ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – Side Story < A Love Marriage > 1-2

Side Story < A Love Marriage > 1-2

“เขายังกลัวว่าชีวิตของผมจะพังจนทำอะไรไม่ถูกอยู่เลยครับ”

“หมายความว่ายังไง ชีวิตของนายก็…”

“ใช่ครับ ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังคบกับเขา ชีวิตของผมก็เหมือนขยะที่ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว”

เขาโอเคที่จะใช้ความรู้สึกผิดของอินซอบและแกล้งทำตัวน่าสงสารเพื่อเกาะติดอีกฝ่ายอยู่ประมาณหนึ่ง แต่เขาไม่อยากเห็นอินซอบทุกข์ใจเพราะตัวเอง

“ความจริงคนที่ชีวิตพังคือชเวอินซอบต่างหาก ว่าไหมครับ ถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็คือเหี้ยเลยแหละ เพราะเขาต้องอยู่กับคนอย่างผมไปทั้งชีวิต”

อีอูยอนหลุบตามองต่ำพร้อมกับหลุดเสียงหัวเราะต่ำๆ ออกมา กรรมการผู้จัดการคิมลูบแขนที่ขนลุกซู่ เพราะคำพูดเมื่อสักครู่ของอีอูยอนฟังดูเหมือนคำประกาศที่บอกว่าจะไม่ปล่อยอินซอบไปทั้งชีวิต

“การแต่งงานมันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร แค่ประทับตราลงไปอีกครั้งมันก็จบแล้ว ไอ้การแต่งงานนั่นน่ะ”

“อืม งั้นกรรมการผู้จัดการของผมก็ประทับตราประทับไปห้าครั้งแล้วใช่ไหมครับ”

“ฉันประทับแค่สี่เท่านั้น!”

กรรมการผู้จัดการคิมหลงกลและเผลอขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว

“ทำไมล่ะครับ”

“…ก็ครั้งแรกฉันเซ็นชื่อ”

อีอูยอนหัวเราะพลางนั่งลงบนโซฟา

“ยังไงก็ตาม ฉันคิดว่าถ้าแต่งงานแล้วจะได้เจอกับตอนจบที่มีความสุข แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลย มันเริ่มต้นตั้งแต่ตรงนั้นต่างหาก เป็นฉากเริ่มต้นของความโชคร้าย”

อีอูยอนครุ่นคิดและตั้งใจมองกรรมการผู้จัดการคิม

“…ทำไม ฉัน…ฉันพูดอะไรผิดเหรอ”

แม้จะไม่ใช่คำพูดที่ควรจะพูดกับคนที่เพิ่งหมั้น แต่ก็เป็นคำแนะนำที่เป็นความจริง

“ปกติผมไม่ยกย่องใครหรอกนะครับ แล้วผมก็ไม่คิดที่จะทำแบบนั้นด้วย”

อีอูยอนใช้นิ้วที่เรียวสวยเคาะลงกับโต๊ะและพูดต่อ

“แต่ก็มีบางครั้งที่ผมรู้สึกยกย่องกรรมการผู้จัดการจากใจจริงเหมือนกันครับ”

“หา? นายเนี่ยนะ ยกย่องฉัน?”

แม้จะพยายามที่จะไม่เป็นแบบนั้น แต่โหนกแก้มของกรรมการผู้จัดการคิมก็กระตุก

“ผมคิดว่าคุณยอดเยี่ยมมากจริงๆ ครับ ทำไมคนเราถึง…”

กรรมการผู้จัดการคิมแอบยิ้มอย่างพอใจอยู่ข้างใน

ใช่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนเฮงซวยที่สุดในโลกยังไง ถ้าคิดถึงสิ่งที่ฉันทำให้นายแล้ว ก็ต้อง…

“มีความสามารถในการเรียนรู้ต่ำอย่างเห็นได้ชัดถึงขนาดนี้”

“ใช่แล้ว ความ…ว่าไงนะ?”

“ผมบอกว่าเยี่ยมมากเลยนะครับที่คุณเปิดเผยว่าชอบจุดเริ่มต้นของความโชคร้ายอยู่เสมอ แล้วนั่นก็ตั้งสามครั้งด้วย”

“นั่นก็เพราะฉันเป็นคนที่มีความรักเต็มเปี่ยมน่ะสิ!”

“มีความรักเต็มเปี่ยม คุณก็เลยแบ่งมันให้คนสามคนอย่างทั่วถึงเหรอครับ อ้อ รวมหัวหน้าทีมชาด้วยก็เป็นสี่คนใช่ไหมครับ”

“พูดไร้สาระอะไรของนาย! ทำไมต้องเอาฉันไปโยงกับหัวหน้าทีมชาทุกครั้งด้วย! ทำไมต้องทำให้มิตรภาพที่บริสุทธิ์ของพวกเราสกปรก!”

“มีมิตรภาพที่บริสุทธิ์ที่ไหนในโลกที่แชร์ภรรยากันด้วยเหรอครับ”

“ไม่ได้แชร์! ฉันห้ามฮยอนคยูแล้ว แล้วฉันก็ห้ามฮียอนอย่างเด็ดขาดเลยด้วย แต่ฮยอนคยูก็…เฮ้อ ฮยอนคยูที่น่าสงสารของพวกเรา”

กรรมการผู้จัดการคิมถอนหายใจและพูดต่อด้วยสีหน้าที่แสดงออกว่าสงสารหัวหน้าทีมชาจริงๆ

“แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของฮยอนคยูหรอกนะ กับคิมฮียอนน่ะ แค่ได้พูดด้วยหรือดื่มด้วยสักครั้งก็จบแล้ว เราทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากตกหลุมรักเธอ เสน่ห์นั้นไม่ใช่ของมนุษย์ด้วยซ้ำ แค่สบตาก็โดนล่อลวงแล้ว”

เนื่องจากแต่งงานกับภรรยาเก่าของเพื่อน หัวหน้าทีมชาเองจึงมีหน้าที่ที่จะต้องอดทนกับมัน ดังนั้นเขาจึงได้ยินว่าหัวหน้าทีมชาตัดการติดต่อกับกรรมการผู้จัดการคิม และคนที่ทั้งคู่รู้จักไปพักใหญ่ และคนที่ยื่นมือมาช่วยหัวหน้าทีมชาที่หย่าและสิ้นเนื้อประดาตัวในภายหลังก็คือกรรมการผู้จัดการคิม มันจึงมีเหตุผลที่ต่อให้กรรมการผู้จัดการคิมที่พูดว่าฉันจะฆ่านายทุกครั้งที่เจอหัวหน้าทีมชา หรือดุด่าให้ลาออกจากบริษัทเดี๋ยวนี้ แต่สุดท้ายก็ยังลากกันไปไหนมาไหนอยู่ดี

“โอเคครับ กรรมการผู้จัดการที่รักษามิตรภาพที่บริสุทธิ์กับเพื่อนที่แต่งงานกับภรรยาเก่า งั้นเหตุผลที่ต่อสัญญากับผมคืออะไรเหรอครับ อย่าบอกนะครับว่าเรื่องนั้นก็เป็นมิตรภาพที่บริสุทธิ์ด้วย”

“…อี…”

‘อย่าคิดว่าจะเถียงอีอูยอนชนะเลยครับ ยังไงเราก็สู้หมอนั่นไม่ได้อยู่แล้ว แต่ผมจะต้องชนะหมอนั่นสักครั้งหนึ่งให้ได้’

เขานึกถึงคำพูดตอนเมาที่หัวหน้าทีมชาที่ตะโกนออกมากลางวงเหล้าหลังจากเมาจนหน้าแดง กรรมการผู้จัดการคิมส่ายหน้าเบาๆ พลางมองอีอูยอน

ฉันเองก็อยากชนะไอ้หมอนี่สักครั้งเหมือนกัน…

“จะว่าไปแล้วดูเหมือนช่วงนี้กรรมการผู้จัดการจะหาเงินได้เยอะนะครับ”

“พูดเรื่องอะไรอีกล่ะ!”

“เพราะผมรู้สึกว่าคุณเอามันเข้ามาเยอะเลย”

อีอูยอนไล่สายตามองชั้นเก็บไวน์ที่วางอยู่ข้างๆ ตู้โชว์พลางเอ่ยตอบ

“ฉันดื่มบ้างเป็นบางครั้ง เพราะเครียดจากเรื่องของนายนั่นแหละ หาเงินได้อะไรกันล่ะ เงินที่ฉันใช้ไปเพราะเครียดจากเรื่องของนายเยอะกว่าเงินที่นายหามาให้ซะอีก ทั้งการรักษาอาการผมร่วงกับการดูแลผิว บลาๆๆ ยังไงนายก็รับงาน…นี่!”

ในระหว่างที่กรรมการผู้จัดการคิมบ่นพึมพำ อีอูยอนก็ลุกเดินไปที่ชั้นเก็บไวน์

“ได้เวลาที่ผมต้องไปแล้วล่ะครับ”

“ได้เวลาที่ต้องไปแล้วจะเปิดมันทำไม! จะทำอะไรน่ะ!”

“ผมจะใช้ชีวิตที่พังไปแล้วนี้ให้ดีเลยครับ ขอบคุณสำหรับเจ้านี่นะครับ”

อีอูยอนชูขวดไวน์ให้ดู และขยิบตาข้างหนึ่งให้ จากนั้นก็เปิดประตูห้องทำงานและจากไปโดยที่เขาไม่มีโอกาสได้ห้าม

พอประตูปิดลง คำด่าทั้งหมดก็หลุดออกมาจากปากของกรรมการผู้จัดการคิม

“อีอูยอน ไอ้คนเฮงซวยเหลือขอ!”

เขาด่าอยู่อย่างนั้นสักพัก คำพูดของเจ้าของบริษัทรับตกแต่งภายในถูกต้อง ห้องเก็บเสียงของพวกเขาดีจริงๆ

***

ได้เวลาที่จะออกมาแล้ว

อีอูยอนดื่มกาแฟพลางมองประตูมหาวิทยาลัย ชีวิตมหาวิทยาลัยของอินซอบเรียบง่าย เขาเข้าเรียน ทำการบ้าน และสอบ แน่นอนว่าเขาไม่มีเพื่อนด้วย

แม้อีกฝ่ายจะกลับบ้านทันทีหลังเลิกเรียน แต่ถ้ามีแชทกลุ่ม อีอูยอนก็กดออกโดยแกล้งทำเป็นกดผิด พอทำแบบนั้นซ้ำๆ หลายครั้งเข้าก็ไม่มีคนติดต่อมา และไม่ใช่เพียงเท่านั้น เนื่องจากอีกฝ่ายพักการเรียนกลางคัน และไปใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกามาเจ้าตัวจึงไม่มีคนรู้จักในมหาวิทยาลัยเลย ช่างเป็นชีวิตมหาวิทยาลัยที่น่าพึงพอใจจริงๆ

แต่เมื่อไม่นานมานี้อินซอบกลับร้องครางเหมือนลูกสุนัขที่ปวดอะไรบางอย่างพร้อมกับลอบสังเกตเขา และเอ่ยปากพูดอย่างยากลำบาก

‘คือ คุณอูยอนครับ’

‘มีอะไรครับ’

‘ผมมีงานกลุ่มครับ’

อีอูยอนปิดหนังสือที่กำลังอ่านลง อินซอบอธิบายเนื้อหาของงานที่ตนได้รับมอบหมายกับหน้าที่ที่ตนจะต้องทำอย่างตั้งใจ อีอูยอนพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร

‘เนื่องจากต้องทำงานก็เลยจะสร้างแชทกลุ่มน่ะครับ’

‘สร้างสิครับ’

พอเห็นอีอูยอนตอบอย่างไร้ยางอาย อินซอบก็เอ่ยปากราวกับตัดสินใจมาแล้ว

‘…อย่าลบนะครับ’

อีอูยอนกอดเอวอินซอบและถามกลับว่า “หือ?” ราวกับว่าตนไม่รู้เรื่องจริงๆ

‘ห้ามลบแชทกลุ่มนะครับ เพราะนี่เป็นงานที่สำคัญจริงๆ…เฮือก’

อินซอบกลั้นหายใจเพราะร่างกายที่เสียการทรงตัวและล้มลงอย่างกะทันหัน อีอูยอนที่ดึงอินซอบให้ลงมานอนที่โซฟาพลิกตัวขึ้นมาอยู่ด้านบน

‘เห็นผมเป็นคนที่จะทำเรื่องแบบนั้นเหรอครับ’

‘คือ…’

อีอูยอนที่ทำแบบนั้นมาแล้วหลายครั้งกดจูบลงบนริมฝีปากเล็กๆ ของอินซอบอย่างแรงราวกับกัดเบาๆ พอเขาดูดดุนอยู่หลายครั้งพร้อมกับลูบติ่งหู อินซอบก็หน้าแดง จากนั้นก็เอ่ยเรียกเขาว่า ‘คุณอูยอน’ ราวกับประท้วง

ฉิบ ทำไมถึงสวยขนาดนี้วะ

อีอูยอนกลั้นยิ้มและจูบแก้มของอินซอบเบาๆ

‘ไม่ทำหรอก ผมจะไม่ทำ ผมจะไม่ทำแบบนั้น’

ริมฝีปากเลื่อนจากแก้มลงมาที่ใบหู

งั้นผมจะทำเรื่องอื่นให้แทนเรื่องนั้นนะครับ

สุดท้ายวันนั้นเขาก็จับอินซอบที่บอกว่าไม่ให้ทำตรงโซฟาและชวนไปที่เตียงไว้และมีอะไรกันจนเสร็จที่โซฟา และไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมทำตามคำพูดของอินซอบที่ชวนให้ทำที่เตียง เพราะหลังจากนั้นเขาก็มีอะไรกับอีกฝ่ายที่เตียงทั้งคืน

อีอูยอนดื่มกาแฟและยิ้มน้อยๆ ช่วงนี้เขาเป็นแบบนี้บ่อยๆ เขาจะยิ้มออกมาอย่างไม่มีความหมายเมื่อคิดถึงอินซอบ

แม่ง บ้าอยู่แล้วยังจะบ้าขึ้นอีกเหรอ

อีอูยอนมองนาฬิกา และพิงร่างกับพวงมาลัยอีกครั้ง

ในที่สุดงานกลุ่มเฮงซวยนั่นก็จบลง วันนี้คือวันพรีเซนต์งาน แต่ปัญหาคืองานเลี้ยงฉลองเสร็จงานต่างหาก ทุกคนชวนกันไปดื่มเหล้าหลังจากจบคาบเรียนวันนี้ เพราะดูเหมือนว่าจะสนิทกันพอสมควรระหว่างที่ทำงาน อินซอบตอบไปว่า “ถ้ามีโอกาส ผมจะเข้าร่วมนะครับ” เมื่อวานอินซอบถามตารางงานวันนี้กับเขา เนื่องจากรู้ข้อความที่คุยกันในแชทกลุ่มอยู่แล้ว อีอูยอนจึงตอบว่าจะกลับดึก เพราะมีงานนิดหน่อยอย่างไม่ใส่ใจ

เพราะอินซอบเองก็ต้องการชีวิตส่วนตัวและมีมนุษยสัมพันธ์กับคนอื่นบ้างเหมือนกัน การปล่อยให้เขาไปดื่มเหล้ากับคนอื่นบ้างคงไม่เป็นไรหรอก

เขาคิดว่าจะไปที่บริษัทและทำตัวไร้สาระใส่กรรมการผู้จัดการคิม จากนั้นก็กลับมากินข้าวที่บ้านคนเดียว ถ้าอินซอบไม่แสดงทีท่าว่าชอบใจอย่างเห็นได้ชัดออกมาเสียก่อน

‘จะกลับดึกมากไหมครับ’

แก้มของอินซอบที่เอ่ยถามแบบนั้นเต็มไปด้วยเลือดฝาด

ไอ้คนน่าขยะแขยง

อีอูยอนจิบกาแฟอึกหนึ่งพลางยกยิ้มมุมปาก เขามองเห็นอินซอบจากที่ไกลๆ อินซอบดูเด็กที่สุดในบรรดากลุ่มคนที่เดินจับกลุ่มกันลงมา

[พี่ดูเด็กมาก เพราะฉะนั้นต้องพกบัตรประชาชนมาตอนไปร้านเหล้าด้วยนะคะ]

[ตอนแรกฉันนึกว่าเป็นเด็กปีหนึ่งซะอีกค่ะ คิคิ]

[นั่นคือเหตุผลที่ฉันพูดอย่างเป็นกันเองกับพี่เขาตอนแรกยังไงล่ะ หึหึหึ ㅠ]

ดูจากการที่คนอื่นๆ เรียกอินซอบว่าพี่แล้ว ดูเหมือนอินซอบจะมีอายุมากที่สุด พอออกมาตอนเช้าพร้อมกับเห็นแล้วว่ามีบัตรประชาชนอยู่ในกระเป๋าเสื้อของอินซอบ เขาก็รู้สึกไม่พอใจยิ่งขึ้น

อีอูยอนต่อสายหาอินซอบ

ลองไม่รับดูสิ

อินซอบมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือก่อนจะเอ่ยขอตัวจากกลุ่มเพื่อน และเดินไปตามริมถนนพร้อมกับรับโทรศัพท์

[ฮัลโหล]

“อยู่ไหนครับ”

[เลิกเรียนแล้วกำลังออกมาครับ คุณอูยอนล่ะครับ]

“งานเสร็จเร็วกว่าที่คิดน่ะครับ วันนี้เราไปกินอาหารข้างนอกกันไหมครับ ไม่ได้ไปนานแล้ว”

[ครับ?]

เขารู้สึกได้ถึงความกระวนกระวายใจของอินซอบจากอีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์

“พอดีคนรู้จักของผมเปิดร้านอาหารน่ะครับ แล้วผมก็ได้ยินมาว่าใช้ได้พอสมควรด้วย อีกอย่างวันนี้ผมได้รับไวน์เป็นของขวัญมา ก็เลยอยากจะดื่มกับคุณอินซอบสักแก้วน่ะครับ”

[เอ่อ คือ…ผม…]

อินซอบทำตัวไม่ถูก

“ทำไมครับ มีเรื่องอะไรเหรอ”

[…เปล่าครับ จะให้ไปที่ไหนครับ]

อินซอบเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง แต่โชคดีที่เขาไม่มีจิตสำนึก เพราะต่อให้ได้ยินเสียงแบบนั้น เขาก็ไม่รู้สึกอะไรอยู่ดี

“ผมจะรออยู่ตรงที่ที่จอดรถไว้ประจำนะครับ”

[ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ]

อินซอบวางสายและวิ่งไปหากลุ่มเพื่อนของตน พออินซอบอธิบายไปว่าวันนี้ไปไม่ได้แล้ว คนอื่นๆ ก็ทำท่าเสียดายและจับแขนอินซอบไว้ อินซอบจึงยิ้มและเอ่ยลาทีละคน

อีอูยอนยิ้มตาหยี

แม่ง ไม่อยากเห็นจริงๆ

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท