องค์รัชทายาทไม่ได้ไม่เป็นที่รู้จัก
คดีหมู่บ้านซ่างเหอ ผู้คนต่างถกเถียงถึงองค์รัชทายาท
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฮองเฮาแค้นจนดวงตาแดงก่ำ เดิมทีพิสูจน์ได้แล้วว่าองค์รัชทายาทถูกใส่ร้าย การส่งกองกำลังออกไปทำสงครามกับท่านอ๋องฉีจะสามารถประกาศได้ทั่วแผ่นดิน ไม่คิดว่าจะถูกองค์ชายสามแทรกแซงเข้ามา
เวลานี้ท่านอ๋องฉีถูกปราบแล้ว แต่คุณงามความดีและเกียรติยศล้วนเป็นขององค์ชายสาม
องค์รัชทายาทไม่มีอะไรเลยนอกจากถูกใส่ร้าย
องค์รัชทายาทนอกจากถูกใส้รายแล้ว ไม่ได้สิ่งใดทั้งสิ้น
“ระยะนี้องค์รัชทายาทไม่ได้พูดสิ่งใดในท้องพระโรง” องค์ชายห้าถอนหายใจ “ลูกไม่เคยเห็นเขาเงียบขนาดนี้มาก่อน”
ฮองเฮากัดฟัน “ในสายตาเสด็จพ่อของพวกเจ้ามีเพียงเจ้าเด็กป่วย เสด็จกลับจากท้องพระโรงก็อยู่แต่ในพระตำหนักของพระสนมสวี เวลานี้นอกจากพวกนางแม่ลูก ในสายตาไม่มีผู้อื่น”
พูดถึงตรงนี้ก็มองไปรอบด้าน
ในขณะที่แม่ลูกกำลังคุยกัน คนส่วนใหญ่ในตำหนักต่างถอยออกไป เหลือเพียงคนสนิทสองคน เมื่อเห็นฮองเฮามองมาในเวลานี้ นางในทั้งสองจึงรีบถอยออกไปทันที
“ลงมือช้าไป” ฮองเฮาพูด “หากลงมือเร็วกว่านี้ จะมีวันนี้ได้อย่างไร”
องค์ชายห้าพูด “เสด็จแม่ไม่ต้องรีบ รอเขากลับมา มอบยาให้เขาสักชามก็พอ อย่างไรยายังมีอีกมาก”
ฮองเฮาไม่รู้สึกดีใจ “ได้ยินว่า ฝ่าบาทจะเสด็จออกไปต้อนรับเขาเอง”
องค์รัชทายาทเท่านั้นที่มีสิทธิพิเศษเช่นนี้!
“รับก็รับเถิด” องค์ชายห้าพูดเย้ยหยัน “ก่อนตายดื่มด่ำกับการมีสิทธิพิเศษขององค์รัชทายาท ก็ไม่ถือว่าเสียเปล่า”
ฮองเฮาไม่ยอม สิทธิพิเศษขององค์รัชทายาทมีเพียงบุตรชายของเขาเท่านั้นที่ได้ คนอื่น แม้แต่คนตายก็ไม่ได้
“เจ้าก็เช่นกัน ช่วยอันใดพี่ชายเจ้าไม่ได้แม้แต่น้อย” นางมองบุตรชายคนเล็ก ตำหนิอย่างขุ่นเคือง
องค์ชายห้ารีบพูด “หลังจากย้ายเมืองหลวงมาลูกได้เงินมามากมาย ล้วนมอบให้เสด็จพี่ใช้”
หลังจากย้ายเมืองหลวง องค์ชายห้าขายที่ดินที่ครอบครองทั้งหมด ฮ่องเต้ให้องค์ชายสองและองค์ชายสี่ไปควบคุมงานที่เมืองใหม่ องค์ชายห้าจึงอาศัยองค์ชายสี่ทำบางสิ่งกับวัสดุ
เรื่องนี้ฮองเฮาย่อมรู้
“เสด็จพี่เจ้าไม่ได้ขาดแคลนเงิน” นางพูด “แต่เป็นกำลังคน กำลังคนสำหรับทำงาน กำลังคนในการจัดการปัญหา มิฉะนั้นคงไม่เป็นเหมือนดั่งเวลานี้ เมื่อเผชิญปัญหา ทำได้เพียงมองดูคนอื่นบรรลุความสำเร็จ”
องค์ชายห้าถูกตำหนิ จึงก้มหน้าขอทูลลาออกไปอย่างหัวเสีย ในขณะที่กำลังลังเลว่าจะไปดูองค์รัชทายาทหรือไม่ ก็พบขันทีประจำกายขององค์รัชทายาทวิ่งเข้ามา
“องค์ชายห้า” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “องค์รัชทายาทเชิญท่านเสด็จไปที่ตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายห้าก้าวเท้าอย่างดีใจ ก่อนจะลังเลเล็กน้อย
ขันทีเห็นท่าทางของเขา ราวกับเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ จึงพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่ากลัวไปเลย องค์รัชทายาทไม่ได้ต้องการถามเรื่องการบ้านของท่าน คราก่อนท่านบอกว่าบทเรียนที่สวีซินแสพูดไม่เข้าใจนักมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทหาอาจารย์ที่เหมาะสมกับท่าน จึงให้ท่านไปพบ”
องค์ชายห้าบอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกอย่างไร “เวลาใดแล้ว เสด็จพี่ยังคิดเรื่องนี้”
ขันทียิ้ม “เวลาอันใดกัน องค์รัชทายาทตรัสไว้แล้ว ความรู้ของท่านไม่อาจทิ้ง เมื่อถึงเวลาศึกษาดีแล้ว สามารถทูลขอฝ่าบาททรงงาน ทรงงานให้ดี จากนั้น…”
องค์ชายห้าขัดจังหวะเขาอย่างรำคาญใจ “เอาเถิด เอาเถิด ข้าเข้าใจแล้ว” หลังจากพูดจบ เขาก็รีบวิ่งไปที่พระตำหนักขององค์รัชทายาท
ตอนที่เขาเดินทางมาถึง ภายในห้องทรงพระอักษรขององค์รัชทายาทมีคนอื่นอยู่
“อาเสวียน” องค์ชายห้าตกตะลึงอย่างมาก พินิจเขา “เจ้าหายดีแล้วหรือ ไม่พบกันนานมาก ข้าไปเยี่ยมเจ้า แต่ถูกพี่สองรั้งเอาไว้”
โจวเสวียนสวมเครื่องแบบขุนนาง เขาผอมลงไปมาก แต่มีชีวิตชีวา เพียงแต่ดูแตกต่างออกไปอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อได้ยินคำพูดขององค์ชายห้า เขาโค้งคำนับ “มันเป็นความผิดของข้าน้อยทั้งหมด ข้าน้อยมีโทษติดตัว องค์ชายห้าไม่ต้องมาเยี่ยม”
องค์ชายห้าทำท่าทางเหมือนเห็นผี “โจวเสวียน เจ้าเป็นอันใดไป สมองได้รับการกระทบกระเทือนหรือ?”
โจวเสวียนเคยสุภาพกับเขาขนาดนี้เมื่อใดกัน
องค์รัชทายาทกระแอมเบาๆ “อย่าได้เหลวไหล อาเสวียนเป็นผู้สุภาพ”
“ถูกต้อง” องค์ชายห้าตรัส “โจวเสวียนเป็นผู้สุภาพ ไม่ได้หมายความว่าเขาเสียสติหรือ”
โจวเสวียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ พูด “องค์ชายห้า เรื่องเป็นเช่นนี้ แต่ก่อนข้าน้อยไม่รู้เรื่อง กระทำการเกินกว่าเหตุ หลังจากฝ่าบาททรงตำหนิและสั่งสอน ข้าน้อยจึงปรับปรุงตัวใหม่”
คำพูดฟังดูน่าตกใจเสียจริง องค์ชายห้าต้องการพูดบางสิ่ง แต่องค์รัชทายาทโบกมือให้เขา “เอาเถิด เจ้าอย่าขัดจังหวะ”
โจวเสวียนพูด “ข้าน้อยไม่เป็นอันใดแล้ว ได้รับงานบางส่วน ก่อนออกไปจึงมาขอทูลลาองค์รัชทายาท”
องค์ชายห้าถามด้วยความสงสัย “เจ้าไปที่ใด”
โจวเสวียนพูด “ข้าน้อย…”
องค์ชายห้าพูดขัดเขา “โจวเสวียนเจ้าพูดดีๆ ได้หรือไม่ อย่าได้พูดข้าน้อยทุกประโยค”
โจวเสวียนพูด “ต่อหน้าพระองค์ ข้าน้อยเป็นขุนนาง”
องค์ชายห้าลูบคาง “เช่นนั้น ข้าพูดสิ่งใดเจ้าต้องฟังข้าใช่หรือไม่ เจ้าคุกเข่าลง”
องค์รัชทายาทขมวดคิ้ว ในขณะที่กำลังจะตำหนิ โจวเสวียนก็พูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม “ขุนนางรับใช้จักรพรรดิเป็นหน้าที่ของขุนนาง แต่ข้าน้อยย่อมไม่ยอมถูกเหยียดหยาม”
องค์ชายห้าดุด้วยรอยยิ้ม “ยังคงมีลักษณะท่าทางเช่นนี้ เอาเถิด เจ้าอยากเรียกอันใดก็เรียก ผู้ใดจะทำอันใดเจ้าได้”
องค์รัชทายาทพูด “อย่าได้พูดเหลวไหล ท่านโหวโจวได้รับพระราชโองการของเสด็จพ่อไปรับน้องสามกลับเมืองหลวง”
องค์ชายห้าส่งเสียงตอบรับ แต่ไม่ได้พูดอันใด
องค์รัชทายาทกล่าวกับโจวเสวียน “ไปต้อนรับเป็นเรื่องสมควร น้องสามเพิ่งหายดี อยู่ในแคว้นฉีเหน็ดเหนื่อยมาก ถึงแม้จะเรียกคืนแคว้นฉีได้แล้ว แต่อย่างไรก็ยังมีผู้สนับสนุนท่านอ๋องฉีหลงเหลืออยู่ไม่น้อย อีกทั้งมีการคัดเลือกขุนนางตามกลยุทธ์ ทำให้เกิดความไม่พอใจของเหล่าชนชั้นสูง ทางนั้นยังคงมีคลื่นโหมกระหน่ำ”
โจวเสวียนพยักหน้า “ฝ่าบาทก็ทรงพิจารณาเช่นเดียวกัน ดังนั้นพระองค์จึงรับสั่งให้ข้าน้อยนำกองทหารไปต้อนรับและอารักขา”
องค์รัชทายาทพูดด้วยความปีติ “เจ้าเสนอตัวเองเป็นเรื่องที่ดีมาก เรื่องนี้มอบหมายให้เจ้า เสด็จพ่อและน้องสามต่างวางใจ”
โจวเสวียนคำนับ “ข้าน้อยย่อมไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง” พูดพลางขอทูลลา
เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของชายหนุ่ม องค์ชายห้าส่ายหัว “ถูกเฆี่ยนจนเสียสติไปแล้ว หากดูเช่นนี้ คนถูกเฆี่ยนตีตั้งแต่เด็กจะดีกว่า มิฉะนั้นหากถูกเฆี่ยนภายในครั้งเดียวอาจทนรับไม่ได้”
องค์รัชทายาทหัวเราะ “หยุดพูดเหลวไหล อาเสวียนรู้เรื่องแล้วต่างหาก”
องค์ชายห้าเบ้ปาก “เขารู้เรื่องหรือไม่รู้มีความแตกต่างอย่างไร”
องค์รัชทายาทส่ายหน้า “เอาเถิด ข้าเรียกเจ้ามาเพื่อให้พบอาจารย์คนใหม่ที่เชิญมา ข้าเชิญเขามาได้อย่างยากลำบาก” ขณะที่เขาพูด เขาก็เอื้อมมือไปลูบไหล่ขององค์ชายห้าอย่างนุ่มนวล ทำให้รอยยับราบเรียบ
หัวใจขององค์ชายห้าก็ถูกลูบให้เรียบ “เสด็จพี่ ท่านไม่ต้องกังวลแทนข้า ถึงแม้ข้าจะมีความรู้ที่ดี ในสายตาเสด็จพ่อข้าก็เป็นเช่นนั้น”
“ความรู้ของเจ้าไม่ได้มีไว้สำหรับเสด็จพ่อ” องค์รัชทายาทตรัส “การศึกษามีไว้เพื่อให้เจ้าเลี้ยงตนเอง มันคือรากฐานแห่งอนาคตของเจ้า ฮองเฮาผู้ให้กำเนิดมีเพียงเจ้ากับข้าสองคนเท่านั้น ข้าเป็นห่วงพวกเราทั้งสองคนที่สุด”
องค์ชายห้าส่งเสียงออกมาจากจมูก “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะตั้งใจเรียน ไม่ให้เสด็จพี่ท่านต้องกังวล”
องค์รัชทายาทยิ้ม “ไม่ต้องลำบากมาก อีกอย่าง เจ้ายังมีพี่ชายอย่างข้าอยู่”
องค์ชายห้าอดยิ้มไม่ได้
“เอาเถิด” องค์รัชทายาทตรัส “เฉิงซินแสกำลังสนทนากับพระชายาอยู่ เจ้าไปพบเขาเถิด”
องค์ชายห้าตอบรับ เดินออกไปอย่างมีความสุข ก่อนจะหันกลับมามององค์รัชทายาทที่นั่งทรงงานอยู่หน้าโต๊ะ องค์ชายห้าถอนหายใจ รอยยิ้มสลายหายไป แววตาทั้งสงสารและรู้สึกไม่เป็นธรรม จากนั้นเดินจากไปทันที
องค์ชายห้าไม่ได้ไปพบเฉิงซินแสที่ตำหนักของพระชายาแต่อย่างใด หากแต่เขาวิ่งออกไปข้างนอก ไม่ช้าเขาก็พบร่างของโจวเสวียน
“อาเสวียน” เขาเดินเข้าใกล้
โจวเสวียนหยุดลง ร่างของเขาสูงโปร่งดุจดั่งต้นไผ่โน้มตัวลงเล็กน้อย “ข้าน้อย…”
องค์ชายห้ากอดไหล่ของเขา “อย่าข้าน้อย อย่าข้าน้อยอีก พูดดีๆ”
ชายหนุ่มยืนตัวตรง รูปร่างสูงกว่าองค์ชายห้า ดูราวกับองค์ชายห้าห้อยอยู่บนตัวเขา
“องค์ชายห้า โปรดตรัสมาเถิด” โจวเสวียนกล่าว
องค์ชายห้าดึงเขาเข้ามาใกล้ กระซิบ “ข้าจะไปรับพี่สามกับเจ้า”
โจวเสวียนชำเลืองมองเขา ไม่รอเอ่ยปาก องค์ชายห้าก็ปล่อยมือจากเขา เชิดหน้ามองเขาอย่างเย่อหยิ่ง “ในเมื่อเจ้าเรียกตัวเองว่าข้าน้อย มันคือคำสั่งของข้าที่มีต่อเจ้า”
โจวเสวียนยิ้ม โน้มตัวคำนับ “ข้าน้อยน้อมรับ”
…
ฝูชิงเดินเข้ามาอย่างแผ่วเบา วางชาลงบนโต๊ะ
องค์รัชทายาทไม่ได้เงยหน้ามอง เอ่ยถาม “เป็นอย่างไร”
ฝูชิงพูดเสียงเบา “ทุกสิ่งเหมือนดั่งที่องค์รัชทายาทคาดการณ์พ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทพยักหน้า ตอบรับ “จัดเตรียมกำลังคนให้ดี”
ฝูชิงตอบรับ แล้วถอยออกไปอย่างแผ่วเบา