โจวฮูหยินยิ้มพร้อมกับตอบกลับมาว่า “คนที่สวมชุดจื๋อตัวสีน้ำเงินสดคือหวังหยวน ส่วนคนที่สวมชุดจื๋อตัวสีเหลืองนวลคือหวังเจ๋อ” จากนั้นก็ได้ถามต่อไปว่า “เจ้าคิดเห็นอย่างไรบ้าง”
คนที่โจวฮูหยินแนะนำคือหวังหยวน คุณชายสิบเก้าสกุลหวัง
เขาเป็นบุตรเอก ไม่แปลกที่เขาจะค่อนข้างระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ
สืออีเหนียงพูดขึ้นอย่างเก็บความรู้สึกว่า “คุณชายทั้งสองล้วนโดดเด่นเป็นอย่างมาก”
ความหมายก็คือดูจากลักษณะภายนอกแล้วค่อนข้างเป็นที่พึงพอใจ
โจวฮูหยินจึงยิ้มพร้อมกับพูดถึงหวังเจ๋อขึ้นมา “…มีบิดาของปู่ทวดเป็นคนเดียวกัน บิดาของเขาเป็นโรคหืดหอบตั้งแต่ยังเล็ก ทำงานไม่ได้เลยสักอย่าง อาศัยแค่เงินเบี้ยหวัดที่จ่ายจากส่วนกลางและเงินที่มารดาเย็บปักถักร้อยมาใช้ในชีวิตประจำวัน ยังดีที่เขาสุขุมและรู้จักคิดตั้งแต่เด็ก ช่วยแบ่งเบาภาระในบ้านมากมายยังไม่พอ เหล่าบรรดาสตรีแม่หม้ายต่างๆ มีเรื่องอันใดเขาก็มักจะให้ความช่วยเหลือเสมอ ดังนั้นเขาจึงเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของผู้คนมากมาย จุดประสงค์การมาวัดฉือหยวนในครั้งนี้ จะต้องเป็นเพราะพี่สะใภ้ข้าไม่ไว้วางใจอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงตั้งใจเชิญเขามาเป็นเพื่อนโดยเฉพาะ”
สืออีเหนียงค่อนข้างประหลาดใจเป็นอย่างมาก
นางรู้สึกว่าหวังเจ๋ออ่อนน้อมถ่อมตนไม่หยิ่งผยอง นิสัยตรงไปตรงมา นึกไม่ถึงเลยว่าเหตุการณ์ทางบ้านจะไม่ราบรื่นเช่นนี้ อายุแค่นี้แต่วางตัวได้ขนาดนี้ หาได้ยากยิ่ง
“คุณชายสิบหกเป็นคนที่วางตัวเหมาะสมคนหนึ่ง” สืออีเหนียงชื่นชม “มิน่าเล่าถึงได้เชิญเขาให้มาเป็นเพื่อนด้วย”
“น่าเสียดายที่มีทางบ้านคอยเป็นภาระ” โจวฮูหยินทอดถอนใจ “ปีนี้เขาก็หยุดเรียนที่สำนักศึกษาชาติวงศ์แล้ว และเริ่มเรียนรู้การดูแลจัดการงานภายในจวนแทน” สีหน้าท่าทีของนางดูเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
สืออีเหนียงแปลกใจเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงเห็นว่าหวังเจ๋อค่อนข้างชำนาญในการพูดจาโต้ตอบ ยังนึกว่าเขาออกมารับหน้าที่ดูแลทางบ้านตั้งนานแล้วเสียอีก
โจวฮูหยินนึกว่าสืออีเหนียงยังแปลกใจว่าทำไมจวนสกุลหวังถึงไม่สนับสนุนช่วยให้หวังเจ๋อได้ร่ำเรียนต่อ นางจึงรีบอธิบายว่า “ถึงแม้ว่าจวนสกุลหวังจะมีลูกหลานเยอะแยะมากมาย มีคนที่สอบขุนนางระดับเคอจวี่ผ่านจนได้ตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสูงประจำตามชายแดน แต่หากเป็นเหมือนเช่นหวังเจ๋อสองคนพี่น้องนี้ ที่สอบบัณฑิตซิ่วไฉได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ก็เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกเหมือนกัน เหตุใดพวกข้าจะไม่อยากเห็นเขาได้เล่าเรียน กลับมาเป็นหน้าเป็นตาให้กับจวนสกุลหวังเล่า!”
“คุณชายสิบหกเป็นบัณฑิตซิ่วไฉหรือ” สืออีเหนียงถามขึ้นด้วยความตกใจตัดบทสนทนาของโจวฮูหยินไป
โจวฮูหยินยิ้มเจื่อนพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ “เขาและน้องชายร่วมสายเลือดสอบบัณฑิตซิ่วไฉได้พร้อมกันในปีที่แล้ว!”
“เช่นนั้น…” สืออีเหนียงเพิ่งจะเอ่ยปาก แต่ก็รู้ตัวทันทีว่าตัวเองถามในสิ่งที่ไม่ควรจะถาม
ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่ยากจะหยั่งถึงทั้งนั้น
หากไม่ใช่เพราะมีเหตุผลเป็นกรณีพิเศษ หวังเจ๋อที่สอบบัณฑิตซิ่วไฉได้ตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ อีกทั้งยังสอบได้พร้อมกับน้องชายร่วมสายเลือดของเขา จวนสกุลหวังคงจะมีเหตุผลที่ไม่ส่งเขาเรียนต่อ
นางรีบพูดเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ว่า “จวนเจิ้นหนานโหวล้วนมีแต่คนปัญญาล้ำเลิศทั้งนั้น!”
“ต้องเรียนให้จบก่อนถึงจะเรียกเช่นนี้ได้!” โจวฮูหยินพูดขึ้น “เพื่อการศึกษาของหวังเจ๋อแล้ว พี่ใหญ่ยังไปที่เรือนของเขาด้วยตัวเองเสียด้วยซ้ำ รับปากต่อหน้าพี่ชายของข้า ว่าทุกๆ ปีจะแบ่งเงินจากเบี้ยหวัดออกมาจำนวนสี่สิบตำลึงเพื่อส่งสองพี่น้องร่ำเรียนหนังสือ แต่หวังเจ๋อกลับยืนกรานจะไม่เรียน บอกว่าตนนั้นเป็นบุตรชายคนโต บิดาก็ล้มป่วย จึงควรรับหน้าที่เลี้ยงดูบิดามารดาให้ได้ถึงจะถูก จึงได้ให้พี่ใหญ่ของข้าหาตำแหน่งหน้าที่ในจวนให้เขา”
ใบหน้าของโจวฮูหยินเผยให้เห็นสีหน้าที่แสนจะจนใจ
“ก็ไม่ผิดที่เด็กจะมีความคิดเช่นนี้ เบี้ยหวัดที่แบ่งจากส่วนกลางในทุกๆ ปีไม่พอค่ายาพี่ชายข้าเสียด้วยซ้ำ ก็ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเลย ยังมีเด็กอีกสองคนที่ต้องเรียนหนังสือ พู่กัน หมึก กระดาษและจานฝนหมึก ค่าว่าจ้างอาจารย์ ล้วนเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่จะน้อยๆ และขาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว หลายปีก่อนพี่สะใภ้ของข้าต้องเอาสินเดิมไปจำนำจนหมด ทางฝั่งจวนสกุลเดิมก็ได้ให้ความช่วยเหลือสงเคราะห์ จึงพอจะสามารถผ่านพ้นไปได้ แต่ตั้งแต่ที่ท่านตาของเขาเสียชีวิตไปเมื่อหกปีก่อน ลุงของเขาเป็นผู้ดูแลหลัก เมื่อเห็นว่าพี่ชายเริ่มพยุงร่างกายไม่ไหวแล้ว จึงขยับเขยื้อนร่างกายให้น้อยลง แต่พี่สะใภ้ข้ากลัวว่าจะเป็นตัวถ่วงอนาคตของเด็กๆ จึงอดหลับอดนอนฝืนปักผ้าทั้งวันทั้งคืน สองปีที่แล้วฝืนจนตาไม่ดี ทุกวันนี้ก็ยังฝืนปักต่อ”
สืออีเหนียงเงียบงัน
ที่แท้แล้วไม่ว่าจะสมัยไหนก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
ส่วนฮูหยินหลังจากที่ได้พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็ไม่อาจหยุดเล่าได้ “เขาไม่ได้เป็นคนพูดจาเรื่อยเปื่อย หนึ่งคือเขาเป็นถึงบุตรชายคนโต เป็นคนที่จะต้องรับหน้าที่ดูแลครอบครัว เป็นบัณฑิตซิ่วไฉที่มีชื่อเสียง ผู้คนไม่กล้าที่จะดูถูกเหยียดหยามอยู่แล้ว สองคือปีนี้น้องชายของเขาพึ่งจะอายุสิบสามปี ถ้าทั้งสองยังต้องมาอดมื้อกินมื้อเช่นนี้ สู้ให้เขาออกมาทำงานเสียยังดีกว่า สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายก้อนโต อีกทั้งยังสามารถสนับสนุนให้น้องชายประสบความสำเร็จด้านการศึกษาได้”
เกรงว่ายังมีเหตุผลที่สำคัญกว่านั้น
ตั้งแต่บัณฑิตรุ่นเยาว์จนถึงบัณฑิตซิ่วไฉ ช่วงระหว่างนี้ยังมีความง่ายอยู่บ้าง แต่หลังจากช่วงบัณฑิตซิ่วไฉจนไปถึงราชบัณฑิตจิ้นซื่อ อาจจะต้องใช้เวลาสามถึงห้าปีกว่าจะสอบได้ จวนสกุลหวังสามารถช่วยเหลือสงเคราะห์เขาเรียนสามปี ห้าปี แต่สามารถส่งเขาเรียนถึงสิบปียี่สิบปีได้หรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นน้องชายของเขาก็โตขึ้นเรื่อยๆ ไหนจะต้องสู่ขอสะใภ้มีลูกมีหลาน ดูแลปากท้องของครอบครัว ดูแลบิดามารดา เงินสี่สิบตำลึงเกรงว่าคงจะน้ำน้อยแพ้ไฟ ไม่พอค่าใช้จ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ถ้าเกิดว่าโจวฮูหยินให้มากกว่านี้ ญาติคนอื่นๆ เห็นแล้วจะคิดอย่างไร จะร้องขอให้ได้เทียบเท่าเขาหรือเปล่า จะผิดใจกับเหล่าบรรดาญาติๆ ด้วยเหตุนี้หรือไม่
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ “คุณชายหวังเจ๋อเป็นคนที่คิดรอบคอบโดยแท้”
โจวฮูหยินเห็นว่านางเข้าใจ จึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
อย่างไรเสียก็ไม่มีใครอยากถูกตราหน้าว่าเพิกเฉยต่อญาติของตน
นึกถึงตอนที่ตนกลับจวนสกุลเดิมก็ได้ยินข่าวคราวมาบ้าง
“น่าเสียดายที่ลุงของเขาเป็นคนมีวิสัยทัศน์ที่คับแคบ” โจวฮูหยินขมวดคิ้วพลางพูดขึ้นว่า “ตอนที่ท่านตาของเขายังอยู่ ก็เห็นว่าเขาเป็นคนฉลาดหลักแหลม อีกทั้งยังกตัญญูและรู้จักคิด จึงอยากจะให้แต่งงานกับคนในเครือญาติ เลยตัดสินใจจะให้หมั้นกับน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง ต่อมาสองบ้านนี้ก็ไม่ค่อยไปมาหาสู่กัน เรื่องนี้จึงถูกลืมไปในที่สุด ปีที่แล้วพวกเขาสองพี่น้องสอบบัณฑิตซิ่วไฉได้ ลุงของเขาก็ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกครั้ง แต่ตอนนั้นพี่สะใภ้ของข้ากำลังช่วยหาคู่หมั้นให้หวังเจ๋ออยู่แล้ว ทั้งสองบ้านก็ได้นัดแนะมาเจอหน้ากัน และได้เชิญแม่สื่อเรียบร้อยแล้ว รอแค่แลกเปลี่ยนหนังสือบันทึกวันเดือนปีเกิดของคู่หมั้นก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย แต่ลุงของเขาได้ไปที่จวนเขาแทบทุกวัน พี่สะใภ้ก็เอาแต่นึกถึงจวนสกุลเดิมที่มีบุญคุณช่วยเหลือในปีนั้น การหมั้นหมายในครั้งนั้นจึงเป็นโมฆะไปในที่สุด” ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นสีหน้าของนางก็ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก “ต้นฤดูใบไม้ผลิปีนี้หวังเจ๋อรับตำแหน่งหน้าที่ดูแลจวน พี่สะใภ้ของข้าร้องห่มร้องไห้ไปตั้งหลายครั้งหลายหน หนังสือก็ไม่ได้เรียนแล้ว จึงไม่ควรจะทำผิดเรื่องการแต่งงานของบุตรชายตนอีก ก็เลยรวบรวมเงินราวร้อยตำลึงทั้งหมดที่มี เชิญแม่สื่อแล้วไปยังบ้านลุงของเขา แต่แล้วลุงของเขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่ยอมรับเรื่องนี้เลยแม้แต่นิด แถมยังบอกว่าบุตรสาวของตนนั้นได้หมั้นหมายก่อนหน้านี้ไปตั้งนานแล้ว พี่สะใภ้ข้าโมโหจนถึงขั้นนอนป่วยไปหลายวัน แม้แต่งานแต่งของหลานชายเมื่อสองวันที่แล้วนางก็ยังไม่ไปร่วมงานมงคลเลย”
ความเป็นจริงเช่นนี้…
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “ลุงของคุณชายหวังเจ๋อทำการงานอะไรหรือ”
“อาศัยแค่ที่นาไม่กี่ผืนที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้เท่านั้น” โจวฮูหยินพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจว่า “อยู่ที่จวนกู้อานถือว่าเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตา แต่คิดว่ามีผู้บัญชาการของกองปัญจทิศรักษานครรู้จักกับตนแล้วตนก็จะกลายเป็นขุนนางประจำเขตชายแดนระดับสูงอย่างไรอย่างนั้น”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าคำพูดและการกระทำของนางนั้นขัดแย้งกัน จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาเบาๆ
พอโจวฮูหยินรู้ตัวว่าตนนั้นกำลังระบายอารมณ์ออกมา ก็พลอยหัวเราะตามสืออีเหนียงไปด้วย จากนั้นก็ได้ให้สาวใช้น้อยไปเตรียมอาหารเจมา “…นานแล้วที่ไม่ได้มาทานอาหารเจที่วัดฉือหยวน” พอพูดถึงตรงนี้นางก็วกกลับไปพูดถึงเรื่องหวังเจ๋ออีกครั้ง “พอเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา ก็มีแต่จะทำร้ายเด็กที่ดีอย่างหวังเจ๋อเท่านั้น ครอบครัวของเขาเป็นเพียงกิ่งก้านสาขาไม่ใช่สายเลือดหลัก แต่เพราะก่อนหน้านี้มีคนในครอบครัวสอบบัณฑิตซิ่วไฉได้ก็เลยพูดเรื่องหาคู่หมั้นคู่หมายได้ง่าย แต่ตอนนี้ไม่ได้เล่าเรียนแล้ว หากจะสู่ขอครอบครัวที่ฐานะด้อยกว่า ทั้งที่หวังเจ๋อเองก็ถือว่าเป็นคนที่มีผลงานและชื่อเสียง เช่นนั้นก็จะน่าเสียดายจนเกินไป”
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย นึกถึงตนที่คอยเป็นห่วงสือเอ้อร์เหนียงมาโดยตลอด…สถานการณ์ของนางก็ไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าไรนัก ตอนนี้นายท่านใหญ่สกุลหลัวว่างงานอยู่บ้าน อี๋เหนียงหกก็เกิดมาจากครอบครัวของบ่าวรับใช้ คนที่ฐานะสูงกว่าก็พลอยแต่จะพากันรังเกียจนางจนหมด รังเกียจที่สือเอ้อร์เหนียงเกิดจากมารดาที่เป็นอนุ ไม่ใช่ผู้ดีมีสกุล เพื่อหน้าตาแล้วเกรงว่าจวนสกุลหลัวจะไม่ยอมรับปากกระมัง
เสี้ยวเวลานั้นเอง สืออีเหนียงก็ได้โน้มตัวไปด้านหน้า ก้มลงต่ำพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่หญิงโจว ปีนี้คุณชายหวังเจ๋ออายุเท่าไรแล้ว”
โจวฮูหยินอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ได้ตอบกลับไปว่า “ปีนี้อายุสิบหกแล้ว”
“เรื่องงานแต่งระหว่างคุณชายหวังเจ๋อกับน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
โจวฮูหยินเริ่มพอจะเข้าใจขึ้นมา จึงพูดขึ้นว่า “แน่นอนว่าเป็นโมฆะไปแล้ว! มิเช่นนั้นข้าจะพูดว่าเรื่องนี้ลำบากหวังเจ๋อทำไมกัน”
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ได้พูดขึ้นว่า “ข้ามีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง พี่หญิงโจวก็เคยเจอหน้าแล้ว…ตอนเทศกาลซานเย่ว์ซานเคยเล่นกับฟังเจี่ยเอ๋อร์ที่ท่าเรือหลิวฟัง ปีนี้อายุสิบขวบแล้ว ถึงช่วงเวลาหาคู่หมั้นหมายพอดี คุณชายหวังเจ๋อเกิดมาจากครอบครัวสูงศักดิ์ อิริยาบถสง่างามจิตใจกว้างขวาง สติปัญญาล้ำเลิศ ไม่รู้ว่าจะมีวาสนาหรือไม่…”
โจวฮูหยินยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก
แต่เพียงครู่เดียว นางก็สามารถเข้าใจถึงความหมายนี้ได้
หากพูดถึงเรื่องหน้าตาของสือเอ้อร์เหนียงผู้นั้นก็ย่อมไม่มีอะไรจะถกเถียงอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าทุกวันนี้นายท่านใหญ่สกุลหลัวจะว่างงานอยู่จวน และนางยังเป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุ แต่นายท่านสองของสกุลหลัวได้รับตำแหน่งขุนนางที่ซานตง นายท่านสามสกุลหลัวได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการที่มณฑลซื่อชวน สืออีเหนียงก็เป็นถึงฮูหยินของจวนหย่งผิงโหว และสือเหนียงก็ได้แต่งงานเข้าจวนเม่ากั๋วกง นายท่านใหญ่สกุลหลัวเคยเป็นถึงราชบัณฑิตหลวง อีกทั้งยังมีหลานเขยที่เป็นขุนนางระดับทั่นฮวา…
ใบหน้าของโจวฮูหยินก็เผยให้เห็นถึงความดีอกดีใจ ไม่รอให้สืออีเหนียงได้ทันพูดจนจบ นางก็รีบชิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ลูกหลานจวนสกุลหลัวล้วนสืบทอดแต่ผู้มีความรู้วิชา ลูกหลานเป็นขุนนางแทบทุกรุ่น คุณหนูสิบสองโดดเด่นและเพียบพร้อม เป็นคนอ่อนโยนและมีคุณธรรม ฉลาดหลักแหลมและสุภาพเรียบร้อย หากพึงพอใจในตัวหวังเจ๋อของพวกข้า ก็ถือว่าเป็นบุญวาสนาที่หวังเจ๋อเคยบำเพ็ญกุศลมาตั้งแต่ชาติปางก่อนแล้ว”
เมื่อทั้งสองได้พูดเจตนาของตัวเองออกมาอย่างชัดเจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะสบตาพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ
โจวฮูหยินก็ได้พูดขึ้นว่า “ช่วงสองสามวันนี้ข้าจะหาเวลากลับจวนสกุลเดิม”
เรื่องนี้สืออีเหนียงเองก็จะต้องปรึกษาหารือกับหลัวเจิ้นซิ่งด้วย
นางจึงยิ้มพร้อมกับพยักเบาๆ “ทางฝั่งพี่สะใภ้ใหญ่ข้าเองก็ต้องไปบอกกล่าวเสียหน่อย”
“แล้วเรื่องหวังหยวน…”
ใบหน้าของสืออีเหนียงแดงขึ้นเล็กน้อย “เรื่องเหล่านี้นอกจากจะต้องเรียนท่านโหวแล้ว ยังต้องเรียนทางฝั่งไท่ฮูหยิน…”
โจวฮูหยินเองก็รู้และเข้าใจดี หวังเจ๋อไม่เหมือนเช่นหวังหยวน และก็ไม่สามารถนำสือเอ้อร์เหนียงมาเปรียบเทียบกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ นางตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาว่า “เช่นนั้นเรามาค่อยๆ จัดการทีละเรื่องกัน”
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “รบกวนพี่หญิงโจวแล้ว!”
“รบกวนอะไรกันเล่า” โจวฮูหยินตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ถึงเวลานั้นขอแค่ช่วยข้ามาเป็นแม่ชักแม่สื่อให้กับทั้งสองคู่ก็พอ ข้าเคยได้ยินฟังเจี่ยเอ๋อร์เคยพูดถึง ว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์เคยทำรองเท้าสำหรับสวมนอนปักลายนกแก้วคาบท้อสีแดงสดให้นางคู่หนึ่ง งดงามเป็นอย่างมาก”
“ก็มีแต่พี่หญิงโจวเท่านั้นที่มองเข้าตา!”
สืออีเหนียงและโจวฮูหยินพูดคุยหัวเราะกันอยู่ไม่นาน อาหารก็ถูกจัดเสร็จเป็นที่เรียบร้อย
ทั้งสองจึงพากันไปทานข้าว จากนั้นก็แยกย้ายกลับจวนของตัวเอง
พอกลับไปถึง ไท่ฮูหยินก็รีบจูงมือของสืออีเหนียงมาเพื่อถามไถ่เหตุการณ์ “คุณชายหวังเป็นอย่างไรบ้าง พอจะเข้าตาหรือไม่”
สืออีเหนียงจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ไท่ฮูหยินฟัง
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็พยักหน้าเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ส่งคนไปสืบถามที่สำนักบัณฑิตศึกษาหัน ดูว่าการเล่าเรียนของคุณชายหวังเป็นอย่างไรบ้าง”
สืออีเหนียงเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ คิดถึงจื่อเวยคนใช้คนสนิทของอู่เหนียง…รู้สึกว่าจะไปเป็นอนุของคนที่มีนามว่าฮั่นหลินสกุลฮั่น
นางจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ครุ่นคิดว่า “รอท่านโหวกลับมาแล้วจะรีบส่งคนไปสืบถามทันทีเจ้าค่ะ”
พอไท่ฮูหยินได้ยินสืออีเหนียงพูดถึงบุตรชาย ก็พูดขึ้นด้วยความกังวลใจว่า “เดินทางไปตั้งสามสี่วันแล้ว ไม่เห็นส่งข่าวคราวกลับมาเลยแม้แต่นิดเดียว…”
จะเร็วขนาดนั้นได้อย่างไรกันเล่า!
สืออีเหนียงจึงยิ้มขึ้นพร้อมกับรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “ท่านลองทายดู ว่าตอนอยู่ที่วัดฉือหยวนโจวฮูหยินพูดอะไรกับข้า”
ไท่ฮูหยินเห็นแววตาของสืออีเหนียงเต็มไปด้วยประกายแวววาว สีหน้าดูหยอกล้อขี้เล่นและประจบประแจง จึงสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมกับพูดขึ้นด้วยความสนอกสนใจว่า “อืม…มีกลิ่นสุรา…และกลับมาดึกขนาดนี้…คงจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากพากันแอบนินทาแม่สามี”