“จริงๆ ผมคิดว่าต่อให้คุณไม่มาก็ช่วยอะไรไม่ได้น่ะครับ”
ผมกลัว ผมรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างข้างในตัวผมพังทลาย เพราะผมชอบคุณมาก…ต้องทำยังไง เหมือนผมกลายเป็นเด็กโง่เง่าที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรเลย
“เพราะตอนนั้นผมทำตัวแย่มากจริงๆ…ยิ่งไปกว่ายังเกิดเรื่องแบบนั้นด้วย…”
อีอูยอนไม่กล้าพูดเรื่องที่อินซอบถูกแทงและพูดอย่างคลุมเครือแทน
“ไม่ครับ ผมต้องกลับมาอยู่แล้ว ขอโทษนะครับที่กลับมาช้ามาก ตอนนั้นผมต้องโน้มน้าวพ่อแม่ และต้องจัดการเรื่องต่างๆ ด้วย…”
“ผมรู้ครับ”
อีอูยอนรู้ว่าอินซอบรักครอบครัวขนาดไหน บ้านที่มีลานหน้าบ้านซึ่งถูกตกแต่งไว้อย่างดีมีเสียงหัวเราะไม่ขาดสาย บันไดที่พาขึ้นไปชั้นบนซึ่งเปรอะเปื้อนรอยมือที่เกิดจากการใช้งานเป็นเวลานาน รูปภาพครอบครัวที่ประดับไว้บนกำแพง บางทีรูปหนึ่งในนั้นคงจะเป็นรูปที่กำลังยิ้มกับครอบครัวที่ใส่เสื้อผ้าที่เลอะไปด้วยโคลน
สิ่งที่เขาตั้งใจวาดขึ้นในหัวตอนที่ตัดสินใจจะปล่อยอินซอบไปคือภาพของอินซอบที่รายล้อมไปด้วยครอบครัวที่อเมริกา เขาสะกดกลั้นความละอายใจกับความกระวนกระวายที่เหมือนจะทำให้ลำคอมอดไหม้เอาไว้ และนึกถึงแต่ภาพของอินซอบที่ยิ้มแย้ม
“ผมรู้ดีมากเลยล่ะครับ”
อีอูยอนมองสิ่งเดียวที่ตนมี ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนพาออกมาจากความปกติและความสุข และพูดต่อ
“คุณอินซอบมาหาผมถึงสามครั้งเลยนี่ครับ”
“สามครั้งเหรอครับ”
“ก็ที่คุณมาตามผมที่ทะเลสาบไง”
ครั้งแรกเป็นการเลือกโดยไม่ตั้งใจเพื่อแก้แค้น และครั้งที่สองคือการตัดสินใจที่จงใจทำเพื่อคนรัก
และครั้งที่สามเป็นการสารภาพรักที่เร่งด่วน เขาอ้อนวอนอีกฝ่ายอย่างหมดรูป และแสดงความรู้สึกจริงๆ ว่าไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่มีคุณออกมาโดยไม่มีแม้กระทั่งเวลาประดิษฐ์คำให้สวยงาม
“ขอบคุณนะครับที่ผมหาผมถึงสามครั้ง นั่นคือคำที่ผมอยากพูดครับ”
ริมฝีปากยื่นเข้ามาใกล้ อินซอบหลับตาลงรับการจูบที่นุ่มนวล อีอูยอนจูบอย่างระมัดระวังราวกับเป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งจูบเป็นครั้งแรก
“…ต่อให้มีอีกครั้งผมก็จะมาครับ ผมจะทำอย่างนั้นแน่นอน”
อินซอบค่อยๆ สารภาพความรู้สึกของตัวเองออกมาในระหว่างการจูบที่หวานซึ้งราวกับจะหายใจไม่ออก
“คนโง่ที่เจอกันเกินสิบครั้งแล้ว แต่ก็ยังจำไม่ได้อย่างผมทำบุญด้วยอะไรนะ”
อีอูยอนยิ้มอย่างหยอกล้อพลางตอบรับ
“เพราะฉะนั้น…”
อินซอบมักจะขมวดคิ้วและตั้งใจชี้แจงอย่างยาวเหยียดทุกครั้งที่พูดเรื่องนี้
เช่น แม้ตอนนั้นจะเคยคุยกันหลายครั้ง แต่ก็เป็นการพูดคุยที่ไม่มีความหมาย, เราแค่เดินผ่านกันในระยะที่จำหน้ากันไม่ได้เท่านั้นเอง, ไม่ใช่ทุกคนที่จะสนิทกันด้วยเหตุผลที่ว่ามีจุดร่วมเดียวกัน, ตอนนั้นตัวเองไม่ใช่คนที่น่าจะสะดุดตา, แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ใช่คนแบบนั้น, ยังไงก็ตาม นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณอีอูยอน เป็นต้น
