เฉินตันจูครุ่นคิดไปเรื่อยตลอดทั้งทาง แต่คิดไปคิดมาก็ยังไม่รู้ว่าแม่ทัพหน้ากากเหล็กโกรธเรื่องใด
นางจึงตัดสินใจเลิกคิด อย่างไรแม่ทัพหน้ากากเหล็กก็แค่เสียดสีนางสองประโยค เพียงแค่ยังให้นางใช้ชื่อของเขาโอ้อวดได้ก็พอ
“คุณหนูตันจู” จู๋หลินพูดขึ้น “ท่านโหวโจวมาขอรับ”
เฉินตันจูเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะเห็นทางด้านภูเขาดอกท้อมีทหารจำนวนมากหยุดอยู่
เฉินตันจูรีบขึ้นเขา ยังไม่ทันได้เดินถึงอารามดอกท้อ นางก็เห็นทหารผู้หนึ่งสวมชุดเกราะเอามือไขว้หลังอยู่บนทางเดินภูเขา เขาไม่ได้มองลงไปยังเชิงเขา หากแต่กำลังชื่นชมทิวทัศน์บนภูเขา…ท่าทางนี้คุ้นเคยยิ่งนัก เฉินตันจูนึกขึ้นได้ว่าตอนที่องค์ชายสามเสด็จมาคราก่อนก็ทำท่าเช่นนี้
เฉินตันจูหยุดลง “ท่านโหวโจว ท่านมาได้อย่างไร”
โจวเสวียนหันหลังกลับมาราวกับเพิ่งรู้ว่านางมา พูด “มาดูท่าน แต่ได้ยินว่าท่านออกไปด้านนอก”
เฉินตันจูถอนหายใจ “รู้ว่าข้าออกไปแล้ว ท่านก็รอที่เชิงเขาสิ”
โจวเสวียนอยากจะพูดจาดีๆ แต่ไม่รู้เหตุใด เมื่อเห็นหญิงสาว เขาก็โกรธขึ้นมาอย่างประหลาด ทุกครั้งที่นางพูดกับตนเองล้วนแตกต่างจากผู้อื่น
“คุณหนูตันจู ตอนที่องค์ชายสามมาหาท่าน ท่านพูดอย่างไร ท่านไม่ได้ถามว่าเหตุใดเขาจึงขึ้นเขา หากแต่ขอร้องให้เขาเข้าไปนั่ง” เขาพูดอย่างขุ่นเคือง “อย่างไร ข้าแม้แต่เขาของท่านยังขึ้นมาไม่ได้หรือ?”
เฉินตันจูทั้งโกรธทั้งขบขัน “ท่านอารมณ์เสียอันใด พูดเหลวไหลอันใดกัน ข้าหมายความว่า ท่านรอข้าอยู่ด้านล่าง ข้ามาแล้วพวกเราก็คุยกันได้ ท่านไม่ต้องปีนเขาขึ้นมา เหนื่อยแย่”
ดวงตาของโจวเสวียนเต็มไปด้วยความโกรธ “ข้าไม่กลัวเหนื่อย”
เฉินตันจูเดินขึ้นมา ยืนต่อหน้าเขา พูดเสียงเบา “ท่านต้องเดินทางไม่ใช่หรือ ประหยัดกำลังได้ก็ต้องประหยัด ทั้งสวมเกราะทั้งพกอาวุธ อีกทั้งยังต้องนำทัพต้องเหน็ดเหนื่อยเพียงใด”
ความโกรธภายในดวงตาของโจวเสวียนสลายหายไปในทันที หญิงสาวผู้นี้พูดกับตนเองเช่นนี้ครั้งแรก
“ถือว่าท่านมีมโนธรรม” เขาพึมพำ
คนผู้นี้เปรียบเสมือนลาที่ต้องการให้ลูบขน เฉินตันจูถามต่อ “ท่านต้องการเข้าไปดื่มชาสักถ้วยหรือไม่ ข้าเพิ่งทำชาสมุนไพรใหม่ เพื่อท่านโหว…”
โจวเสวียนถ่มน้ำลาย “โกหก ท่านเพิ่งไปส่งชาสมุนไพรให้ท่านแม่ทัพ คุณหนูตันจู ท่านตั้งใจเสียบ้างได้หรือไม่”
เฉินตันจูตอบรับ “ข้าตั้งใจมาก ข้าตั้งใจเอาใจทุกคนอย่างมาก”
โจวเสวียนถลึงตา
เฉินตันจูเหลือบมองเขา พูดเสียงเบา “เหมือนที่ท่านตั้งใจให้ทุกคนเกลียดท่าน”
ความประจบล้วนเป็นการเสแสร้งออกมา ความเอาแต่ใจของเขาก็เป็นการเสแสร้งออกมา ล้วนเป็นเพราะต้องการให้ตนเองมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ดังนั้นพวกเขาล้วนเป็นคนแบบเดียวกัน โจวเสวียนมองดวงตาอ่อนโยนของหญิงสาว อดยิ้มไม่ได้
“เอาเถิด ข้าแค่มาบอกท่าน” เขาพูด “ข้าไปแล้ว”
เขาก้าวเดินออกไป เฉินตันจูรีบเดินตาม ถาม “ข้าต้องส่งท่านหรือไม่?”
โจวเสวียนพูด “ไม่…” พูดยังไม่ทันจบก็เห็นหญิงสาวชะงักฝีเท้าลง เขาขุ่นเคืองขึ้นมาอีกครั้งในทันที “ต้อง”
เฉินตันจูฟังไม่เข้าใจ นางถาม “ตกลงต้องส่งหรือไม่”
โจวเสวียนยื่นมือไปจับแขนนาง “ส่ง” ก่อนจะลากนางเดินลงเขาไป
เฉินตันจูไม่ได้ดิ้นรน เดินตามเขาไปอย่างระอา “ส่งก็ส่ง ท่านพูดดีๆ”
โจวเสวียนพูดอย่างขุ่นเคือง “ท่านพูดไม่ดีกับข้าก่อน” เขาชะงักฝีเท้าลง “คุณหนูตันจู ท่านดีต่อข้าบ้างไม่ได้หรือ”
เฉินตันจูระอาเล็กน้อย “ท่านโหวโจว ท่านก็ไม่ได้ดีต่อข้ามากนัก ท่านดูท่านพูดกับข้า เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ไม่มีความมั่นคง”
โจวเสวียนหลุบตาต่ำ สายตาจับจ้องไปยังแขนของนาง มือของเขาจับแขนของนาง ชุดในฤดูใบไม้ผลิบางเบา สามารถสัมผัสได้ถึงผิวนุ่มของหญิงสาว สายตาจับจ้องไปยังข้อมือของนาง มือของนาง หากมือของเขาเลื่อนต่ำลงไปอีก ย่อมสามารถกุมมือของนางเอาไว้ได้ เหมือนดั่งนางกับองค์ชายสาม…
“คุณหนูตันจู” เขาพูดขึ้น “ข้อมือที่ข้าให้ท่าน เหตุใดท่านจึงไม่สวม”
พูดประหลาด เดี๋ยวเรื่องนั้นเดี๋ยวเรื่องนี้ เฉินตันจูพูด “เพราะว่าข้าต้องทำยาในแต่ละวัน ไม่ชอบสวมเครื่องประดับ”
นางอาศัยจังหวะดึงแขนออก ยกมือขึ้นต่อหน้าให้เขาดู “ท่านดู ข้าไม่สวมอันใดทั้งสิ้น”
มือเล็กขาวนุ่ม เล็บสีชมพูระเรื่อ เป็นธรรมชาติไร้การประดับตกแต่ง
โจวเสวียนเบ้ปากเบนสายตา “พูดราวกับท่านพึ่งสิ่งนี้ในการหาเงิน”
“ข้าย่อมต้องพึ่งสิ่งนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะพึ่งอันใด” เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านโหวโจว ข้าพึ่งสิ่งนี้ถึงได้มีชีวิตอยู่”
หากไม่ได้ศึกษาการทำยา หรือว่าทำยาพิษถอนพิษ นางคงไม่อาจสังหารหลี่เหลียง อีกทั้งไม่ได้รับโอกาสในการเกิดใหม่ ไม่อาจสังหารหลี่เหลียงได้อีกครั้ง ช่วยชีวิตของคนในตระกูลเอาไว้
โจวเสวียนไม่ได้โต้เถียงกับนางอีก หากแต่ไขว้มือที่ว่างเปล่าไว้ด้านหลัง “ข้าไปแล้ว ไม่ต้องส่ง”
เฉินตันจูเดินตามขึ้นมาสองก้าว “ท่านโหวโจว”
โจวเสวียนหันกลับมามองนางอีกครั้ง
“ข้าจะรักษาความลับ ท่านวางใจ” เฉินตันจูพูดเสียงเบา มองเขา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแผลจากการถูกเฆี่ยน หรือว่าเป็นเพราะความลับในวันวานที่ฝังไว้ในใจถูกเปิดเผยอีกครั้ง โจวเสวียนผอมลงกว่าแต่ก่อนอย่างมาก ความเหิมเกริมและหยิ่งยโสในอดีตก็หายไป บนใบหน้ามีความสงบสุขุมขึ้นไม่น้อย “ท่าน มีชีวิตอยู่ดีๆ”
ดังนั้นนางคิดว่าเขามาเพื่อตักเตือนนางหรือ หรือว่านางกำลังตักเตือนเขา ระหว่างนางกับเขา มีเพียงความลับที่ถึงแก่ชีวิตเท่านั้น โจวเสวียนมองหญิงสาวที่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว เบนสายตาหันหลังเดินจากไป
เฉินตันจูไม่ได้เดินตามเขาไปอีก นางยืนมองส่งโจวเสวียนจนอีกฝ่ายหายลับไปจากบนทางเดินภูเขา หลังจากนั้น นางได้ยินเสียงร้องและเสียงฝีเท้าของม้าห่างไกลออกไป
เฉินตันจูถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางย่อมรู้ว่าชายผู้นี้ไม่ได้มาเพื่อข่มขู่นาง แต่จะทำอย่างไรได้ เขากับนางยังไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงเวลาใด
ระยะนี้นางย้อนคิด มีชีวิตอยู่สุขสบายเป็นเวลานานทำให้นางลืม บังอาจคิดถึงเรื่องความรักใคร่เสียแล้ว อีกทั้งยังเป็นกังวลว่าจะสูญเสียองค์ชายสามจนยากที่จะนอนหลับ อีกทั้งยังหลั่งน้ำตาให้กับท่าทีของอีกฝ่าย…
นางคือผู้ใดกัน นางคือเฉินตันจู ตายเพียงครั้งเดียวก็หยิ่งยโสจนไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเสียแล้ว
สามารถมีชีวิตอยู่ก็เพียงพอแล้ว เพียงพอแล้ว
เฉินตันจูเบนสายตากลับมา เดินกลับไปยังอารามอย่างเชื่องช้า ไม่ได้หันหลังกลับไปมองอีก
แต่ความจริงพิสูจน์แล้วว่าการมีชีวิตอยู่นั้นไม่ง่าย โจวเสวียนนำทัพไปรับองค์ชายสามเป็นวันที่สิบ จู๋หลินนำข่าวมาให้นางด้วยสีหน้าหนักใจ องค์ชายสามถูกลอบโจมตี
โรงน้ำชาบริเวณเชิงเขายังไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นความลับที่เพิ่งเกิดขึ้น ข่าวยังไม่ถูกแพร่กระจายออกไป
เฉินตันจูเดินทางไปยังค่ายทหารอย่างเร่งรีบ นางไม่ได้พบแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เพราะว่าเขาเข้าวังไปแล้ว ยังดีที่มีเฟิงหลินอยู่
“ท่านแม่ทัพบอกว่าท่านจะมา” เฟิงหลินพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ายังคิดว่าท่านจะเดินทางไปพระราชวังก่อนเสียอีก โชคดีที่ไม่ได้พนันกับท่านแม่ทัพ มิฉะนั้นข้าคงแพ้แล้ว”
เวลานี้เป็นเวลาที่ฮ่องเต้กำลังร้อนใจ หากนางไปคงไม่ได้รู้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ อีกทั้งยังอาจจะถูกฮ่องเต้ระบายความโกรธ นางไม่ได้โง่เขลาเพียงนั้น มีท่านแม่ทัพอยู่ เหตุใดนางจึงต้องไปขอร้องฮ่องเต้…
ท่านแม่ทัพก็ด้วย เรื่องแบบนี้ยังต้องพนันกับเฟิงหลินหรือ
“เจ้าอย่าพูดเล่นกับข้าเลย” เฉินตันจูพูดอย่างระอา เมื่อเห็นว่าเฟิงหลินยังสามารถยิ้มได้ หัวใจของนางสงบลงเล็กน้อย “เรื่องเป็นอย่างไร องค์ชายสามไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่”
เฟิงหลินหุบยิ้มลง “เรื่องในครานี้ องค์ชายสามตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่ง”