สืออีเหนียงยิ้มขึ้นพร้อมกับตอบกลับไปว่า “จริงใจแค่ไหนนั้นข้าดูไม่ออก แต่คนจวนสกุลจัวอยากที่จะดองกับตระกูลเรานั้นคือเรื่องจริงเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ แล้วจึงพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้จวนเฉินเก๋อเหล่าจะสู่ขอสะใภ้ไม่ใช่หรือ ตอนเจ้าไปก็อย่าลืมไปทักทายหลี่ฮูหยินกับสะใภ้สามสกุลโจวด้วย เล่าเรื่องที่จวนสกุลจัวอยากดองกับตระกูลเราออกไป”
สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจ
ไท่ฮูหยินจึงยิ้มพร้อมกับอธิบายว่า “วันนี้นางมาส่งของขวัญเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างด้วยตัวเอง อีกทั้งยังจะเจอเจินเจี่ยเอ๋อร์ให้ได้ ผู้อื่นไม่รู้ก็ดีไปแต่หากรู้เรื่องเข้า เกรงว่าผู้อื่นจะคิดว่าเราสองตระกูลกำลังจะมีข่าวดีเร็วๆ นี้”
สืออีเหนียงจึงเข้าใจขึ้นมาทันที นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะเล่าถึงเรื่องนี้ให้หลี่ฮูหยินและสะใภ้สามสกุลโจวฟัง ก็เป็นเพียงคำซุบซิบนินทาของเหล่าสตรีเท่านั้น เชื่อถือไม่ได้อยู่ดี”
“ก็เพราะด้วยเหตุนี้” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเพียงแค่อย่าพูดเกินไปก็พอ หากงานแต่งนี้ไม่สำเร็จลุล่วง ตัวเองจะได้ไม่หล่นลงไปในหลุมพรางด้วย”
หากว่าพูดจนถึงขั้นนี้แล้ว แต่ถึงเวลางานแต่งกลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด ทุกคนก็จะพากันเดาส่งเดชว่าตนนั้นไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงในบ้านหลังนี้
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับขานรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็มีบ่าวรับใช้ชายเข้ามา “พ่อบ้านไป๋บอกว่าคนที่ท่านโหวให้ไปสืบถามข่าวกลับมาถึงแล้ว จะให้เข้ามารายงานเลยหรือว่าให้ป้ารับใช้ไปซักถามดีขอรับ”
ไท่ฮูหยินยิ้มขึ้นพร้อมกับพูดว่า “ข้าก็อายุตั้งเท่านี้แล้ว ให้เขาเข้ามารายงานเลยก็แล้วกัน!”
บ่าวรับใช้ชายจึงขานรับพร้อมกับถอยออกไป ในห้องนอกจากป้าตู้และบ่าวรับใช้ที่อายุราวห้าสิบปีอยู่ปรนนิบัติแล้ว คนอื่นๆ ก็พากันถอยออกไปจนหมด
สืออีเหนียงให้หู่พั่วอยู่เป็นเพื่อนนางที่ห้องปีกทิศตะวันตก ในห้องเงียบสนิท ได้ยินบทสนทนาในห้องโถงอย่างชัดเจน
“ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่กิ่งก้านสาขาของจวนสกุลหวัง แต่ก็เป็นถึงเรือนเอก ท่านปู่เคยดูแลกรมพระราชวังมาก่อน พอมาถึงรุ่นของคุณชายหวัง มีพี่น้องทั้งหมดห้าคน เขาอยู่ลำดับที่สอง ท่านอาห้าของคุณชายหวังเป็นทูตฝ่ายปกครองมณฑลฝูเจี้ยน ครั้งหนึ่งบิดาของคุณชายหวังก็เคยสอบบัณฑิตซิ่วไฉได้ ต่อมาสนามสอบก็ไม่ค่อยเป็นที่น่าพึงพอใจเท่าไรนัก ห้าปีก่อนจึงรับกิจการห้องคุมสอบมาทำ คอยดูแลกรมราชกิจภายใน มารดาเป็นคนเป่าติ้ง บ้านฝั่งสกุลเดิมก็เป็นตระกูลผู้ดีชนชั้นสูง หลังจากที่แต่งเข้ามาแล้วก็ได้ให้กำเนิดสามบุตรีและหนึ่งบุตรชาย เป็นคนที่ถ่อมตัวและจิตใจดี ถือเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงด้านคุณธรรมอันดีงามในเหล่าบรรดาสะใภ้ด้วยกัน บุตรสาวทั้งสาม คนหนึ่งแต่งไปที่เป่าติ้ง คนหนึ่งแต่งงานกับหลานชายใต้เท้าหลี่ผู้ช่วยแห่งศาลต้าหลี่ ส่วนอีกคนแต่งกับบุตรชายของใต้เท้าหันแห่งสำนักศึกษาฮั่นหลินย่วน ล้วนแล้วแต่เป็นผู้รากมากดีที่พื้นหลังขาวสะอาด ถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรม นายท่านหวังมักคอยเข้มงวดกวดขันกับคุณชายหวังมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าคุณชายหวังจะอายุยังน้อย แต่อากัปกิริยากลับสงบและสุขุม ก่อนหน้านี้เขาศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาชาติวงศ์ของจวนสกุลหวัง ต่อมาก็ได้ติดตามใต้เท้าหันมาศึกษาที่สำนักศึกษาฮั่นหลินย่วน ปีที่แล้วเพิ่งจะสอบบัณฑิตรุ่นเยาว์ได้ ข้างกายมีสาวใช้ที่ติดตามปรนนิบัติตั้งแต่ยังเด็ก โตกว่าคุณชายหวังสามปีเห็นจะได้ขอรับ”
ไท่ฮูหยินตกรางวัลให้เขาหนึ่งตำลึงแล้วจึงให้ถอยออกไป จากนั้นก็หันมาถามสืออีเหนียงว่า “เจ้าว่าควรทำอย่างไรดี”
สืออีเหนียงกำลังนึกถึงสาวใช้ที่อายุมากกว่าคุณชายหวังสามปี…แต่ก็คิดได้ในทันทีว่าสำหรับไท่ฮูหยินแล้ว นี่ไม่ถือว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใด นางจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร”
“ไม่ได้ให้เจ้าไปหมั้นหมายตอนนี้เลยเสียหน่อย” ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นต่อไปว่า “เจ้าหนูสี่ไม่อยู่จวนพอดี เจ้าควรจะออกไปดูข้างนอกเสียหน่อย” จากนั้นก็ได้พูดคุยถึงเรื่องราวข่าวคราวการแต่งงานของผู้คนทั่วๆ ไป รอจุนเกอเลิกเรียนมาแล้ว ก็ได้ถามไถ่ถึงสถานการณ์การเรียนกับจุนเกออยู่ครู่หนึ่ง
จุนเกอตอบกลับด้วยสีหน้าท่าทีที่ร่าเริงเป็นอย่างมาก สืออีเหนียงจึงค่อยรู้สึกคลายกังวลใจลง
จากนั้นฮูหยินสองก็ได้พาเจินเจี่ยเอ๋อร์ สวีลิ่งควนและฮูหยินห้าที่กำลังอุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์มาหาพอดี เมื่อรู้ว่าสวีลิ่งอี๋ออกเดินทาง ทุกคนจึงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก รอให้สวีซื่ออวี้และสวีซื่อเจี้ยมาถึง ทุกคนก็ได้พากันทานอาหารด้วยกันอย่างมีความสุข จากนั้นฮูหยินสองก็ได้พาเจินเจี่ยเอ๋อร์อยู่ปรนนิบัติไท่ฮูหยินเข้านอนพักผ่อน ส่วนคนอื่นๆ ก็พากันแยกย้ายกลับเรือนของตนเอง
ขณะที่สืออีเหนียงเพิ่งจะก้าวเท้าเข้าไปในเรือน เหวินอี๋เหนียงและเฉียวอี๋เหนียงก็มาหาพอดี
ทั้งสองเข้ามาคารวะสืออีเหนียง สืออีเหนียงยกน้ำชาขึ้นมาจิบช้าๆ
เฉียวอี๋เหนียงเห็นแล้วก็ย่อตัวทำความเคารพเพื่อขอตัวลา แต่จู่ๆ เหวินอี๋เหนียงก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากแขนเสื้อมาสองผืน “ฮูหยิน ท่านว่าผ้าเช็ดหน้าทั้งสองผืนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
สืออีเหนียงรับผ้าเช็ดหน้ามา
ผืนที่หนึ่งตัวผ้าเป็นสีน้ำเงินอ่อนปักด้วยลายเทพธิดาหม่ากู่ ส่วนอีกผืนตัวผ้าเป็นสีแดงสดปักลายหงส์ที่กำลังเกาะอยู่บนต้นอู๋ถง
เหวินอี๋เหนียงสาวเท้าเดินเข้าไปหาสืออีเหนียง นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “สองวันก่อนข้าจัดระเบียบกล่องหีบ จำได้ว่ายังมีผ้าเช็ดหน้าอยู่สองผืนที่ลวดลายการปักเย็บไม่เลวทีเดียว นึกขึ้นมาได้ว่าฮูหยินเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้ จึงตั้งใจไปรื้อค้นออกมาโดยเฉพาะ ไม่รู้ว่าฮูหยินจะถูกใจหรือไม่”
รูปภาพค่อนข้างสลับซับซ้อน ฝีมือการปักพิถีพิถัน ถือเป็นผลงานคุณภาพที่หาได้ยาก
เหตุใดจู่ๆ นางถึงคิดจะมอบผ้าเช็ดหน้าให้ตนได้
เป็นเพราะคำพูดที่สวีลิ่งอี๋ว่ากล่าวติติงฉินอี๋เหนียงหรืออย่างไรกัน
สืออีเหนียงเห็นว่าเฉียวเหลียนฝังยืนอยู่ข้างๆ จึงไม่สะดวกที่จะปฏิเสธ เลยยิ้มแล้วหันไปสั่งให้หู่พั่วนำไปเก็บ “ช่วงนี้เจินเจี่ยเอ๋อร์กำลังฝึกงานเย็บปักถักร้อย เอาไปให้นางดูเป็นตัวอย่าง จะได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็ยิ้มกว้าง “ฮูหยินสามารถนำไปใช้ได้ก็ดีแล้ว ท่านโหวไม่อยู่จวน คืนนี้ให้ข้ามาเข้าเวรดึกแทนดีหรือไม่”
อย่าว่าแต่สืออีเหนียงเลย แม้แต่สาวใช้และแม่เฒ่าที่อยู่เต็มเรือนต่างก็อึ้งไปตามๆ กัน
ท่าทีเช่นนี้ไม่ถ่อมตัวจนเกินไปหรืออย่างไรกัน
บรรยากาศในเรือนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ฮูหยินปฏิบัติต่อพวกข้าด้วยความโอบอ้อมอารีมาโดยตลอด พวกข้าก็ควรจะต้องแสดงออกบ้างถึงจะถูก” เหวินอี๋เหนียงยิ้มขึ้นพร้อมกับรีบอธิบาย “เพราะปกติเวลาท่านโหวอยู่จวน บางครั้งก็มีสิ่งที่ไม่สะดวกจะพูด และข้าก็ไม่สามารถไปมาหาสู่กับฮูหยินจนเกินหน้าเกินตา” นางเม้มปากพร้อมกับยิ้มขึ้นพลางเหลือบตาไปมองเฉียวเหลียนฝังอยู่ครู่หนึ่ง
เฉียวเหลียนฝังชะงักไปเล็กน้อย ริมฝีปากของนางเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง
“…วันนี้ท่านโหวไม่อยู่ที่จวน ข้าเองควรจะพยายามอย่างเต็มที่ถึงจะถูก”
เหวินอี๋เหนียงเรียก ‘ฮูหยิน’ ไม่ขาดปาก พลอยทำให้สืออีเหนียงนึกถึงคำที่ว่า ‘ทำดีหวังผล’ ประโยคนี้ขึ้นมา
“ไม่ต้องแล้ว!” สืออีเหนียงยิ้มขึ้นพร้อมกับยกฝาถ้วยน้ำชาขึ้นมาเพื่อจิบน้ำชาในถ้วย
เฉียวเหลียนฝังก้มหน้าลงต่ำพร้อมกับขานรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ถอยออกจากเรือนไป เหวินอี๋เหนียงเหมือนกำลังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สืออีเหนียงได้ลุกขึ้นและเดินเข้าไปในห้องชั้นในแล้ว แววตาของนางจึงเต็มไปด้วยความผิดหวัง จากนั้นก็ได้ถอยออกจากเรือนไป
เช้าวันรุ่งขึ้นสืออีเหนียงเพิ่งจะตื่นนอน หู่พั่วก็ได้เข้ามากระซิบที่ข้างหูนางว่า “ฮูหยิน เหวินอี๋เหนียงมาหาท่านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเลยเจ้าค่ะ!”
เรื่องอะไรกันที่ทำให้นางรีบร้อนถึงเพียงนี้
นึกถึงความอดทนมุ่งมั่นของเหวินอี๋เหนียง สืออีเหนียงจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้พูดขึ้นว่า “ให้นางเข้ามาเถิด…หากนางไม่ได้พูดออกมา คงจะไม่ยอมไปไหนง่ายๆ”
หู่พั่วขานรับด้วยรอยยิ้มแล้วจึงถอยออกจากห้องไปเพื่อเชิญเหวินอี๋เหนียงเข้ามา
เหวินอี๋เหนียงเห็นสืออีเหนียงกำลังนั่งหวีผมผัดหน้าอยู่หน้าโต๊ะกระจก จึงรีบสาวเท้าเดินเข้าไปหา จากนั้นก็ได้ยกกล่องไม้ที่ใส่ปิ่นขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “เหตุใดวันนี้ฮูหยินถึงมวยผมทรงโบตั๋นเจ้าคะ ฮูหยินจะออกไปข้างนอกหรือ”
ปกติเวลาอยู่ในจวน สืออีเหนียงมักจะมวยผมด้วยทรงเรียบง่ายธรรมดาเท่านั้น
“วันนี้จวนเฉินเก๋อเหล่าสู่ขอสะใภ้” สืออีเหนียงชี้ไปยังเก้าอี้ไม้ที่อยู่ด้านข้าง “เหวินอี๋เหนียงนั่งลงก่อนแล้วค่อยคุยกัน!”
เหวินอี๋เหนียงยิ้มขึ้นเล็กน้อยพลางหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้
สืออีเหนียงก็ได้ให้สาวใช้รินน้ำชามาให้นาง
นางนั่งอยู่ข้างๆ คุยสัพเพเหระทั่วไป
“ชุดที่ฮูหยินสวมใส่วันนี้งดงามยิ่งนัก เป็นเสื้อผ้าที่ในวังมอบให้เป็นของขวัญช่วงวันปีใหม่หรือเจ้าคะ ข้าเห็นว่าเป็นแบบที่ค่อนข้างใหม่…”
ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินเก๋อเหล่าและสวีลิ่งอี๋เป็นอย่างไรนั้นสืออีเหนียงไม่อาจรู้ได้ แต่เหล่าสตรีที่เป็นคนในครอบครัวของทั้งสองตระกูลนั้นหากไม่มีเรื่องใหญ่โตก็จะไม่ไปเยือนถึงจวน ด้วยเหตุนี้สืออีเหนียงจึงได้ไปดื่มสุรามงคล แต่ไม่เหมือนกับจวนสกุลกาน จวนสกุลกานนั้นมีความเกี่ยวดองกันจากการแต่งงาน และไปเพื่อร่วมพิธีงานแต่ง ดังนั้นวันที่เตรียมมอบสินเดิมจึงได้ไปเยือนถึงเรือนเพื่อจะอวยพร เฉินเก๋อเหล่าเป็นสหายที่ร่วมงานกัน เพียงแค่มาให้ทันในคืนพิธีงานเลี้ยงหลักก็ถือว่าไม่เป็นการเสียมารยาทแล้ว ถึงแม้ว่าจะยังเช้ามาก แต่สืออีเหนียงจะต้องไปคารวะไท่ฮูหยิน จัดการมอบหมายงานของจวนให้เสร็จสรรพเรียบร้อย อีกทั้งยังต้องไปตรวจผลงานการเย็บปักถักร้อยของเจินเจี่ยเอ๋อร์อีก…แต่เหวินอี๋เหนียงกลับพูดจาอ้อมค้อมไปมาไม่ยอมพูดประเด็นหลักเสียที สืออีเหนียงจึงทำได้เพียงพูดขึ้นว่า “เหวินอี๋เหนียงทำไมถึงไม่ได้มาพร้อมเฉียวอี๋เหนียงหรือ”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างกระอักกระอ่วนใจว่า “ข้า…ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวานนี้ฮูหยินของใต้เท้าจัวรองเจ้ากรมกลาโหมมามอบของขวัญเทศกาลให้ฮูหยินด้วยตัวเอง…” นางหันไปจ้องมองสืออีเหนียงด้วยสีหน้าท่าทีที่เต็มไปด้วยความหวังอย่างไม่รู้ตัว “อีกทั้งยังตั้งใจไปดูคุณหนูใหญ่ด้วยตัวเอง…”
ที่แท้แล้วก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการหมั้นหมายของเจินเจี่ยเอ๋อร์นี่เอง!
มิน่าเล่าเมื่อวานนี้ต่อหน้าผู้คนมากมายนางถึงได้พูดจาอ้อมค้อมไปมา
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอก
ปกติเวลาทั่วไปไม่ว่าเหวินอี๋เหนียงจะแสดงความเย็นชาต่อเจินเจี่ยเอ๋อร์เท่าไร แต่พอถึงเวลาที่เจินเจี่ยเอ๋อร์จะต้องแต่งงานออกเรือนจริงๆ มารดาและบุตรผูกพันด้วยหัวใจ นางไม่อาจเฝ้ามองอยู่ข้างๆ อย่างใจเย็นได้ ยิ่งกว่านั้นนางทำได้แม้กระทั่งยอมให้ตัวนางเองไปอยู่ในจุดที่ต่ำต้อยที่สุด เพียงเพราะกลัวว่าตนนั้นจะทำอะไรผิดขึ้นมาแล้วจะส่งผลต่อชีวิตและโชคชะตาของเจินเจี่ยเอ๋อร์เข้า…
สืออีเหนียงจึงนึกถึงอี๋เหนียงห้าขึ้นมา นึกถึงความหวาดกลัวและความเป็นกังวลใจตอนที่ตนอยู่ที่จวนสกุลหลัว
สืออีเหนียงจึงชี้ไปยังเก้าอี้ดินเผาที่อยู่ข้างๆ ตนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เหวินอี๋เหนียงขยับมานั่งคุยข้างๆ ข้าดีกว่า!”
เหวินอี๋เหนียงจ้องมองใบหน้าของสืออีเหนียงด้วยความงงงวย
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “อี๋เหนียงมานั่งคุยข้างๆ ข้านี่!”
เหวินอี๋เหนียงจึงค่อยมั่นใจว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นตนไม่ได้หูฝาดไป ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิด เดินมานั่งบนเก้าอี้ดินเผาด้วยท่าทางที่ระมัดระวัง
สืออีเหนียงก็ได้ให้คนที่อยู่ปรนนิบัติรับใช้ในห้องถอยออกไปก่อน จากนั้นก็สวมต่างหูหน้าบานกระจก
“ข้าช่วยสวมเจ้าค่ะ!” เหวินอี๋เหนียงรีบลุกขึ้นมาช่วยสืออีเหนียงสวมต่างหู
“ไม่เป็นไร!” สืออีเหนียงส่ายหน้าปฏิเสธเบาๆ จากนั้นก็ได้เล่าถึงเจตนาที่จัวฮูหยินมาหาให้นางฟัง
เหวินอี๋เหนียงได้ยินแล้วดวงตาก็ลุกวาวขึ้นมา “เช่นนั้นคุณหนูใหญ่…”
“ความคิดของท่านโหวก็คืออยากจะรอดูไปก่อน!” สืออีเหนียงพูดขึ้น “การไว้ทุกข์เพิ่งจะสิ้นสุดลง” จากนั้นก็ได้เล่าเรื่องที่โจวฮูหยินเป็นแม่ชักแม่สื่อให้หลานชายและเรื่องที่หลี่ฮูหยินสู่ขอสะใภ้ให้บุตรชายคนรองให้เหวินอี๋เหนียงฟัง “ท่านโหวและไท่ฮูหยินได้กำชับข้าให้ไปมาหาสู่และสังเกตสถานการณ์ของทางฝั่งนั้นให้ดี และที่ข้าไปจวนของเฉินเก๋อเหล่าครั้งนี้ ก็เพื่อจะไปเจอกับสะใภ้คนโตของเหลียงเก๋อเหล่า คิดว่าคงจะมาดื่มสุรามงคลที่งานเลี้ยงของจวนสกุลเฉินด้วย…” สืออีเหนียงเล่าถึงความคิดของตนให้นางฟัง
เหวินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็รู้สึกโล่งอกโล่งใจไปหมด นางเห็นสืออีเหนียงสวมต่างหูดอกกล้วยไม้เนื้อหยกสีน้ำเงินอ่อนประดับทองและลุกขึ้นเดินไปหยิบเสื้อผ้ามา นางจึงรีบกุลีกุจอเข้าไปเพื่อจะช่วยสืออีเหนียงสวมเสื้อ
แต่สืออีเหนียงก็ปฏิเสธไปอย่างอ่อนโยน
ทั้งสองยื้อกันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง เหวินอี๋เหนียงเห็นว่าท่าทีของสืออีเหนียงค่อนข้างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ นางจึงยอมปล่อยมือในที่สุด และยืนดูอยู่ข้างๆ แทน แต่ก็ยังพูดขึ้นด้วยความลังเลอยู่หลายครั้งหลายหน
ในเมื่อเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ และใช่ว่าเหวินอี๋เหนียงจะเป็นคนที่ไม่มีความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น แน่นอนว่านางจะต้องมีความคิดเป็นของตัวเอง
สืออีเหนียงจึงถามนางไปตรงๆ ว่า “เหวินอี๋เหนียงมีอะไรจะพูดหรือไม่”
และเมื่อเหวินอี๋เหนียงเห็นว่าการกระทำของสืออีเหนียงนั้นจริงใจและตรงไปตรงมา นางจึงค่อยๆ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ครุ่นคิดว่า “ข้าว่า จวนสกุลจัวก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว!”
สืออีเหนียงค่อนข้างแปลกใจเป็นอย่างมาก
เหวินอี๋เหนียงรีบพูดขึ้นว่า “ฟังดูแล้วจวนสกุลหวังดีที่สุด เหนือบนสุดของจวนสกุลหวังยังมีโจวฮูหยิน ถัดลงไปจากจวนสกุลหวังยังมีตระกูลของผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยน ถือว่าเป็นตระกูลที่ใหญ่โต และคงจะไม่แยกตระกูลกันง่ายๆ ไม่รู้ว่าคุณชายหวังจะได้รับตำแหน่งตอนไหน อย่างไรเสียก็ยังคงต้องใช้ชีวิตภายใต้แรงกดดันต่างๆ นานาอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ส่วนจวนสกุลจัวถึงแม้ว่าจะไม่ได้ร่ำรวยมากมายนัก แต่ฐานะทางสังคมของใต้เท้าจัวเกิดมาจากกองทัพ และยังเป็นผู้บัญชาการกองทัพทหารมาตั้งหลายปี ทรัพย์สินในจวนก็คงจะมากมายก่ายกอง บวกกับเป็นคนเก่าแก่ที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของท่านโหว…”
ความหมายก็คือใต้เท้าจัวร่ำรวยกว่าคุณชายหวังอย่างแน่นอน แถมยังเป็นเพราะสวีลิ่งอี๋ทางฝั่งนั้นจึงค่อนข้างให้ความสำคัญกับเจินเจี่ยเอ๋อร์
“อีกอย่างถึงแม้ว่าจัวฮูหยินจะอายุยังน้อย แต่ใต้เท้าจัวเปรียบเสมือนไม้ที่ใกล้ฝั่งแล้ว หากว่าเกิดอะไรขึ้นมา…ถึงเวลานั้น เพื่ออนาคตบุตรชายทั้งสองของตน จัวฮูหยินจึงควรรีบวางแผนให้ดีถึงจะถูก มิเช่นนั้น…นางจะยอมอ่อนน้อมถ่อมตนถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง