โจวฮูหยินได้ยินแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้าเคยบอกกับเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ให้เจ้าเหลือที่ว่างให้ข้าสักที่ ตอนนี้ปวดหัวแล้วล่ะสิท่า”
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นบางๆ
โจวฮูหยินจึงยิ้มพร้อมกับเข้ามาควงแขนสืออีเหนียง “เราทั้งคู่ล้วนเป็นแม่แล้วทั้งนั้น ความกังวลใจของเจ้าผู้อื่นอาจจะไม่เข้าใจ แต่ข้าจะไม่เข้าใจด้วยหรืออย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้นเจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นถึง……บุตรสาวคนเดียวของท่านโหว และให้ไท่ฮูหยินเป็นคนเลี้ยงดูนางตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ หากว่าเจ้าตกลงเห็นด้วย ก็นัดแนะหาเวลาว่าง ข้าจะพามาให้เจ้าลองพิจารณาดู!” พูดจบก็เม้มปากพลางยิ้มขึ้นบางๆ “ไม่ใช่พวกย้อมแมวขายอย่างแน่นอน!” คำพูดประโยคเดียวก็สามารถปราบคู่แข่งจนราบคาบได้
พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นหลี่ฮูหยินเดินเข้ามาพอดี
“พวกท่านก็อยู่ที่นี่หรือ!” นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “ข้าเองก็กำลังจะไปดูความครึกครื้นพอดี”
โจวฮูหยินและสืออีเหนียงจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ จากนั้นทุกคนก็พากันไปยังเรือนแถวส่วนหลังของเรือนหอ
หลี่ฮูหยินก็ได้เข้ามากระซิบที่ข้างหูสืออีเหนียงว่า “จะว่าไปแล้วเฉินเก๋อเหล่าก็เป็นถึงหัวหน้าของเหล่าขุนนางนับร้อย แต่ท่านดูเรือนนี่สิ…” จากนั้นก็ยิ้มขึ้นพร้อมกับพูดต่อไปว่า “ยังเทียบไม่ได้กับเรือนของพวกเราเสียด้วยซ้ำ อย่างน้อยๆ นายท่านจวนข้าก็รู้ว่าควรที่จะซื้อกิจการการค้าเก็บไว้ให้ลูกหลาน สินเดิมของบุตรีก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ส่วนของบุตรชายทั้งสองนั้นได้สร้างจวนใหญ่ที่มีทางเข้าออกสามทางในตรอกกุ้ยซู่ ไม่ได้มีทางเข้าแค่ทางเดียว แถมยังใกล้เคียงกันอีกด้วย เรื่องเล็กน้อยไม่ขัดแย้งต่อกัน เรื่องใหญ่ก็สามารถช่วยเหลือกันได้” คำพูดนี้มีนัยแอบแฝง
สืออีเหนียงไม่สะดวกใจจะตอบ จึงแค่ยิ้มตอบพร้อมกับเอ่ยเชยชมความคิดของผู้บัญชาการหลี่ไปตามมารยาทเท่านั้น
“…ข้าไม่ได้จะยกยอปอปั้นตัวเอง ถึงแม้ว่านายท่านบ้านข้าจะแย่ไปเสียหน่อย แต่กลับให้ความรู้สึกที่อุ่นใจในการใช้ชีวิต กิจการของตระกูลที่ต้องมีคนมารับช่วงต่อ ก็ให้บุตรชายคนโตเป็นคนรับไป แต่ไม่ว่าจะเป็นหน้ามือหรือหลังมือก็ล้วนแล้วแต่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเราทั้งนั้น ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการศึกษาหรือทักษะศิลปะการต่อสู้ของบุตรชายคนรองจึงถูกควบคุมค่อนข้างเข้มงวดกว่าบุตรชายคนโต” ขณะที่หลี่ฮูหยินกำลังพูดอยู่นั้น ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “เขาสอบศิลปะการต่อสู้ซิ่วไฉผ่านตั้งแต่ตอนอายุสิบสอง ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ก็จะเข้าร่วมการสอบศิลปะการต่อสู้เซียงซื่อด้วย! อย่างอื่นข้าไม่พูด แต่หากเป็นเรื่องที่พวกเขาจะไปสร้างจวนใช้ชีวิตกันเอง พวกเราที่เป็นบิดามารดาไม่เคยเป็นกังวลใจแม้แต่นิดเดียวว่าพวกเขาจะจัดการไม่ได้!”
ก่อนหน้านี้สืออีเหนียงไม่เคยไถ่ถามถึงความเป็นมาของบุตรชายคนรองผู้บัญชาการหลี่เลย ก็เพราะกลัวว่าหากได้พูดคุยไปแล้วก็จะยากที่จะปฏิเสธและหลีกเลี่ยง ตอนนี้พอได้ยินหลี่ฮูหยินพูดมาเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะแอบรู้สึกตกใจ ทั้งสองพูดคุยกันอยู่เพียงไม่กี่คำ ก็มีสาวใช้น้อยเข้ามาเชื้อเชิญทุกคนไปรับประทานอาหารที่โถงบุปผา “…เริ่มรับประทานอาหารแล้วเจ้าค่ะ”
คนที่อยู่ในเรือนก็พากันทยอยไปยังโถงบุปผา
หลังจากที่กลับไปถึงจวนแล้ว สืออีเหนียงก็รีบไปถามอาการป่วยของซินเจี่ยเอ๋อร์ทันที พอรู้ว่าทานยาเสร็จอาการไอก็ทุเลาลง จึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ตอนไปดื่มสุรามงคลที่จวนเฉินเก๋อเหล่าให้ไท่ฮูหยินฟัง
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินว่าบุตรชายคนรองของบ้านสกุลหลี่จะเข้าร่วมการสอบศิลปะการต่อสู้อู่จวี่ด้วย จึงค่อนข้างแปลกใจเป็นอย่างมาก “เจ้าให้คนไปแจ้งพ่อบ้านไป๋สักคำ ให้เขาส่งคนไปสืบเรื่องของจวนสกุลหลี่หน่อย”
สืออีเหนียงขานรับ
ไท่ฮูหยินก็ได้พูดต่อไปอีกว่า “ส่วนทางฝั่งโจวฮูหยิน จัดการให้เร็วดีกว่าชักช้ายืดยาด ถือโอกาสตอนที่เจ้าหนูสี่ไม่อยู่ไปดูเสียหน่อย เราสามารถยื้อคำตอบจนกว่าเจ้าหนูสี่จะกลับมาถึง”
สืออีเหนียงก็ได้ปรึกษากับไท่ฮูหยินว่า “เรานัดอีกสองวันที่จะถึงนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ เพราะนี่ก็ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างแล้ว”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้ก็ส่งป้าซ่งไปแจ้งข่าวกับทางโจวฮูหยินก็แล้วกัน!”
สืออีเหนียงขานรับ “เจ้าค่ะ” ไท่ฮูหยินจึงยิ้มขึ้นพร้อมกับไล่นางให้ไปพักผ่อนได้แล้ว “…ยุ่งวุ่นมาทั้งวัน ยังจะต้องมาวิ่งเต้นเรื่องของเจินเจี่ยเอ๋อร์อีก”
“นี่เป็นหน้าที่ภายในที่ข้าควรต้องทำอยู่แล้ว” สืออีเหนียงพูดคุยกับไท่ฮูหยินอยู่ครู่หนึ่งด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม จากนั้นก็กลับไปยังเรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน
หนังสือบัญชีถูกกองตั้งสูงราวหนึ่งฉื่ออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หู่พั่วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ยังไม่ทันจะพ้นเที่ยง เหวินอี๋เหนียงก็ตรวจทานหนังสือบัญชีเสร็จหมดเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ยื่นกระดาษที่ใช้จดรายการให้กับสืออีเหนียงพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เหวินอี๋เหนียงเป็นคนเขียนรายการเหล่านี้ รายการที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมากและรายการค่าใช้จ่ายที่หาอักษรลงนามของผู้ดูแลรับผิดชอบไม่ได้ ล้วนเขียนไว้ในนี้หมดแล้ว” จากนั้นนางก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “การใช้แผงลูกคิดของเหวินอี๋เหนียงเยี่ยมยอดเป็นอย่างมาก บ่าวว่าเหล่าบรรดาผู้ดูแลทั้งเรือนในและเรือนนอกของจวนก็คงจะไม่มีผู้ใดมีความสามารถกว่านางอีกแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นหรือ” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับรับหนังสือรายการบัญชีมาเปิดดู
