รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 314 ขุดกระดูกออกมาทั้งเป็น พวกเจ้าไม่รู้สึกว่ามันโหดร้ายบ้างหรือ!?

บทที่ 314 ขุดกระดูกออกมาทั้งเป็น พวกเจ้าไม่รู้สึกว่ามันโหดร้ายบ้างหรือ!?

บทที่ 314 ขุดกระดูกออกมาทั้งเป็น พวกเจ้าไม่รู้สึกว่ามันโหดร้ายบ้างหรือ!?

จ้าวหุบเขาคาดว่าหลิงอินอาจเป็นสมาชิกของยอดนิกาย

นางจึงเกิดข้อสงสัยเป็นอย่างมาก ว่าหลิงอินมาพบนางด้วยเหตุใด

“ข้าต้องการดูกระดูกในร่างกายของเจ้า”

หลิงอินมองไปทางจ้าวหุบเขาแล้วเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง

ดูกระดูก…!

ช่างเป็นงานอดิเรกอะไรที่พิเศษเช่นนี้!

มุมปากของจ้าวหุบเขากระตุก ไม่คาดคิดว่าหลิงอินจะตอบกลับมาเช่นนี้

“ที่แม่นางหลิงอินกล่าวออกมาหมายความเช่นไร?”

นางเอ่ยถามหลิงอิน ไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะทำ

“ข้าสงสัยว่ากระดูกในร่างของเจ้าคือ กระดูกของสหายข้าคนหนึ่ง!”

หลิงอินที่ยังคงจับจ้องจ้าวหุบเขากล่าวออกมา

กระดูกของสหายคนหนึ่ง!

ช่างเป็นเรื่องน่าขบขัน!

จ้าวหุบเขาที่ได้ยินถึงกลับพูดไม่ออก

ในร่างกายของนางคือ กระดูกจักรพรรดิที่ได้รับสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นจากจักรพรรดิบุปผา ดังนั้นแล้วจะไปเกี่ยวข้องกับสหายของหลิงอินได้อย่างไร!

“แม่นางหลิงอิน ดูเหมือนจะมีเรื่องเข้าใจผิดพลาดไปกระมัง”

นางเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม อย่างไรเสียนางก็เป็นถึงผู้นำของหุบเขาคงหลิง ท่าทางที่แสดงออกมาจึงดูใจเย็นเป็นอย่างมาก

“ไม่ใช่เรื่องผิดพลาด”

สีหน้าของหลิงอินยังคงจริงจังขณะกล่าวออกมา “กระดูกจักรพรรดิในร่างกายของเจ้าไม่ใช่สิ่งที่มีมาตั้งแต่ถือกำเนิด ทว่าสืบทอดจากจักรพรรดิบุปผาใช่หรือไม่?”

จ้าวหุบเขารู้สึกตกใจขึ้นมา หลิงอินรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?

แต่เมื่อคิดดูแล้วว่าหลิงอินมายังหุบเขาคงหลิงโดยตรงผ่านทางค่ายกลเคลื่อนย้าย นางก็สามารถคาดเดาได้ว่าหลิงอินน่าจะทราบเรื่องนี้มาจากเจียงอวี่สือ

ค่ายกลเคลื่อนย้ายก็ควรจะเป็นสิ่งที่ได้รับมาจากพวกเจียงอวี่สือ

“แม่นางหลิงอินกล่าวถูกแล้ว กระดูกจักรพรรดิในร่างกายของข้าเป็นกระดูกที่สืบทอดกันมาจากจักรพรรดิบุปผา”

นางกล่าวออกมา ในเมื่อหลิงอินดูจะรู้เรื่องราวทุกอย่างแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร

“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง…”

หลิงอินมองไปทางจ้าวหุบเขา “จ้าวหุบเขาก็โปรดแสดงกระดูกออกมา เพื่อให้ข้าได้ตรวจสอบว่าเป็นกระดูกของสหายข้าหรือไม่”

หากเป็นกระดูกจักรพรรดิของเสี่ยวหยาจริง จะต้องมีร่องรอยปราณของเสี่ยวหยาหลงเหลืออยู่

อย่างไรเสียกระดูกจักรพรรดิก็ค่อย ๆ เติบโตทีละนิดพร้อมกับร่างกายของเสี่ยวหยา ตราบใดที่กระดูกจักรพรรดิยังคงอยู่ ลมปราณของเสี่ยวหยาก็จะไม่หายไป

เเต่หากกระดูกจักรพรรดิถูกหลอมรวมเปลี่ยนเจ้าของอย่างสมบูรณ์ ปราณของเสี่ยวหยาข้างในกระดูกจักรพรรดิก็จะสลายหายไป

ทว่าเห็นได้ชัดว่ากระดูกจักรพรรดิยังไม่เคยถูกหลอมรวมอย่างสมบูรณ์ หากเป็นของเสี่ยวหยา ปราณของเสี่ยวหยาก็จะคงอยู่ด้านในนั้น

“แม่นางหลิงอินโปรดอย่างสร้างปัญหา แล้วบอกจุดประสงค์ที่แท้จริงออกมาเถิด!”

จ้าวหุบเขาจับจ้องไปทางหลิงอิน ไม่เชื่อเรื่องกระดูกของสหายที่หลิงอินกล่าวออกมา

นางจะเชื่อได้อย่างไร?

กระดูกจักรพรรดิสืบทอดกันมาตั้งแต่สมับโบราณกาล จะกลายมาเป็นกระดูกของสหายคนในยุคปัจจุบันได้อย่างไร?

นี่เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ!

“จุดประสงค์ก็คือ ตรวจกระดูก ทวงหนี้ และล้างแค้น!”

น้ำเสียงของหลิงอินแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา

นางกำลังระงับโทสะของตนเอง

ทุกสิ่งทุกอย่างบ่งชี้ว่าเป็นจักรพรรดิบุปผาที่ทำร้ายเสี่ยวหยา ทว่าหลักฐานยังคงไม่แน่นอน

นางไม่ใช่คนบุ่มบ่าม และนางไม่คิดลงมือก่อนจะเห็นหลักฐานชัดแจ้ง

“ทว่าข้าคิดว่าจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ของเจ้าคือ การแย่งชิงกระดูกจักรพรรดิในร่างกายของข้า!”

จ้าวหุบเขากล่าวออกมา “ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบที่จะมาหลอกหล่อได้ง่าย ๆ กระดูกของสหายเจ้าอะไรกัน เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่ออย่างนั้นหรือ?”

นางยังคงกล่าวต่อไป “เห็นแก่หน้ายอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังเจ้า จงไปเสียเถอะ ข้าจะไม่ถือสาเอาความกับเจ้าในครั้งนี้!”

ในความคิดของนาง หลิงอินจะต้องได้รับรู้เรื่องกระดูกจักรพรรดิจากพวกเจียงอวี่สือ จากนั้นจึงตัดสินใจจะแย่งชิงกระดูกจักรพรรดิของนางไป

ช่างดีดลูกคิดรางแก้ว*[1]นัก…

หลิงอินวางแผนที่จะใช้ภูมิหลังของตนเองมากดขี่นาง บังคับให้ยอมจำนนแล้วนำกระดูกจักรพรรดิในร่างกายนางไปใช่หรือไม่?

เหอะ…

นางส่งเสียงเยาะเย้ยขึ้นมาในใจ หลิงอินคิดว่าหุบเขาคงหลิงเป็นเพียงกองกำลังเล็ก ๆ อย่างนั้นหรือ

กำลังคิดสิ่งใดอยู่กัน!

หุบเขาคงหลิงของนางสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใดก็มักจะยืนอยู่ปลายยอดด้วยความมั่นคงและทรงพลัง ก้มลงมองเหล่ากองกำลังผู้ฝึกตนที่เหลือทั้งหมด!

แม้ยอดนิกายจะแข็งแกร่ง แต่หุบเขาคงหลิงของนางเองก็ไม่ได้อ่อนแอ แม้นางจะกริ่งเกรงยอดนิกาย แต่ก็ไม่กลัวจนยอมโดนยอดนิกายปั่นหัวเล่นตามใจ

ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้ยืนอยู่แนวหน้าของยอดนิกายก็ว่าไปอย่าง แต่กลับสมาชิกรุ่นเยาว์เช่นหลิงอินจะนับเป็นอะไรได้? คิดว่าหุบเขาคงหลิงเป็นลูกพลับอ่อนให้เจ้าบีบเล่นตามต้องการอย่างนั้นหรือ?

