู้ทิศทางขององค์ชายสามให้มาก รวมทั้งให้แม่ทัพหน้ากากเหล็กจับตาดูเอาไว้…แม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นท่านแม่ทัพที่ทั้งระแวงและระมัดระวัง เขาไม่มีทางปล่อยความผิดปกติแม้แต่น้อยผ่านไป
เฟิงหลินไม่สนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองหรือไม่ เขาเพียงแค่ทำตามคำสั่ง ส่งข่าวทิศทางขององค์ชายสามมาอย่างต่อเนื่อง
เฉินตันจูนั่งอยู่ในอารามดอกท้อ แต่ราวกับติดตามองค์ชายสามตลอดทาง พบเจอลมฝน ข้ามผ่านคูเมือง ปักหลักตามด้านนอก
ระหว่างนี้นางยังเขียนจดหมายให้องค์ชายสาม ถามไถ่ร่างกายของเขา องค์ชายสามตอบจดหมายของนาง อีกทั้งยังแนบผลตรวจจากหมอหลวงที่ติดตามมาให้นาง
เมื่อจดหมายฉบับนี้ส่งมาถึง องค์ชายสามก็เสด็จเข้าเมืองฉีพอดี
เฉินตันจูนั่งอยู่ริมบ่อน้ำ ถือผลตรวจไว้ตรงหน้า มองแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิที่สาดส่องลงมาท่ามกลางป่าไม้ ครุ่นคิดถึงแต่ก่อนก็เป็นเช่นนี้ เพื่อไม่ให้นางเป็นกังวล องค์ชายสามให้นางดูประวัติการรักษาโดยตรง ราวกับทุกสิ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งเห็นตัวอักษรขนาดเล็กท้ายใบตรวจว่า หนิงหนิงคัดลอก…
เฉินตันจูก้มหน้าวางผลตรวจลง
“คุณหนู” อาเถียนเด็ดดอกไม้ป่ากลับมาหนึ่งตะกร้า เห็นเฉินตันจูวางจดหมายในมือลง รีบชี้ไปด้านข้าง “คุณหนูจะตอบจดหมายขององค์ชายสามหรือเจ้าคะ”
ริมบ่อน้ำจัดวางโต๊ะและเบาะรองนั่ง พู่กัน หมึกและกระดาษล้วนเตรียมพร้อม
เฉินตันจูครุ่นคิด ส่ายหัวก่อนจะพยักหน้า “ข้าไม่เขียนให้องค์ชายสามแล้ว รู้ว่าเขาสบายดีก็พอ” นางนั่งลง “ถึงเวลาเขียนหาท่านพี่แล้ว”
เมื่อได้ยิน ดวงตาของอาเถียนฉายแววกังวล คุณหนูคงไม่พอใจแล้ว ไม่ยอมตอบจดหมายขององค์ชายสาม ตอนที่รับจดหมาย คุณหนูดีใจอย่างมาก อีกอย่าง เขียนจดหมายให้คุณหนูใหญ่ เฮ้อ ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าอีกเรื่อง
สองปีนี้ คุณหนูมักเขียนจดหมายไปให้ทางซีจิงทุกเดือน อีกทั้งใช้ทหารส่งจดหมายผ่านทางจู๋หลิน แต่ไม่เคยได้รับการตอบกลับแม้แต่ฉบับเดียว
จดหมายย่อมไม่มีทางหาย อาเถียนเคยถามจู๋หลิน จู๋หลินบอกว่า จดหมายส่งตรงไปยังจวนองค์ชายหก จากนั้นคนทางนั้นจะส่งต่อให้ตระกูลเฉิน
เช่นนั้นย่อมเป็นนายท่านและคุณหนูใหญ่ไม่ตอบจดหมายให้คุณหนู ไม่ถือว่าคุณหนูเป็นคนในตระกูลอีกต่อไป
อาเถียนถือตะกร้าดอกไม้นั่งอยู่ด้านข้าง ก้มหน้า
เฉินตันจูยิ้มปลอบนาง “อย่าเศร้าโศกเลย ท่านพี่ไม่ตอบ แสดงว่าอยู่อย่างสุขสบาย”
ถึงแม้จะอยู่อย่างไม่สุขสบาย พวกเขาคงไม่ยอมให้นางรู้ เพราะว่าจะทำให้นางตำหนิตัวเอง เสียใจและกังวล
แต่ว่าไม่สุขสบายเพียงใดก็ไม่ถึงแก่ชีวิต มิฉะนั้นคนของจวนองค์ชายหกย่อมต้องมีข่าวส่งมา
“ไม่อาจบอกว่าไม่มีข่าวได้” เฉินตันจูพูดอีกครั้ง “ทหารที่ส่งจดหมายนำกลับมาหนึ่งประโยค”
คำพูดแสนธรรมดา บอกว่าคลอดบุตรแล้ว เป็นบุตรชาย
เมื่อนึกถึงเด็กที่ไม่เคยพบหน้า ถึงแม้จะเป็นบุตรของหลี่เหลียง แต่เขาก็เป็นสายเลือดของตระกูลเฉินเช่นเดียวกัน อาเถียนถอนหายใจ “ไม่รู้ว่าชื่ออันใด”
“ทหารผู้นั้นไม่รู้ชื่อของเด็ก ดังนั้นคงไม่ใช่คุณหนูใหญ่เป็นคนพูดเอง หากแต่ทหารผู้นั้นเห็นเอง”
“ท่านพี่ไม่อนุญาต เขาจะเห็นได้หรือ” เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม อาจเพราะยังไม่ได้ตั้งชื่อ เพราะอย่างไรเด็กคนนี้… “คงเดินได้แล้วกระมัง”
อาเถียนนับนิ้ว นางเข้าตระกูลเฉินก็รับใช้คุณหนูตันจูตลอด ไม่เคยเลี้ยงเด็กจึงไม่รู้ “คงเดินได้แล้วเจ้าค่ะ” ก่อนจะตั้งสติขึ้นพูดเรื่องเด็กตามคุณหนู “ไม่รู้ว่าหน้าตาเหมือน…”
เมื่อพูดออกมาก็แทบจะกัดลิ้นตัวเอง
พูดว่าเด็กหน้าตาเหมือนผู้ใด ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงบิดามารดา แต่บิดาของเด็กผู้นี้ไม่ต้องพูดถึง
หากหน้าตาเหมือนหลี่เหลียงคงลำบากใจไม่น้อย แต่หากหน้าตาไม่เหมือนหลี่เหลียง เขาก็ยังเป็นบุตรของหลี่เหลียง
เฉินตันจูยิ้ม “ท่านพี่เลี้ยงดูบุตร ย่อมต้องเลี้ยงได้ดี ไม่ต้องถามว่าพวกเขาเป็นอย่างไร” นางยกพู่กันขึ้นเขียน เพียงแค่เขียนว่าตนเองเป็นอย่างไร…แต่ราวกับไม่มีสิ่งใดเขียนได้ สุดท้ายมีเพียงประโยคเดียว อากาศอบอุ่นขึ้น ดอกไม้เบ่งบานแล้ว นางสบายดี
จู๋หลินยืนอยู่บนต้นไม้ มองดูนายบ่าวที่นั่งอยู่ริมน้ำ
จางเหยาไปแล้ว องค์ชายสามไปแล้ว โจวเสวียนไม่มาอีก องค์หญิงจินเหยาอยู่ในพระราชวัง คุณหนูหลิวเวยและคุณหนูหลี่เหลียนต่างมีเรื่องของตนเอง ภูเขาดอกท้อยังคงไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามา หญิงสาวทั้งสองนั่งอยู่ท่ามกลางป่าไม้ที่แสนสงบ ยิ่งมองยิ่งโดดเดี่ยว
อาเถียนยืนขึ้น ทำลายความเงียบเหงาของป่าไม้ ถือจดหมายโบกขึ้นกลางอากาศ พลางตะโกน “จู๋หลิน…”
เสียงส่งมาตามสายลม นกในป่าไม้ตกใจจนบินหนี จู๋หลินเข้ามาดุจดั่งนก จากนั้นส่งจดหมายนี้ออกไปดุจดั่งนก
…
ซีจิงเต็มเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศแห่งฤดูใบไม้ผลิ หลังจากฝนตกหลายรอบ ชุมชนไท่ผิงปกคลุมไปด้วยสีเขียว
โอรสแห่งสวรรค์ย้ายไป ผ่านพ้นช่วงโกลาหลในตอนแรก เหล่าราษฎรควรใช้ชีวิตอย่างไรก็เป็นไปดังนั้น ภายในชุมชนฟื้นคืนความคึกคักเหมือนเคย
ชายที่แต่งตัวเป็นบัณฑิตผู้หนึ่งขี่ลาตัวหนึ่งเดินส่ายไปมา เขาเดินทางมาถึงหน้าร้านค้าแห่งหนึ่ง หยุดลงชี้ไปยังกังหันลมกระดาษสีรุ้งที่หมุนอยู่ “พ่อค้าอันนี้…”
พ่อค้าในร้านมองเขา เมื่อเห็นคนผู้นี้รูปลักษณ์ไม่ดี แต่งกายธรรมดา จึงพูดอย่างเกียจคร้าน “หนึ่งอันหนึ่งตำลึง เป็นฝีมือที่ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ…”
บัณฑิตขัดเขาด้วยรอยยิ้ม “ข้าเอาทั้งชั้นนี้”
คนมีเงินหรือ! พ่อค้ายืนตัวตรงขึ้นมาทันที ก่อนจะเค้นยิ้มบนใบหน้าลากเสียงยาว “ได้ขอรับ ท่านรอก่อน ข้าจะนำลงมาให้ท่าน”
บัณฑิตไม่ต่อความกับพ่อค้าที่แสดงลักษณะท่าทางก่อนหลังต่างกัน เขาให้เงินด้วยรอยยิ้ม ถือกังหันลมยี่สิบสามสิบตัวเดินทางต่อ
บัณฑิตเดินทางผ่านตัวเมืองออกไปด้านนอก ออกจากถนนเส้นใหญ่เดินขึ้นถนนเส้นเล็ก ก่อนจะมาถึงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง เมื่อเห็นเขามา เด็กๆ ที่เล่นอยู่ในหมู่บ้านต่างส่งเสียงร้องพร้อมทั้งกระโดดล้อมเข้ามาด้วยความดีใจ มีคนปรบมือเมื่อเห็นกังหันลม มีคนเป่าลมไปยังกังหันลมอย่างแรง หมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที
บัณฑิตนำกังหันลมลงมา “คนละอัน” เด็กๆ แตกตื่นในทันที พวกเขากรูกันเข้ามาเสียงดัง บัณฑิตหัวเราะแจกจ่ายกังหันลม เหลือไว้เพียงหนึ่งอัน ก่อนจะเดินทางต่อ
ทันใดนั้นทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยเด็กๆ ที่ถือกังหันลมวิ่งเล่น คนในหมู่บ้านที่เห็นบัณฑิตผู้นี้ต่างเผยรอยยิ้ม “หยวนไต้ฟูมาแล้วหรือ”
“หยวนไต้ฟูเสียเงินแล้ว”
บัณฑิตพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นอันใด ไม่เป็นอันใด มาดูเด็กๆ ล้วนเป็นเด็กๆ”
คนในหมู่บ้านยิ้มอย่างดีใจยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีคนพูดขึ้น “เด็กตระกูลเฉินยังเล่นอยู่ด้านนอกก่อนหน้านี้”
บัณฑิตกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินไป คนในหมู่บ้านพูดเสียงเบาอยู่ริมทาง “หยวนไต้ฟูเป็นคนมีเมตตาเสียจริง”
“เด็กตระกูลเฉินโชคดี ตอนที่คลอดนั้นพบเข้ากับหยวนไต้ฟู”
“อีกทั้งยังมักจะกลับมาเยี่ยม เด็กคนนั้นถูกเลี้ยงอย่างแข็งแรง”
“ไม่เพียงเด็กคนนั้น ปีกว่านี้เพราะมียาของหยวนไต้ฟู อาการข้าไม่กำเริบอีกเลย”
ตามเสียงพูดคุยของคนในหมู่บ้าน บัณฑิตเดินมาถึงหน้าจวนแห่งหนึ่ง ประตูกึ่งเปิดออก ภายในลานมีเสียงคนกำลังเลี้ยงไก่
หญิงสาวที่โพกผ้าไว้บนหัวกำลังถือถังไม้ถูกไก่ฝูงหนึ่งล้อมรอบ เมื่อได้ยินเสียงนอกประตู นางหันมามอง ทันใดนั้นเรียกขานขึ้นด้วยความดีใจ “หยวนไต้ฟู!” ไม่รอหยวนไต้ฟูทักทาย นางหันกลับเข้าไปด้านใน “คุณหนู หยวนไต้ฟูมาเจ้าค่ะ”
บัณฑิตปล่อยลาไว้ด้านนอกประตู ถือกังหันลมเข้าไป อีกด้านของลาน หญิงสาวผู้หนึ่งกำลังก้มตัวอุ้มเด็กในรถไม้ขึ้นมา ก่อนจะหันมาคำนับด้วยความซาบซึ้ง “หยวนไต้ฟู” สายตาจับจ้องไปยังกังหันลมในมือเขา “ท่านเสียเงินอีกแล้ว”
บัณฑิตหัวเราะร่า นำกังหันลมลงมา มอบชั้นไม้ให้หญิงสาวที่กำลังเลี้ยงไก่ “เสี่ยวเตี๋ย เจ้านำไปเป็นฟืน”
เสี่ยวเตี๋ยรับมาด้วยความดีใจ
“หยวนไต้ฟู ท่านนั่ง” เฉินตันเหยียนชี้ไปยังใต้ราวดอกไม้ในลาน ในขณะที่กำลังจะเรียกให้เสี่ยวเตี๋ยไปรินชา แต่นางก็พบว่าในมือของเสี่ยวเตี๋ยมีทั้งถังไม้มีทั้งชั้นไม้…
“มาๆ” บัณฑิตยื่นมือออกไป “ให้ข้าดูว่าเสี่ยวเป่าอ้วนขึ้นหรือไม่”
เด็กในอ้อมกอดของเฉินตันเหยียนประณีตดุจดั่งแกะสลัก ดวงตาของเขาจ้องมองเพียงกังหันลม
เวลานี้เห็นบัณฑิตยื่นมือมารับ เขาจึงส่งเสียงร้องเรียกออกมา
“เสี่ยวเป่ายอมพูดเมื่อเจอหยวนไต้ฟู” เสี่ยวเตี๋ยพูดด้วยความดีใจ
เฉินตันเหยียนส่งเด็กให้บัณฑิต พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าไปรินชาให้” พูดพลางเดินเข้าด้านใน เสี่ยวเตี๋ยรีบนำของในมือไปเก็บ
บัณฑิตมือหนึ่งอุ้มเด็ก อีกมือถือกังหันลม จากนั้นใช้ปากเป่า ต่อมาวิ่งอยู่ในลานแทน กังหันลมหมุนไปเรื่อยๆ เด็กน้อยหัวเราะเสียงดัง ลานที่เงียบสงบคึกคักอย่างมากในทันที
เฉินตันเหยียนถือชาวางไว้บนโต๊ะหิน เชิญเขาดื่มชา ก่อนจะรับเด็กกลับมาในอ้อมกอด
“คุณหนูตันเหยียนเลี้ยงบุตรได้ดี” บัณฑิตนั่งลง ยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ยกชาขึ้นดื่ม “ดีกว่าเด็กที่ครบเดือนเสียอีก ส่วนเรื่องพูด พวกท่านอย่ารีบร้อน ปากและลิ้นของเขาไม่มีปัญหา เพียงแค่เด็กพูดช้า”
เฉินตันเหยียนอุ้มบุตร พยักหน้า “ข้าไม่รีบ ถึงแม้เขาพูดไม่ได้ก็ไม่เป็นอันใด”
“คิดได้เช่นนี้ยิ่งดีเร็วขึ้น” บัณฑิตพูดอย่างชื่นชม
เวลานี้เสี่ยวเตี๋ยเดินเข้ามา “มีหยวนไต้ฟูอยู่ พวกเราไม่รีบแม้แต่น้อย อีกทั้ง โชคดีที่มีหยวนไต้ฟู คนในหมู่บ้านดีกับพวกเรามากขึ้น”
ในฐานะคนที่มาจากต่างถิ่น มีทั้งคนชราและเด็กเล็ก จึงยากที่จะหลีกเลี่ยงการถูกต่อต้าน
หยวนไต้ฟูพูด “ไม่ใช่เรื่องลำบาก ไม่ใช่เรื่องลำบาก” พูดถึงตรงนี้ เขาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ไม่พูดสิ่งใด เพียงแค่วางจดหมายไว้บนโต๊ะหิน จากนั้นสะบัดแขนเสื้อ ลุกขึ้นยืน “ข้าขอตัวก่อน จะเดินดูในหมู่บ้านว่าผู้ใดต้องการรักษา จะได้หาเงินที่ซื้อกังหันลมกลับมา”
เฉินตันเหยียนและเสี่ยวเตี๋ยล้วนยิ้ม ไม่ได้รั้งเขาเอาไว้ อุ้มเด็กส่งเขาออกจากประตู เมื่อเห็นบัณฑิตกำลังจะไป เด็กที่ตั้งใจเล่นกังหันลมเงยหน้าขึ้นมาโบกมือให้เขา
บัณฑิตยิ่งดีใจ โบกมือให้เด็กเช่นกัน “เจอกันครั้งหน้า”
เขาจากไปอย่างช้าๆ เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถูกคนในหมู่บ้านที่รออยู่ก่อนหน้านี้ล้อมเอาไว้ เฉินตันเหยียนเบนสายตากลับมาในลาน เสี่ยวเตี๋ยเดินตามมา รับเด็กมาจากมือของนาง เฉินตันเหยียนกลับมานั่งที่โต๊ะหิน หยิบจดหมายขึ้นมาแกะอ่าน
“คุณหนูรองว่าอย่างไรเจ้าคะ” เสี่ยวเตี๋ยอดถามไม่ได้ “คุณหนูรองสบายดีหรือไม่เจ้าคะ”
บนกระดาษแผ่นหนึ่งมีตัวหนังสือไม่มาก เฉินตันเหยียนอ่านจบอย่างรวดเร็ว พูด “ไม่ได้พูดอันใด บอกว่าสบายดี”
“สบายดีได้อย่างไร” เสี่ยวเตี๋ยพูด “บางคราข้าเข้าเมืองไป สามารถได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับคุณหนูรอง ข่าวลือเหล่านั้น…”
ข่าวลือเหล่านั้นไม่น่าฟังนัก นางหยุดลงไม่ได้พูดอีก
สีหน้าของเฉินตันเหยียนเงียบสงบ “ไม่สำคัญว่าจะน่าฟังหรือไม่ นางยังจะมีข่าวลือที่ไม่น่าฟังมากมายเพียงนี้ แสดงว่าสบายดีจริง หากวันใด ไม่มีข่าวลือ ไม่มีข่าวใดๆ เช่นนั้นคงจะแย่”
ก็สมเหตุสมผล เสี่ยวเตี๋ยถามเสียงเบา “คุณหนู ยังคงไม่ตอบจดหมายของคุณหนูรองหรือเจ้าคะ”
เฉินตันเหยียนพับจดหมายเก็บ พูด “ไม่มีสิ่งใดต้องพูด หากบอกว่าพวกเราสบายดี นางคงไม่เชื่อ บอกว่าเราไม่สบาย นางจะทำอย่างไรได้ มีเพียงทำให้นางกังวลเท่านั้น”
เหมือนดั่งที่เฉินตันจูมักเขียนจดหมายว่าสบายดี พวกนางจะคิดว่าเฉินตันจูสบายดีจริงหรือ
หากเฉินตันจูไม่สบาย พวกนางก็ช่วยสิ่งใดไม่ได้ พูดแล้วจะมีประโยชน์อันใด
เสี่ยวเตี๋ยถอนหายใจเสียงเบา “แค่รู้สึกว่า คุณหนูตันจูโดดเดี่ยวตัวคนเดียว น่าสงสาร”
เฉินตันเหยียนยิ้ม “ไม่ต้องกลัว พวกเรายังอยู่ นางรู้ ใจของนางย่อมไม่โดดเดี่ยว” พูดพลางยื่นมือ “มา เฉินเสี่ยวหยวน มาให้แม่กอด”
เด็กน้อยไม่มีปฏิกิริยาต่อคำเรียกนี้มาก เขาอยู่อย่างเงียบๆ ตั้งใจเล่นกังหันลมเมื่อถูกส่งมา
เฉินตันเหยียนอุ้มเขา เล่นกังหันลมกับเขา “สีนี้คือสีอันใด”
“เป่าหน่อย” นางพูดเสียงกระซิบ
เสี่ยวเตี๋ยมองคู่แม่ลูกที่อยู่ใต้ราวดอกไม้ในลาน นางถอนหายใจในใจอีกครั้ง ใช่ สองปีนี้ไม่มีใครอยู่อย่างง่ายดาย ถึงแม้พวกเขาไม่เคยส่งข่าวให้คุณหนูรองแม้แต่น้อย แต่พวกเขาก็เคยประสบกับช่วงเวลาอันตรายอย่างมาก อาทิตอนที่เฉินตันเหยียนคลอดเด็กคนนี้ เกือบจะต้องตายทั้งแม่ทั้งลูกแล้ว