ทุกลายลักษณ์อักษร ทุกรายละเอียด ถูกจดบันทึกไว้อย่างชัดเจน
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ให้หู่พั่วไปเชิญเหวินอี๋เหนียงมา
ป้าซ่งก็เข้ามารายงานพอดี “…ของถูกส่งไปเรียบร้อยแล้ว เจียงฮูหยินได้กล่าวขอบคุณที่ยังนึกถึงกัน ส่วนนายหญิงเจียงและคุณหนูเก้าจะเดินทางมาถึงก่อนเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงจึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้แล้วบุตรสาวของเจียงซงอยู่ในลำดับเก้าของตระกูล
นางจึงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วสั่งให้ป้าซ่งไปที่จวนขององค์หญิงฝูเฉิงในวันพรุ่งนี้ “…ไปแจ้งโจวฮูหยินสักคำ อีกสองวันก็ถึงเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างแล้ว จึงมีแค่วันมะรืนเท่านั้นที่จะสามารถเจียดเวลามาได้ มิเช่นนั้นก็จะต้องรอไปจนถึงเทศกาลตากเสื้อผ้าวันหกค่ำเดือนหกถึงจะมีเวลาหยุดพักผ่อน”
ถึงแม้ว่าป้าซ่งจะไม่เข้าใจว่าเพื่ออะไร แต่ก็ขานรับว่า “เจ้าค่ะ” แล้วถอยออกไปด้วยความนอบน้อม
สืออีเหนียงจึงค่อยหย่อนตัวนั่งลงจิบน้ำชาพลางตรวจดูสมุดบันทึกรายการบัญชีอย่างละเอียดถี่ถ้วน
สาวใช้น้อยก็ได้เข้ามาเรียนว่า “เหวินอี๋เหนียงมาแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงจึงเชิญนางเข้ามา
สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนใจ “ข้าเพียงแค่ตรวจทานไปตามใบรายการที่ถูกลงนามอนุญาตไว้เท่านั้น ไม่รู้ว่าจะถูกต้องหรือไม่”
หากมีรายการค่าใช้จ่ายส่วนไหนที่ต้องบันทึกลงในสมุดบัญชี สืออีเหนียงก็จะต้องหาคนที่ลงนามอนุญาตในใบรายการนั้นออกมา
ไม่เสียทีที่เกิดในครอบครัวของพ่อค้า จึงได้มีความเชี่ยวชาญในด้านการตรวจทานบัญชีเช่นนี้
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าดูผ่านตาแล้ว ไม่มีตรงไหนที่ผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม” จากนั้นก็ได้หันไปสั่งให้หู่พั่วนำไปเก็บ “พรุ่งนี้เช้าไปตรวจกับเหล่าบรรดาผู้ดูแลอีกรอบ จากนั้นก็ส่งไปที่ห้องบัญชีเลย”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็อึ้งไปชั่วขณะ
เช่นนี้ก็หมายความว่าจะเบิกจ่ายตามค่าใช้จ่ายจริงหรือ
นางอดไม่ได้ที่จะเตือนขึ้นว่า “การเบิกเงินของลานนอกในทุกๆ ปี จะต้องใช้จ่ายให้เท่ากับค่าใช้จ่ายของปีที่แล้ว หากว่าปีนี้มีเงินเหลือเกินออกมา เกรงว่าเงินส่วนที่จะเบิกมาใช้จ่ายกับเรือนชั้นในก็พลอยจะน้อยกว่าปีที่แล้วไปด้วย หากปีไหนเจอเข้ากับสถานการณ์น้ำท่วมหรือแห้งแล้ง เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไม่ดีเท่าที่ควร ราคาของเมล็ดธัญพืชต่างๆ รวมไปถึงผลหมากรากไม้ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ถึงเวลานั้นเกรงว่าจะไม่พอค่าใช้จ่ายเอา หากว่าไปเบิกเงินกับทางลานนอกอีก ผู้อื่นจะคิดว่าเรามือเติบใช้จ่ายมากเกินไปเจ้าค่ะ!”
ใช้จ่ายมากเกินไป เช่นนั้นก็เท่ากับว่าสืออีเหนียงดูแลจวนไม่เป็น!
ไม่ว่าจะด้านไหนนางก็จะช่วยคิดแทนสืออีเหนียงเสมอ เพียงแต่ว่าสืออีเหนียงคิดว่าการที่จะให้เหล่าบรรดาป้ารับใช้ที่เป็นผู้ดูแลออกมาแก่งแย่งแข่งขันกันด้วยความสามารถเพื่อที่จะให้ออกมาดีที่สุด สู้นำเรื่องนี้ไปวางไว้ตรงส่วนกลาง มันก็จะไม่ใช่แค่การปรึกษาหารือและการตัดสินใจระหว่างสืออีเหนียงและเหวินอี๋เหนียงอีกต่อไป
“เจ้าพูดมีเหตุผล” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างใหญ่ ข้าว่าควรจะรอให้ท่านโหวกลับมาก่อน แล้วข้าค่อยปรึกษาหารือเพื่อคิดหาแนวทางกับท่านโหวอีกทีก็ยังไม่สาย”
เหวินอี๋เหนียงเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป
สืออีเหนียงก็เปลี่ยนเรื่องคุย พูดเรื่องสถานการณ์ของบ้านสกุลเฉินแทน
เหวินอี๋เหนียงฟังนางพูดอย่างใจจดใจจ่อ “เช่นนั้น วันมะรืนฮูหยินก็จะไปพบกับคนบ้านสกุลหวังแล้ว!”
“อืม” สืออีเหนียงตอบกลับ “ทางฝั่งโจวฮูหยิน ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องไปดูเสียหน่อย”
เหวินอี๋เหนียงเองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้จะต้องจัดการอย่างรอบคอบ นางจึงชงชาให้สืออีเหนียงหนึ่งถ้วย “ลำบากฮูหยินแล้ว!” น้ำเสียงค่อนข้างจริงใจเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงรับถ้วยน้ำชามาพลางพูดขึ้นว่า “เพียงแต่ว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าอยากจะให้เหวินอี๋เหนียงช่วยหน่อย”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็รีบพูดขึ้นว่า “เชิญฮูหยินสั่งมาได้!”
“ข้าได้ยินมานานแล้วว่าการใช้แผงลูกคิดของเหวินอี๋เหนียงนั้นมีความชำนาญเป็นอย่างมาก จึงอยากให้เหวินอี๋เหนียงช่วยตรวจสอบรายการบัญชีภายในช่วงสองสามวันนี้สักรอบ ดูสัดส่วนค่าใช้จ่ายของแต่ละรายการว่าใช้จ่ายไปเท่าไร มีความแตกต่างกับปีที่ผ่านๆ มาหรือไม่”
เมื่อเหวินอี๋เหนียงได้ยินคำพูดของสืออีเหนียงแล้วก็เข้าใจความหมายได้ในทันที แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นหน้าที่ส่วนของนายหญิงใหญ่ประจำบ้าน และวันนี้เป็นเพราะว่าสืออีเหนียงจะต้องไปร่วมดื่มสุรามงคลในพิธีงานแต่ง อีกทั้งยังต้องรีบตรวจทานบัญชีค่าใช้จ่ายทั้งเรือนในและลานนอก…นางจึงแสดงสีหน้าที่ลังเลและไม่แน่ใจออกมา
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็ได้พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ต้นไม้ต้นเดียวไม่อาจกลายเป็นผืนป่าได้ ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็เป็นงานถนัดของเหวินอี๋เหนียงอีกด้วย” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความจริงใจ
เหวินอี๋เหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นด้วยความแน่วแน่ว่า “ในเมื่อฮูหยินให้ความสำคัญกับข้า ข้าก็จะพยายามตั้งใจทำให้สุดความสามารถเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ วันถัดมาหลังจากพี่ตรวจทานบัญชีรายการค่าใช้จ่ายของเดือนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ให้หู่พั่วไปขนหนังสือบันทึกรายการบัญชีของทั้งสามปีที่ผ่านมานี้ไปยังเรือนศาลาริมน้ำ ให้เหวินอี๋เหนียงและหู่พั่วตรวจสอบที่ห้องปีกทิศตะวันออก ส่วนตนก็นั่งเย็บปักถักร้อยกับเจินเจี่ยเอ๋อร์
เจินเจี่ยเอ๋อร์คอยเงยหน้าขึ้นมามองสืออีเหนียงเป็นพักๆ เหมือนว่ามีอะไรบางอย่างจะพูด แต่พอเห็นใบหน้าที่สงบของสืออีเหนียงแล้ว ก็ได้แต่กลืนคำพูดลงคอไป
สืออีเหนียงมองเห็นทุกอย่างชัดเจน แต่แสร้งว่าไม่รู้ไม่เห็น
คนเราจะต้องเรียนรู้ที่จะส่งเสริมจุดเด่นและหลีกเลี่ยงจุดด้อย
ที่ผ่านมาการคิดคำนวณเลขก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่สืออีเหนียงถนัดอยู่แล้ว มิเช่นนั้น ตอนนั้นนางก็คงเลือกที่จะเรียนสาขาการบัญชีไปแล้ว
เก็บผู้เชี่ยวชาญการคิดคำนวณอย่างเหวินอี๋เหนียงไว้ข้างกายไม่นำมาใช้งาน แล้วให้ตัวเองไปคิดคำนวณแทน สู้นั่งเย็บปักถักร้อยและจิบน้ำชาไปพลางๆ ดีกว่า
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านในหัว เยี่ยนหรงก็ได้ให้สาวใช้น้อยยกผลท้อ ผลพลัม ผลอิงเถาและแตงหอมหั่นชิ้นเข้ามาพอดี
ผลท้อเป็นผลท้อพันธุ์น้ำผึ้งที่พระราชวังประทานให้ แต่ละผลมีขนาดใหญ่เท่ากำปั้น ผลท้อปกติทั่วไปจะไม่สมบูรณ์ขนาดนี้
สืออีเหนียงให้เยี่ยนหรงนำจำนวนหนึ่งส่งไปให้เหวินอี๋เหนียงและหู่พั่วที่กำลังคิดบัญชีอยู่ห้องทิศตะวันออก จากนั้นก็ไปล้างมือให้สะอาดแล้วทานผลอิงเถาพร้อมเจินเจี่ยเอ๋อร์
ปินจวี๋ก็มาถึงพอดี
สืออีเหนียงรีบกวักมือเรียกนางมาร่วมทานด้วยกัน
ปินจวี๋มวยผมทรงกลม ติดผมด้วยเครื่องประดับมุกทรงดอกไม้ที่สืออีเหนียงเคยมอบให้ สวมชุดเป้ยจื่อผ้าไหมสีชมพูรากบัว เดินเข้ามาย่อตัวทำความเคารพสืออีเหนียงและเจินเจี่ยเอ๋อร์ จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่อยู่ข้างๆ
“งานปักของเจ้าปักไปถึงไหนแล้ว” สืออีเหนียงถามขึ้นพลางยื่นผลท้อให้นางทาน
ปินจวี๋กล่าวขอบคุณแล้วรับผลท้อมา “เพิ่งจะเริ่มปักเจ้าค่ะ เป็นลายนกกางเขนบนกิ่งต้นพลัม เพิ่งจะปักกิ่งของดอกพลัมเสร็จ”
“นี่ก็ถือว่าเร็วมากแล้ว” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
ปินจวี๋จึงยิ้มขึ้นพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ “ในจวนมีอาหารเที่ยงให้ทานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย บ่าวขอแค่อาหารมื้อเช้าและมื้อเย็นก็พอเจ้าค่ะ”
ทั้งสองก็พากันพูดคุยเรื่อยเปื่อย
เจินเจี่ยเอ๋อร์ทานแตงหวานได้สองสามชิ้นก็ไปปักผ้าต่อ
สืออีเหนียงจึงค่อยพูดกับปินจวี๋ว่า “ข้าอยากจะให้เจ้าเข้าจวนมาช่วยสอนงานเย็บปักถักร้อยให้เจินเจี่ยเอ๋อร์หน่อย”
“ข้าหรือเจ้าคะ” ปินจวี๋อึ้งไปชั่วขณะ “ฝีมือของข้าจะไปเทียบเท่ากับฮูหยินได้อย่างไรกัน”
“ข้างานยุ่ง ไม่มีสมาธิไปจดจ่อสอนนาง” สืออีเหนียงพูดขึ้น “อยากให้เจ้ามาช่วยชี้แนะเจินเจี่ยเอ๋อร์หน่อย ทานข้าวเช้าเสร็จก็มาเลย ตกบ่ายก็กลับไปได้ ข้าจะดูแลอาหารมื้อเที่ยงเอง งานเย็บปักถักร้อยของเจ้าจะเอามาด้วยก็ได้ เช่นนี้จะได้ไม่เสียเวลางานของเจ้าด้วย ค่าจ้างเดือนละหนึ่งตำลึง เจ้าคิดเห็นอย่างไรบ้าง”
“ฮูหยินถามแปลกๆ” ปินจวี๋ตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ฮูหยินมีเรื่องก็เพียงแค่สั่งข้ามาคำเดียว เพียงแต่ข้าไม่ได้มีฝีมือเช่นฮูหยิน กลัวว่าจะเป็นตัวถ่วงของคุณหนูใหญ่เสียมากกว่าเจ้าค่ะ”
อย่างไรเสียปินจวี๋ก็ได้แต่งงานออกเรือนไปแล้ว เป็นสะใภ้ของเรือนอื่นไปแล้ว ตนสามารถที่จะช่วยนางได้ และนางก็สามารถช่วยตนได้อีกด้วย
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าควรกลับไปปรึกษาหารือกับว่านต้าเสี่ยนเสียก่อน…”
แต่ไม่ทันที่นางจะพูดจบ ปินจวี๋ก็รีบพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “มีอะไรให้น่าปรึกษาหารือกัน แน่นอนว่าต้องฟังฮูหยินอยู่แล้วเจ้าค่ะ!” กลับกลายเป็นสืออีเหนียงที่ต้องเป็นฝ่ายอึ้งเสียมากกว่า
หลังจากที่ปินจวี๋กลับถึงเรือนแล้ว ก็ได้พูดเรื่องนี้กับว่านต้าเสี่ยน
ว่านต้าเสี่ยนค่อนข้างรู้สึกเป็นกังวลใจ “เจ้าจะทำได้หรือไม่ อย่าไปทำขายหน้าฮูหยินเข้าล่ะ คุณหนูใหญ่เป็นคุณหนูของจวนหย่งผิงโหว ไม่ใช่บุตรีของเรา”
ปินจวี๋ยิ้มขึ้นพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ถึงแม้ว่าฝีมือข้าจะไม่เทียบเท่าฮูหยิน แต่ในจวนนอกจากพี่ตงชิงแล้ว ก็ยังไม่มีผู้อื่นใดเอาชนะข้าได้!” แต่พอพูดจบก็แสดงสีหน้าเก้อเขินออกมา
ว่านต้าเสี่ยนได้ยินแล้วก็อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ฉีกยิ้มที่มุมปาก เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรอย่างไรอย่างนั้น
ในเรือนเงียบสงบลง จู่ๆ ทั้งสองก็ทำตัวไม่ถูกขึ้นมา บรรยากาศในห้องค่อนข้างแปลกประหลาด
ทั้งสองหันมาหากันพลางถามขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย “เจ้าทานข้าวแล้วหรือยัง”
เมื่อคำพูดสิ้นสุดลง ว่านต้าเสี่ยนและปินจวี๋ก็สบตาพร้อมกับพากันหัวเราะขึ้นมา
บรรยากาศที่น่าอึดอัดเมื่อครู่นี้พลันหายไปจนหมด
ปินจวี๋จึงรีบพูดขึ้นว่า “ข้าไปทำกับข้าว!”
“ข้าไปจุดไฟ” ว่านต้าเสี่ยนเดินตามหลังภรรยาเข้าไปในห้องครัว