ทุกครั้งที่เห็นอินซอบแก้ต่างให้กับตัวเขาเองในตอนนั้นอย่างเหงื่อตกและหน้าแดง อีอูยอนรู้สึกถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนเกินบรรยาย
อินซอบพยายามปกป้องอีอูยอนจากจุดยืนของเขาเสมอ จนบางครั้งก็ช่วยคิดคำแก้ตัวให้อย่างจริงจังแม้กระทั่งในเรื่องที่ไม่สำคัญอะไรเลยพวกนี้
อ้อ ปัญหาที่แท้จริงไม่น่าจะเป็นเรื่องพวกนั้นนะ
คุณยังอยากจะกังวลเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ ทั้งที่ผู้ชายคนนี้อยู่ตรงหน้า ผู้ชายที่รู้สึกโชคดีจากใจจริงที่เพื่อนของคุณฆ่าตัวตาย เราถึงได้พบกัน ผู้ชายที่คิดว่าโชคดีที่ชายชราที่ไม่รู้จักแม้แต่หน้าตาตายไป เขาถึงสามารถทำให้คุณได้เห็นทะเลสาบแห่งนี้ได้
“จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ”
อินซอบมองอีอูยอนและพูด
“ต่อให้จำเรื่องในตอนนั้นไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะเรายังสามารถจดจำช่วงเวลาต่างๆ ที่จะใช้ร่วมกันในอนาคตได้…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ อินซอบก็สูดลมหายใจเข้าไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“แค่นั้นผมก็คิดว่าเป็นเรื่องโชคดีอย่างไม่น่าเชื่อแล้วล่ะครับ…”
โชคดีอย่างไม่น่าเชื่อ
อีอูยอนลองพูดตามอินซอบในใจ
“เอ่อ คุณอูยอนครับ”
อินซอบเอ่ยเรียกอีอูยอนอย่างระมัดระวัง
“ทำไมเหรอครับ”
“ผมไม่ได้เตรียมของขวัญมาเลย ทำยังไงดีครับ…ถ้าคุณต้องการอะไร ผมจะทำให้ทุกอย่างเลยครับ”
เขาเพิ่งบอกไปแท้ๆ ว่าตนก็เพิ่งนึกออกวันนี้เหมือนกัน พอเห็นดวงตาที่รู้สึกผิดจากใจจริงของคนจิตใจดีอย่างอินซอบแล้ว ความรู้สึกที่ชั่วร้ายก็เกิดขึ้นในอกของอีอูยอน
…ขอให้อมไอ้นั่นให้ดีไหมนะ
“อะไรก็ได้เหรอ”
“ครับ อะไรก็ได้ครับ”
ทันใดนั้นม้านั่งเก่าๆ ก็โผล่เข้ามาในสายตาของอีอูยอน ขนาดของมันใหญ่พอที่คนสองคนจะนอนมีเซ็กซ์กันได้
“งั้นไปตรงนั้นกันไหมครับ”
อีอูยอนดึงมือของอินซอบไป
ม้านั่งเก่าๆ ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ และไม่มีร่องรอยการใช้งานบนม้านั่งที่มีร่องรอยของกาลเวลาเลย
“รอเดี๋ยวนะครับ”
อินซอบหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมา และเริ่มเช็ดฝุ่นที่เกาะอยู่บนม้านั่ง อีอูยอนโยนถุงสูทคลุมบนม้านั่งอย่างไม่ใส่ใจ
“นั่งบนนี้ครับ”
“ไม่ครับ ไม่เป็นไร แค่…”
อีอูยอนจับอินซอบที่ปฏิเสธด้วยความเกรงใจอย่างเต็มที่ให้นั่งลง และนั่งลงข้างๆ อีกฝ่าย
“เสื้อผ้าของคุณจะยับ”
อินซอบพอจะเดาราคาของเสื้อที่ตัวเองนั่งทับได้คร่าวๆ เพราะตนรู้จักแบรนด์เสื้อผ้าทั้งหมดที่อีกฝ่ายสวมใส่ในระหว่างที่ทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอน
“ถ้ายับก็ทำให้เรียบได้”
อีอูยอนนั่งลงข้างๆ อินซอบ จากนั้นก็หมุนตัวและนอนหนุนตักอินซอบเพื่อที่อินซอบจะได้ลุกไปไหนไม่ได้
“ผมขอนอนแป๊บหนึ่งนะครับ”
เขาเปลี่ยนความคิดเรื่องที่จะมีเซ็กซ์แบบเอ้าท์ดอร์ที่ม้านั่ง อีอูยอนยิ้มอย่างซุกซนก่อนจะหลับตาลง
“ครับ? ที่นี่เหรอครับ?”
“คุณบอกว่าจะทำให้ทุกอย่างนี่ เพราะฉะนั้นผมจะนอนหนุนตักคุณอินซอบที่นี่ ช่วยกล่อมผมทีครับ”
อีอูยอนหลับตาลงและออดอ้อนอย่างไร้ยางอาย อินซอบกลัวว่าใครจะมาจึงมองไปรอบๆ
“ไม่มีใครมาหรอกครับ เพราะเป็นที่ส่วนบุคคล”
“แต่เจ้าของที่ก็สามารถมาได้นี่ครับ”
อีอูยอนคิดว่าจะบอกอีกฝ่ายดีไหมว่าเจ้าของที่นั้นอยู่ในดิน แต่แล้วก็ล้มเลิกความตั้งใจไปกลางคัน เพราะเขาเสียดายความเงียบสงบในตอนนี้
“เจ้าของที่มาไม่ได้หรอกครับ พอดีเขาไปที่ไหนสักแห่งที่ไกลมาก นะครับ?”
อีอูยอนกอดเอวอินซอบ และรั้งให้อีกฝ่ายมาชิดกับตัวเอง จากนั้นก็ตื๊อราวกับรบเร้า อินซอบมองไปรอบๆ อีกหลายครั้งราวกับนกที่หวาดกลัว แล้วก็ขยับมืออย่างช้าๆ
ปุ ปุ
อีอูยอนเกือบจะหลุดหัวเราะเพราะมือที่ตบไหล่ตัวเองเบาๆ ถึงจะขอให้กล่อม แต่เขาก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำแบบนี้ให้ด้วย
ต้องทำหน้าตื่นกลัวอยู่แน่ๆ เลย
อีอูยอนกดความอยากจะลืมตาขึ้นไว้เต็มที่พลางกอดเอวของอินซอบ อินซอบตัวสั่น
“…ถ้าใครมาเห็น…”
“ผมจะจับแช่ทะเลสาบเองครับ”
“…”
“หรือฝังไว้ใต้ภูเขาดีนะ”
“…คุณอูยอน”
อีอูยอนหัวเราะเบาๆ และฝังหน้าลงกับต้นขาของอินซอบ อินซอบตบไหล่ของอีอูยอนอย่างระวังอีกครั้ง
พอบทสนทนาของคนทั้งคู่หายไป บรรยากาศโดยรอบก็ผ่อนคลายลงในทันที ความเงียบสงบเข้าโอบล้อมพวกเขาไว้
อินซอบตบไหล่ที่กว้างใหญ่ของคนรักพลางเงยหน้าขึ้นมองทะเลสาบ มันคล้ายกับความทรงจำในวันนั้นที่เขาเห็นในฝันเมื่อไม่กี่วันก่อนมาก
ถ้าจะมีสิ่งที่ต่างไปอย่างเห็นได้ชัดก็คือ…
ลมพัดลงมาจากเชิงเขาและทำให้ผิวน้ำของทะเลสาบเคลื่อนไหว
เสียงใบไม้พลิ้วไหว เสียงกรอบแกรบของหญ้าที่งอกงาม และเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของผู้ชายที่ดังมาจากหน้าตัก
อินซอบก้มลงมองอีอูยอน ใบหน้าของเขาสงบอย่างมาก เพราะเจ้าตัวนอนหลับไปจริงๆ
ตอนนั้นเขาไม่กล้าคิดด้วยซ้ำว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
ต่อให้หยิกแก้มตัวเองในทุกเช้าที่ลืมตาตื่น แต่ก็ยังรู้สึกไม่สมจริงอยู่ดี อินซอบคิดว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะตัวเองยังจำเรื่องราวในอดีตได้
แม้อีอูยอนจะพูดราวกับเป็นคำพูดติดปากว่าถ้าตอนนั้นพวกเขาทั้งคู่ได้พูดคุยกัน พวกเขาต้องได้คบกันแบบนี้อย่างแน่นอน แต่อินซอบกลับคลางแคลงใจกับความคิดนั้น
เขาจะทำให้ฟิลลิปในตอนนั้นรักได้ยังไง…
อินซอบแอบถอนหายใจ
ฟิลลิปไม่เคยมองตนเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้จะเจอกันบ่อยขนาดนั้น แต่การที่ไม่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
หากลองคิดถึงความเป็นจริงแล้ว แม้แต่อีอูยอนในตอนนี้ก็เป็นโชคดีราวกับปาฏิหาริย์สำหรับตัวเองเช่นกัน อินซอบขอบคุณความโชคดีนั้นอยู่เสมอ เขารู้สึกเหมือนหากเขาต้องการปาฏิหาริย์แบบเดิมเป็นครั้งที่สอง คงจะถูกลงโทษอย่างหนักเป็นแน่ ทั้งยังรู้สึกกลัว เพราะถ้าความสัมพันธ์ของพวกเขากลับไปเป็นศูนย์ ต่อให้พยายามให้ตายอย่างไร ก็คงไม่สามารถเกี่ยวข้องกันแบบนี้ได้ แค่คิดหน้าอกของเขาก็ชาราวกับเลือดทั้งหมดในหัวใจไหลออกไป
…ตอนนี้ผมไม่อยากจินตนาการถึงเวลาที่ไม่มีคุณเลย
ตอนนั้นเอง ใบไม้ก็สั่นไหวจากแรงลม และทำให้แสงแดดส่องมาที่เปลือกตาของอีอูยอน อินซอบคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะตื่นก็ได้ จึงยกมือขึ้นมาทำร่มเงาให้
เขาอยากทำทุกอย่างให้อีอูยอนที่พาเขามาถึงที่นี่เพื่อให้เห็นวิวทิวทัศน์ที่งดงาม แม้จะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจริงๆ คือการนอนกลางวันที่ม้านั่งหรือเปล่า แต่ตอนนี้เขาต้องทำให้ เพราะอีอูยอนได้พูดเอาไว้แบบนั้น
แล้วเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากหน้าตัก
“…ไม่ได้หลับใช่ไหมครับ”
“เปล่านะ กำลังนอนอยู่”
ริมฝีปากของอีอูยอนที่กำลังนอนอยู่มีรอยยิ้มจางๆ ประดับอยู่
“คุณจะนอนอยู่แบบนี้เหรอครับ”
“คนที่กล่อมให้นอนทำให้ตื่นแล้วก็ต้องลุกสิ”
อีอูยอนเพียงแค่เพิ่มแรงไปที่มือที่กอดเอวไว้ เพราะไม่คิดที่จะลืมตาขึ้นมาจริงๆ จากนั้นก็พูดต่ออย่างเป็นธรรมชาติ
“ความจริงแล้วผมไม่กล้าลืมตาเพราะกลัวครับ”
“หมายถึงอะไรเหรอครับ”
อีอูยอนยื่นมือมาเขี่ยฝ่ามือของอินซอบที่บังแดดให้พลางเอ่ยตอบ
“นี่”
“…”
“เพราะคุณอินซอบก็เคยทำแบบนี้ให้ในฝันก่อนหน้านี้ คุณนั่งอยู่ข้างๆ บนม้านั่งตอนที่ผมนอน แล้วก็หน้าแดงเพราะโดนแสงแดดเผา”
อีอูยอนเลื่อนมือของอินซอบลงมาที่ปากของตัวเอง เขากดจูบเบาๆ และพูดต่อราวกับออดอ้อน
“ถ้าเป็นฝันผมก็ไม่อยากตื่น”
“…”
อินซอบกลั้นหายใจเบาๆ
วันนั้นเขาสบตากับฟิลลิปที่ตื่นขึ้นมา แม้จะเป็นช่วงเวลาแค่ครู่เดียวก็ตาม มีคนบอกว่าความฝันเป็นการสะท้อนจิตใต้สำนึกกับความทรงจำออกมา ความคิดที่ว่าหากเป็นแบบนั้น อีอูยอนก็อาจจะจำตนได้บ้างทำให้หน้าอกข้างหนึ่งร้อนผ่าวราวกับจะพัง อินซอบกัดริมฝีปากที่แห้งผากเบาๆ
เราชอบคนคนนี้มากๆ …เพราะเขาน่ารักมาก
“ไปกันไหมครับ”
อีอูยอนลืมตา พอสบตากัน ความร้อนก็แผ่ซ่านไปทั่วตัว หัวใจเต้นดังตึกตัก
‘งั้นก็ลองยั่วดูนะครับ เพราะผมมั่นใจว่าจะตกหลุมรักอย่างแน่นอน’
เสียงของอีอูยอนผ่านเข้ามาในหัว
“เราควรไปก่อนที่รถจะติดนะครับ เพราะคุณอินซอบจะเหนื่อย…”
อินซอบกำชายแขนเสื้อของอีอูยอนไว้ อีอูยอนจึงพลิกตัวกลับมา
“ถึงจะไม่แน่ใจว่าคุณจะได้ยินคำพูดแบบนี้ยังไง แต่…”
เสียงของอินซอบสั่นอย่างหนัก เขาไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาดีๆ ได้ และมีเหงื่อซึมตามฝ่ามือราวกับเป็นเด็กชายที่สารภาพรักกับรักครั้งแรก
“…คราวก่อนผมจะให้ยืมหนังสือเล่มนั้น เพราะตอนอ่านผมสนุกมากจริงๆ”
อีอูยอนกะพริบตาด้วยสีหน้ามึนงงเล็กน้อย เพราะภาษาอังกฤษที่ได้ยินอย่างกะทันหัน
“เพราะฉะนั้น คุณอยาก…”
ไปที่บ้านของผมไหม
พอเข้าใจว่าประโยคสุดท้ายที่พูดด้วยน้ำเสียงเล็กๆ หมายความว่าอะไร อีอูยอนก็หัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆๆๆ”
แม้อินซอบจะจับชายเสื้อของอีอูยอนไว้และลองห้ามว่า “อย่าหัวเราะสิครับ” ด้วยใบหน้าแดงเถือก แต่ก็ไร้ประโยชน์ อีอูยอนยืนไหล่สั่นอยู่สักพัก เขาไม่สามารถหยุดหัวเราะได้ง่ายๆ จึงใช้มือปิดปากไว้และเงยหน้าขึ้น
“ถ้าให้ดูอัลบัมรูปผมจะไป”
เขายิ้มเหมือนเด็กหนุ่มขี้เล่นและยื่นมือที่ใหญ่โตออกมา
ลมพัดมาจากทะเลสาบ ใบไม้สั่นไหวพร้อมกัน และกลิ่นที่เข้มข้นของฤดูร้อนที่มีกลิ่นน้ำและกลิ่นหญ้าปะปนอยู่ไหลเข้าไปในคอทุกครั้งที่สูดลมหายใจ ผิวน้ำของทะเลสาบที่เปล่งประกายราวกับเศษกระจกที่สะท้อนแสง อินซอบยิ้มอย่างมีความสุขที่สุด และค่อยๆ ยื่นมือออกไปประสานกับมือของอีอูยอน
มันคือวันหนึ่งในฤดูร้อนที่อยู่ในวันอีกหลายวันที่พวกเขาสามารถจดจำร่วมกันได้
< Side Story < Hidden Track > จบ >