เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบตกลง แล้วบอกให้เฉินอีเฟิงและคนอื่นๆ จัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้น
เดิมทีชิงจ้านอยากจะเข้าไปช่วยเฉิงอีเฟิง แต่ตอนที่นางก้าวขาออกไป แขนของนางก็ถูกใครบางคนคว้าเอาไว้เสียก่อน
หนานกงเลี่ยไม่เปิดโอกาสให้นางหนีได้ เขากระชากตัวนางแล้วเดินมุ่งหน้าไปทางประตู
“เฮ้ย เจ้าน่ะ!” ทีแรกเฉินอีเฟิงตั้งใจว่าจะเข้าไปรั้งไว้
แต่หนานกงเลี่ยกลับตวัดสายตาเย็นชามาหาเขา ”นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ไสหัวไป!”
ผู้บวงสรวงอัจฉริยะก็มีความอดทนของตัวเองเช่นกัน
เขาเป็นทายาทของผู้บวงสรวงเพียงคนเดียวของอาณาจักรจ้านหลง เมื่อหนานกงเลี่ยกระชากท่าทางเสเพลของตนออก สิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้นย่อมไม่ใช่สิ่งอื่นใด นอกไปเสียจากความเย็นชาอย่างที่สุด!
เฉินอีเฟิงเคยได้ยินเรื่องของหนานกงเลี่ยมาก่อน เพราะเฮ่อเหลียนเวยเวยที่เป็นลูกพี่ของเขาเคยอยู่กลุ่มเดียวกับเขามาก่อน ทั้งสองคนต่างก็มาจากหอสามัญเหมือนกัน จากภายนอกนั้น ความสัมพันธ์ของพวกเขาดูเหมือนว่าจะค่อนข้างดีทีเดียว
แต่วันนี้… บอกตามตรงว่าเฉินอีเฟิงรู้สึกสับสนกับเรื่องนี้เล็กน้อย!
ชิงจ้านรู้จักนายน้อยผู้นี้เป็นอย่างดีเพราะนางรับใช้เขามาเกือบสิบปี ดังนั้นแทนที่จะขัดขืน นางกลับทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้นสบตาเขา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”นายน้อยเลี่ย ถ้าท่านมีอะไรก็พูดเสียตรงนี้เลยเจ้าค่ะ ข้ากับอีเฟิงยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอยู่”
“อีเฟิงหรือ” หนานกงเลี่ยมองกลับไป น้ำเสียงเย็นชาราวน้ำแข็งนั้นฟังดูไม่เหมือนการพูดในเวลาปกติของเขาเลย ”เรียกกันซะสนิทสนมเชียว อะไรกัน ตอนนี้เมื่อเจ้าเปลี่ยนเจ้านายแล้ว เจ้าก็เปลี่ยนคนที่ตัวเองชอบไปด้วยหรือ”
ชิงจ้านดึงมือตัวเองกลับมา พร้อมกับประกาศว่า ”นายน้อยเลี่ย ก็อย่างที่ท่านทราบเจ้าค่ะ เวลานี้ข้าเปลี่ยนเจ้านายแล้ว และในฐานะข้ารับใช้ ข้าจึงต้องซื่อสัตย์ภักดีต่อผู้เป็นนายคนปัจจุบันของข้า ดังนั้นขอนายน้อยเลี่ยโปรดอย่าทำให้ข้าต้องตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยเจ้าค่ะ”
คำว่า ’ข้ารับใช้’ ดังก้องอยู่ในหูของเขา มันทำให้หนานกงเลี่ยรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เขาหายใจเข้าลึกๆ กดเสียงของตนลง ”ถ้าข้าบอกว่าข้าบังเอิญผ่านมาที่นี่วันนี้พอดี และไม่เคยคิดว่าพวกนางจะสบประมาทเจ้าเช่นนี้ เจ้าจะเชื่อข้าหรือเปล่า”
“ข้าเชื่อ”
เพียงคำพูดสองคนที่ตอบมาอย่างรวดเร็วนั้นทำให้หนานกงเลี่ยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“มีอะไรอีกหรือไม่เจ้าคะนายน้อยเลี่ย หากไม่มีแล้ว เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน” ชิงจ้านยืนหลังตรง นางไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตเลยว่าจะมีวันที่นางสามารถยืนตรงได้ถึงเพียงนี้ วันนี้หากไม่ใช่เพราะพระชายา นางก็อาจไม่มีวันได้เข้าใจความรู้สึกนี้เลย นางหลงรักคนคนหนึ่งมานานเกินไปจริงๆ นานจนกระทั่งนางสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไป นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนอื่นสามารถใช้เรื่องนั้นมาเป็นจุดอ่อนในการทำร้ายนางได้ และทำให้นางจดจำไม่ได้อีกต่อไปว่าความภาคภูมิใจของนางอยู่ที่ไหน
หนานกงเลี่ยมองเด็กสาวตรงหน้าที่กำลังเดินไปหาผู้ชายคนอื่นอย่างช้าๆ และมั่นคง ทั้งสองคนจ่ายค่าเสียหายให้กับหอน้ำชา บรรดาคนที่มุงดูเหตุการณ์นี้อยู่เมื่อครู่ต่างก็เริ่มรู้สึกหวาดระแวงพวกเขา
อวิ๋นปี้ลั่วนั่งอยู่บนพื้นโดยที่ยังประคองเฮยจูเอาไว้ในอ้อมแขน น้ำตาไหลอาบใบหน้าของนาง
หนานกงเลี่ยแทบจะไม่เคยรู้สึกเสียใจกับเรื่องใดมาก่อน แต่เขารู้สึกเสียใจที่ตัวเองมาที่หอน้ำชาแห่งนี้ในวันนี้ยิ่งนัก
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางยกโทษให้คนที่เหยียดหยามนาง
เขาเพียงแค่ต้องการทำให้นางตระหนักได้ว่าการไม่มีเขานั้นมีข้อเสียอย่างไร
แต่…
ตึง!
หนานกงเลี่ยถีบเก้าอี้ไม้ข้างตัวแล้วเดินออกจากหอน้ำชาไปราวกับหมดความอดทน เขากลัวว่าถ้าขืนเขายังอยู่ต่อ แล้วเขาจะสูญเสียการควบคุมตัวเองได้
ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว ไม่ว่าหมาหรือแมวก็คงมีความสำคัญมากกว่าเขาทั้งนั้น
นางแค่กำลังใช้ประโยชน์จากความจริงที่ว่าเขาไม่มีทางทำร้ายนางข้อนั้น ความอดทนของเขานี่เองที่เป็นบ่อเกิดพฤติกรรมอันไม่สมควรของนาง
อย่างไรเสียนางก็เป็นคนที่วางยาเขา แล้วทำไมเขาถึงกลายเป็นคนที่ผิดไปได้ล่ะ
หนานกงเลี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็หมุนตัวกลับ แต่ครั้งนี้เขากลับมามีสีหน้าชั่วร้ายดังเดิม เขาก้มตัวลงเล็กน้อย พร้อมกับกระซิบข้างหูชิงจ้านว่า ”เจ้าไม่สนใจตัวเองก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยเจ้าก็ควรที่จะนึกถึงจุดจบของพระชายา และเฉินอีเฟิงที่อยู่ข้างเจ้าเสียบ้าง ถ้าเจ้าอยากทำให้ตระกูลเฉินต้องสูญเสียตำแหน่งทางการเมืองไป เช่นนั้นเจ้าก็ลองอยู่ที่นี่ต่อสิ”
พูดจบ เขาก็ยิ้ม แล้วหมุนตัวเดินออกไป
ชิงจ้านกัดริมฝีปาก ครั้งนี้นางไม่มีทางเลือกนอกจากต้องตามเขาไป
ณ มุมอันร้างผู้คนแห่งหนึ่ง หนานกงเลี่ยดูไม่มีความสุขแม้แต่น้อย ในรอยยิ้มของเขามีความเย็นชาอันรุนแรงปรากฏอยู่ ”ดูเหมือนว่าเจ้าจะดีต่อเขามากทีเดียว”
ชิงจ้านหลุบตาลง แล้วถามว่า ”ท่านต้องการระบายความโกรธอย่างไรเจ้าคะ”
“อยากให้ข้าระบายความโกรธหรือ” เสียงของหนานกงเลี่ยแผ่วเบา ”เช่นนั้นก็ไปบอกเฮ่อเหลียนเวยเวยว่าเจ้าต้องการกลับมาหาข้า”
ชิงจ้านเงยหน้าขึ้นทันที คิ้วของนางขมวดเป็นปม ”กลับไปหรือเจ้าคะ ข้าคิดว่าท่านไม่อยากเห็นข้าเสียอีก”
“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว” หนานกงเลี่ยยื่นมือออกไปดันชิงจ้านชิดกำแพง ”แน่นอนว่าข้าต้องเก็บคนที่วางยาข้าเอาไว้ข้างตัวเพื่อสอนบทเรียนให้นางอยู่แล้ว หรือเจ้าเห็นว่าอย่างไร”
ชิงจ้านรู้ดีว่าคำว่า ’บทเรียน’ ของเขาหมายความว่าอย่างไร แสงในดวงตาของนางจางลงไปในขณะที่นางมองตรงไปยังใบหน้าที่นางหลงรักมาตลอดหลายปีนั้น ”นอกจากสั่งให้ข้ากลับไปแล้ว มีหนทางอื่นที่ท่านจะสามารถระบายความโกรธได้หรือไม่เจ้าคะ นายน้อยเลี่ย”
“เจ้า…” ทันใดนั้นความเจ็บปวดก็ทิ่มแทงเข้าไปในอกของเขา แต่หนานกงเลี่ยก็ยังคงรักษารอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์นั้นเอาไว้ได้ ”ชิงจ้าน อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดที่จะไปอยู่กับเจ้าเฉินอีเฟิงนั่นจริงๆ”
ดวงตาของชิงจ้านปราศจากซึ่งอารมณ์ใดๆ ”ข้าอยากมีบ้านมาตั้งแต่ยังเด็ก และท่านเองก็รู้เรื่องนี้ดีนี่เจ้าค่ะ นายน้อยเลี่ย เฉินอีเฟิงเป็นผู้ชายที่ดี และเขาก็ทำงานให้กับพระชายาด้วย การได้อยู่กับเขาก็นับว่าผ่อนคลายดีทีเดียว ข้าเข้าใจว่านายน้อยเลี่ยต้องการพูดอะไรเจ้าค่ะ ท่านคงบอกว่าข้าไม่คู่ควรกับเขาเพราะข้าไม่ใช่สาวพรหมจรรย์อีกแล้ว”
“เจ้าหมายความว่าถ้าเจ้ายังเป็นสาวพรหมจรรย์อยู่ เจ้าอยากจะแต่งงานกับเขาหรือ” รอยยิ้มของหนานกงเลี่ยเหยียดกว้างขึ้นทีละน้อย แต่ในเวลาเดียวกันนั้นความเย็นชานั่นก็ดูคุกคามยิ่งนัก มันดูคุกคามยิ่งกว่าความชั่วร้ายใดๆ จนทำให้คนอยากจะถอยกลับ ”ชิงจ้าน ข้ามองเจ้าผิดไปจริงๆ!”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังเดินหายเข้าไปในท้องถนนอันวุ่นวาย…
ในห้องนอนหอสามัญ
ร่างสูงเพรียวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนอยู่ในห้องนอนที่ไม่ใช่ของตัวเอง เขาขมวดคิ้วระหว่างที่ดวงตาคมกริบคู่นั้นกวาดมองไปยังเตียงอันว่างเปล่า
“นายท่านขอรับ พระชายาไม่อยู่ที่นี่ขอรับ” กิเลนอัคคีทำจมูกฟุดฟิด ”พลังปราณเย็นชืด ดูเหมือนว่านางคงจะออกไปได้พักใหญ่แล้วขอรับ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบรับคำพูดของเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พร้อมกับลากนิ้วเรียวของตนไปบนโต๊ะอย่างเย็นชา
“นายท่านขอรับ พวกเราจะรออยู่ที่นี่ต่อไหมขอรับ” กิเลนอัคคีมองไปรอบๆ อีกครั้ง เขาคิดกับตัวเองว่าพระชายาช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก เพราะนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่ได้เห็นผู้เป็นนายรอคอยใครสักคน
อย่างไรเสียการรอคอยก็ไม่ใช่วิสัยของเขา
อย่าว่าแต่การรอคอยเลย แม้แต่การนั่งรอใครสักคนก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แต่ผู้เป็นนายของเขาทำตัวแปลกๆ มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แม้กระทั่งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างกิเลนอัคคีก็ยังอดที่จะแปลกใจไม่ได้
ไม่กี่อึดใจต่อมา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงเดินออกมาจากห้อง สายลมยามค่ำพัดผมยาวของเขาจนปลิวไสว นิ้วเรียวที่อยู่ภายใต้ถุงมือ และรอยยิ้มเสียดสีแฝงด้วยความโหดเหี้ยมปรากฏอยู่ที่มุมปากของเขาราวกับเป็นการเยาะเย้ยตนเอง
หากเขาไม่มาหานาง นางก็อาจจะลืมเขา แล้วโยนเขาทิ้งไปที่ไหนแล้วก็ได้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อนในชีวิต
“นายท่านขอรับ” กิเลนอัคคีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสับสน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองป่าไผ่ที่แกว่งไกวอยู่ไกลๆ สายลมพัดผ่านใบหน้าของเขา มันเย็นเสียจนแม้แต่น้ำเสียงของเขาก็พาลเย็นชาราวกับน้ำแข็งไปด้วย ”ไปที่ย่านการค้า”
หา ไปย่านการค้าหรือ
กิเลนอัคคีเงยหน้าขึ้นเงียบๆ และเหลือบมองพระจันทร์ที่สว่างไสวอยู่บนฟ้า บรรยากาศที่ย่านการค้าไม่เหมาะกับผู้เป็นนายของเขาเป็นอย่างยิ่ง
ทุกครั้งที่เขาไปที่นั่น เขาจะต้องตกเป็นจุดสนใจของผู้คนทุกครั้งไป
ผู้เป็นนายของเขาเองมิใช่หรือที่เกลียดการไปย่านการค้า
แล้ววันนี้มันเกิดอะไรขึ้น