ตอนที่ 322 จ่ายเงินเดือนให้พนักงาน
ขณะที่หลินม่ายเดินเข้าไป โต้วโต้วฉีฉีและอาหวงก็กำลังเล่นกันอยู่ในบ้าน โดยมีจ้วงจ้วงหลานชายอายุ 5 ขวบของป้าติงเป็นหัวโจก
โต้วโต้วและฉีฉีต่างก็คาบอมยิ้มไว้คนละแท่ง แต่จ้วงจ้วงกลับไม่มี
เขามองอมยิ้มในปากของโต้วโต้วกับฉีฉีเป็นครั้งคราวด้วยความอยากกิน แล้วลอบกลืนน้ำลาย
หลินม่ายเห็นก็เข้าใจทันที ป้าติงใช้เงินที่เธอให้ไว้ซื้อขนมซื้อขนมให้แค่โต้วโต้วกับฉีฉีเท่านั้น โดยไม่ได้ซื้อให้หลานชายของตนเลย
แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นคนเจ้าเล่ห์หรือชอบกินเล็กกินน้อย ก็คงจะแอบซื้ออมยิ้มให้หลานของตัวเองสักแท่งหนึ่งลับหลังไปแล้ว
เรื่องเงินไม่กี่เฟิน ใครจะไปติดใจเอาความ!
แต่ป้าติงกลับไม่สนใจว่าจะติดใจหรือไม่ หล่อนทำลงไปด้วยความมีมโนธรรม ไม่ละโมบคิดเอาเปรียบแม้แต่เฟินเดียว
มีผู้ใหญ่เป็นอย่างไร เด็กก็จะเป็นอย่างนั้น
หากผู้ใหญ่ประพฤติตัวดี ตั้งอยู่ในคุณธรรม พฤติกรรมของเด็กก็จะดีไปด้วย
จ้วงจ้วงพยายามดูแลโต้วโต้วและฉีฉีอย่างเต็มที่ ปกป้องคุ้มครองพวกเขาอย่างระมัดระวัง ด้วยกลัวว่าพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บ
หลินม่ายเรียกอย่างอ่อนโยน “โต้วโต้ว ฉีฉี กลับบ้านได้แล้วจ้ะ”
โต้วโต้วและอาหวงรีบวิ่งเข้ามาหาเธออย่างร่าเริงทันที
ฉีฉีนิ่งค้างอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะวิ่งมาหาเธอด้วยความดีใจเช่นกัน
ป้าติงที่กำลังยุ่งอยู่ในห้องครัวได้ยินเสียงของหลินม่ายก็รีบเดินออกมา ยิ้มพลางพูด “มารับเด็กๆ แล้วเหรอจ๊ะ!”
หลินม่ายตอบรับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงพูดขึ้น “ป้าติง เวลาซื้อขนมให้โต้วโต้วกับฉีฉี ก็ซื้อให้จ้วงจ้วงด้วยเลยสิคะ”
เด็กสองคนมีขนมกิน มีแต่จ้วงจ้วงที่ไม่มี ช่างน่าสงสารจริง เขาเป็นแค่เด็ก 5 ขวบเท่านั้นเอง
ป้าติงพูดอย่างเคร่งขรึม “แบบนั้นไม่ได้หรอก! บ้านเราไม่มีเงินซื้อขนมให้จ้วงจ้วง เขาก็อดทนเอาไว้ ถ้าอยากกิน ต่อไปโตขึ้นแล้วขยันหาเงินซื้อกินเอง เอาแต่รอกินของคนอื่นประเดี๋ยวจะไม่มีอนาคต!”
หลินม่ายหัวเราะ
ในเมื่อป้าติงมีวิธีการสองสั่งลูกหลานในแบบของหล่อน เธอก็เลือกที่จะเคารพมัน
เธอจูงมือเด็กคนหนึ่งกลับบ้าน โดยมีอาหวงตามพวกเขามาติดๆ
ฉีฉีเอียงดวงหน้าเล็กถาม “น้าหลิน แม่ของผมล่ะฮะ?”
“แม่ของหนูกลับบ้านใหม่แล้วจ้ะ อีกเดี๋ยวเลิกงานตอนบ้านถึงจะมารับหนู ตอนเที่ยงหนูก็กินข้าวด้วยกันกับพวกเรานะจ๊ะ”
ฉีฉีได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้งอแง
ช่วงที่อยู่ในบ้านของหลินม่าย เขาก็คุ้นเคยกับหลินม่ายและคนอื่นๆ แล้ว
ตอนที่ผู้ใหญ่หนึ่งเด็กสองและสุนัขอีกหนึ่งตัวมาถึงบ้าน ฟางจั๋วหรานก็อยู่ที่บ้านแล้ว และกำลังเตรียมอาหารเที่ยงอยู่ในห้องครัวพอดี
หลินม่ายพับแขนเสื้อขึ้นกำลังจะทำอาหารเที่ยง
ทว่าฟางจั๋วหรานไม่ยอมให้ทำ “สองสามวันมานี้คุณเหนื่อยมากแล้ว อาหารเที่ยงมื้อนี้ให้ผมทำเองเถอะ ผมทำอาหารเป็น”
“ถึงทำเป็นก็ให้คุณทำไม่ได้หรอก บางทีคุณอาจจะทำอาหารไม่อร่อยก็ได้ เกิดเจ้าหนูน้อยสองคนไม่ชอบกินจะทำยังไง? ให้ฉันทำดีกว่าน่า อีกอย่างนะ ถึงฉันจะเหนื่อยยังไง ก็คงไม่เหนื่อยเท่าอาจารย์ภาควิชาศัลยศาสตร์อย่างคุณหรอกค่ะ คุณไปนั่งพักผ่อนเถอะ”
หลินม่ายมือไม้เป็นพัลวัน ทำอาหารเที่ยงเสร็จด้วยความรวดเร็ว
มีมะเขือเทศผัดไข่ หมูเส้นผัดพริกหยวก ยำสาหร่ายและแกงจืดลูกชิ้นเต้าหู้
กินข้าวกันเสร็จ ฟางจั๋วหรานก็รีบแย่งเก็บจานไปล้างทันที
เมื่อออกมาจากห้องครัว เขาก็ไม่เห็นหลินม่าย เห็นเพียงโต้วโต้วกับฉีฉีที่กำลังเล่นบล็อกตัวต่อไม้อยู่บนโซฟา
ฟางจั๋วหรานถามโต้วโต้ว “แม่ของหนูล่ะ?”
เด็กน้อยทั้งสองชี้ไปทางห้องนอนของหลินม่ายอย่างพร้อมเพรียง
“พวกหนูเล่นกันอีกเดี๋ยว แล้วไปนอนกลางวันกันนะ” ฟางจั๋วหรานพูดจากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องนอนของหลินม่าย
หลินม่ายกำลังหลับสนิทอยู่เตียง
ฟางจั๋วหรานนั่งอยู่ข้างเตียง มองดูใบหน้ายามหลับใหลของเธอ ยิ่งมองก็ยิ่งสวย จนอดก้มหน้าลงไปจูบไม่ได้
ริมฝีปากของสาวน้อยคนนี้หอมหวานจริงๆ จูบแล้วก็ยังอยากจูบอีก
แต่เขาก็ไม่กล้าจูบลงไปอีกครั้ง ด้วยกลัวว่าจะทำให้เธอตื่น
ดูจากท่าทางที่แสนเหน็ดเหนื่อยของเจ้าหล่อน เขาก็อยากจะให้เธอได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
หลังจากหลับไปหนึ่งตื่น หลินม่ายก็รีบไปที่โรงงานเสื้อผ้า เพื่อนำเงินเดือนในเดือนนี้ของพนักงานส่งเสริมการขายทั้งสามคนที่ประจำอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าซือเหมินโข่วไปให้พวกหล่อน
วันที่หลินม่ายจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานทั้งหมดนั้นกำหนดไว้เป็นวันสุดท้ายของทุกเดือน
แม้ว่าพนักงานส่งเสริมการขายสองสามนี้จะทำงานแค่ไม่กี่วัน แต่ก็ต้องจ่ายเงินเดือนให้
สถานที่ทำงานของพวกหล่อนอยู่ไกลจากโรงงานเสื้อผ้าอย่างมาก ทำให้ไม่สะดวกที่จะให้ไปรับเงินเดือนในโรงงาน ดังนั้นหลินม่ายจึงต้องนำไปให้พวกหล่อนเอง
เมื่อมาถึงแผนกบัญชีของโรงงานเสื้อผ้า หลินม่ายตรวจสอบบัญชีของพวกทังชุ่นอิงทั้งสามคนก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อพบว่ารายการบัญชีชัดเจนไม่คลุมเครือ เธอจึงพอใจอย่างมาก
เธอเบิกเงินเดือนของพนักงานส่งเสริมการขายทั้งสามของร้านที่ห้างสรรพสินค้าซือเหมินโข่วแล้วรีบไปยังห้างซือเหมินโข่วทันที
ทันทีเข้าไปในห้างซือเหมินโข่ว เธอก็พบเข้ากับผู้จัดการหยาง
ผู้จัดการหยางเห็นเธอก็แย้มยิ้มสดใส “สองวันมานี้ไม่เห็นคุณเลยนะครับ?”
หลินม่ายตอบด้วยรอยยิ้ม “แอบอู้งานอยู่ที่บ้านน่ะสิคะ!”
ทั้งสองเอ่ยทักทายกันสองสามประโยค แล้วต่างคนก็ต่างเดินแยกกันไป
เมื่อหลินม่ายมาถึงโซนของร้านตัวเอง เหล่าพนักงานขายต่างก็ทักทายเธอด้วยรอยยิ้ม
หลินม่ายหยิบซองจดหมายสามซองในกระเป๋าหนังออกมาแล้วเขย่า “สาวๆ รับเงินเดือนได้แล้ว”
เหล่าเด็กสาวห้อมล้อมเข้ามาด้วยความตื่นเต้นระคนขวยเขิน
หลินม่ายแจกเงินเดือนให้กับพนักงานทั้งสามคนตามชื่อที่อยู่บนซอง
เด็กสาวทั้งสามเปิดซองชำเลืองมองธนบัตรที่อยู่ด้านในนั้นอย่างแทบทนรอไม่ไหว
นี่แค่มาทำงานไม่กี่วัน ก็มีธนบัตรใบใหญ่ 8 ใบแล้ว ยังไม่นับเศษอีกกี่หยวนกี่เหมาเลย!
เหล่าพนักงานขายล้วนรู้สึกดีอกดีใจอย่างยิ่ง
ได้เงินเดือนสูงขนาดนี้ ใครจะไม่ดีใจกัน!
แต่นอกจากความดีใจแล้ว สาวๆ ก็ยังกังวลใจเล็กน้อยว่าช่วงที่ธุรกิจดีอาจเป็นเพียงดอกถานฮวาชั่วค่ำคืน(1)เท่านั้น
เพราะหลังจากเปิดร้านมา ยอดขายก็มีแต่จะลดลงทุกวัน
หากเป็นอย่างนี้ต่อไป จะเป็นเหมือนเสื้อผ้าของรัฐวิสาหกิจร้านอื่นๆ ในห้างที่ขายได้แค่วันละร้อยสองร้อยตัวหรือเปล่า?
หากยอดขายเสื้อผ้าไม่เพิ่มขึ้น พวกหล่อนก็คงไม่มีทางได้รับเงินเดือนสูงไปตลอดทุกเดือน
หลินม่ายฟังความกังวลของพวกหล่อนแล้ว ก็พูดด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจเต็มร้อย “มันจะไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอก ไม่กี่วันมานี้เป็นวันทำงาน ลูกค้าที่มาเดินห้างมีไม่ถึงครึ่งของช่วงวันหยุดด้วยซ้ำ แต่เสื้อผ้าของร้านเราก็ยังสามารถรักษายอดขายได้ถึงเจ็ดร้อยกว่าตัวต่อวัน เท่านี้ก็พอใช้ได้แล้วล่ะ แต่ต่อให้ถึงวันเสาร์แล้วยอดขายจะตกไปถึง 500 ตัวต่อวัน มันก็ยังขายดีกว่าเสื้อผ้ายี่ห้อรัฐวิสาหกิจอื่นๆ พวกนั้นอยู่ดี อีกอย่างวันอาทิยต์ก็ยังสามารถเร่งทำยอดได้อีก ขอแค่พวกคุณตั้งใจทำ อย่างมากแค่ไหนนั้นฉันคงรับรองไม่ได้ แต่ฉันรับประกันค่าจ้างประมาณ100หยวนต่อเดือนกับพวกคุณได้เลย ที่ทำงานไม่กี่วันก็ได้เงินเดือนแปดเก้าสิบหยวนเหมือนกับครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษ คงจะไม่มีบ่อยนัก แต่ในวันหยุดและวันเทศกาลสำคัญ อย่างเช่นวันชาติ วันปีใหม่และวันตรุษจีนก็อาจมีได้อีกนะคะ”
เมื่อพนักงานเหล่านั้นได้ยินคำพูดของหลินม่าย ต่างก็กระตือรือร้นขึ้นมาเต็มที่
ในยุคนี้ เงิน 100 หยวนเป็นเงินเดือนที่สูงทีเดียว ได้เงินเดือนประมาณ 100 หยวนทุกเดือนก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วล่ะ
ฟางถิงกำลังขายเสื้อผ้าอยู่ที่ร้านข้างเคียง
ขณะหลินม่ายพูดคุยกับพนักงานขายทั้งสามของเธอ หล่อนก็วิ่งเข้ามาประสมโรงด้วย
เมื่อเห็นพนักงานขายเพิ่งมาทำงานไม่กี่วันก็ได้เงินไม่น้อยแล้ว จึงเกิดความอิจฉาขึ้นมา
แล้วยังได้ยินคำพูดนั้นของหลินม่ายก็ยิ่งรู้สึกล่อใจ
หล่อนดึงมือของหลินม่ายแล้วเขย่าพลางพูด “ม่ายจื่อ ฉันอยากทำงานให้เธอ ฉันอยากเป็นพนักงานขายของเธอ”
แม้ฟางถิงจะโตกว่าเธอ แต่หลินม่ายก็ปฏิบัติกับหล่อนเหมือนกับเป็นน้องสาวตัวน้อยอย่างไรอย่างนั้น
เธอตบมือของหล่อนเบาๆ แล้วพูดอย่างตามใจ “ก็ได้ๆ หยุดโวยวายได้แล้ว อยากได้เสื้อผ้าชุดไหนก็ไปหยิบเอาเลย ให้พี่สาวพนักงานขายเช็คสักหน่อยก็พอแล้ว”
ฟางถิงมุ่ยปาก “ฉันพูดจริงจังนะ”
หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันเองก็พูดจริงจังเหมือนกันนะ” พูดจบเธอก็จากไปทันที
ทางเส้นนี้ไกลมาก เธอต้องรีบกลับบ้าน
ตอนที่กลับมาถึงบ้านก็เกือบห้าโมงเย็นแล้ว เจิ้งซวี่ตงวิ่งมาบอกเธอว่าเพิ่งมีคนของหนังสือพิมพ์มาหา ต้องการคุยกับเธอเรื่องค่าชดเชยด้านจิตใจ แต่เธอไม่อยู่บ้าน
เจ้าตัวจึงฝากข้อมูลการติดต่อของตัวเองเอาไว้ ให้เขาส่งให้กับหลินม่าย
หลินม่ายรับบันทึกที่เจิ้งซวี่ตงยื่นให้เธอมาอ่านดู
มันคือข้อมูลการติดต่อของสำนักหนังสือพิมพ์นั้น ที่หวังหรงหลอกให้มาเขียนกระทู้ทำลายชื่อเสียงของเธอโดยไม่เคยตรวจสอบก่อน จนถูกเธอฟ้องร้องต่อศาลไป
เพราะงานยุ่งอยู่ทุกวี่ทุกวัน หลินม่ายจึงลืมเรื่องนี้ไปตั้งนานแล้ว ไม่นึกว่าเขาจะยังมาพบเธอ
………………………………………………………………………………………………………………………….
(1) ดอกถานฮวาชั่วค่ำคืน หมายความว่าช่วงเวลาแห่งความสุขที่อยู่เพียงชั่วคราวไม่ยั่งยืน ถานฮวาหรือราชินีรัตติกาลเป็นดอกไม้สีขาวตระกูลกระบองเพชรที่บานในตอนกลางคืน แต่มีระยะเวลาบานเต็มที่เพียง 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น พอถึงรุ่งเช้าก็เหี่ยวแห้งไป จึงเกิดเป็นสำนวนว่าดอกถานฮวาชั่วค่ำคืน
สารจากผู้แปล
พี่หมอยั้งใจไว้หน่อยค่ะ ม่ายจื่อยังอายุไม่ถึงยี่สิบนะ ไม่อยากให้พี่ได้ตั๋วบินไปห้องกรง
ไหหม่า(海馬)