ภายในใจของนางเกิดไฟโทสะขึ้นมา

“ไม่ว่าจะเป็นกระดูกของสหายข้าหรือไม่ก็ตาม หุบเขาคงหลิงของพวกเจ้าก็สามารถใช้มันได้อย่างสบายใจอย่างนั้นหรือ? ขุดกระดูกจักรพรรดิออกมาจากร่างคนทั้งเป็น พวกเจ้าไม่รู้สึกว่ามันโหดร้ายงั้นหรือ? สักนิดก็ไม่รู้สึก?”

หลิงอินมองไปทางจ้าวหุบเขา น้ำเสียงของนางจริงจังมากยิ่งขึ้น โทสะสว่างวาบขึ้นในแววตา

“ตราบใดที่พวกเจ้ายังคงมีความเป็นมนุษย์อยู่ ก็ไม่ควรจะใช้กระดูกจักรพรรดินี้อีกต่อไป ควรฝังมันและขอขมา!”

นางกล่าวออกมาโดยเน้นย้ำทุกคำพูด

ฝังกระดูกจักรพรรดิ?

จ้าวหุบเขาได้ฟังแล้วก็รู้สึกขบขันขึ้นมา หลินอินกล่าวออกมาเช่นนี้ได้อย่างไร?

กระดูกจักรพรรดิที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ คือสมบัติขั้นสูงสุด หากถูกเปลี่ยนแทนมาใส่ในร่าง เส้นทางการฝึกตนย่อมราบรื่นตลอดเส้นทาง ไร้ซึ่งปัญหาในการบรรลุขอบเขตมหาจักรพรรดิ

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าใครก็ตามในหุบเขาคงหลิงของนางได้เปลี่ยนกระดูกจักรพรรดิเข้าไปร่างกาย สุดท้ายแล้วล้วนแต่สามารถบรรลุขอบเขตมหาจักรพรรดิได้โดยอาศัยกระดูกจักรพรรดิ!

เป็นไปได้อย่างไรที่จะฝังกระดูกอันแสนล้ำค่าเช่นนี้?

แม้ว่าสิ่งที่จักรพรรดิบุปผาทำในครั้งนั้นจะดูไร้มนุษยธรรมและโหดร้ายเกินไป ทว่าในโลกแห่งการฝึกตน…มีเมื่อใดที่ไร้ซึ่งความโหดร้ายด้วยหรือ?

ในโลกแห่งการฝึกตน ส่วนใหญ่ผู้อ่อนแอก็ล้วนถูกผู้แข็งแกร่งกว่ากลืนกิน เกี่ยวข้องอะไรกับความโหดร้ายหรือไม่โหดร้ายด้วยหรือ?

มีเพียงแต่ทำทุกสิ่งให้แข็งแกร่งขึ้น!

“หยุดทำเป็นสั่งสอนเสียที! อย่าคิดว่าข้ามองไม่เห็นความคิดแอบแฝงของเจ้า! เจ้าเพียงแค่ต้องการกระดูกจักรพรรดิของข้า!”

จ้าวหุบเขากล่าวออกมาอย่างเย้ยหยัน “สิ่งที่เจ้าทำในวันนี้ เกรงว่ายอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังเจ้าจะไม่รับรู้! ภัยพิบัติของโลกใกล้เข้ามาถึงทุกที ข้าไม่เชื่อว่ายอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังจะยอมให้เจ้าเที่ยวก่อความวุ่นวายไปทั่ว!”

หุบเขาคงหลิงไม่ใช่กองกำลังขนาดเล็ก

แม้ว่าจะเป็นยอดนิกาย หากต้องการจะทำสิ่งใดกับพวกนางย่อมตั้งชั่งน้ำหนักอย่างดี ไตร่ตรองถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา

นางรู้สึกว่าสิ่งที่หลิงอินทำในวันนี้เป็นการเคลื่อนไหวตามใจชอบ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยอดนิกายที่อยู่เบื้องหลัง

หายนะของโลกกำลังใกล้เข้ามา การปะทะกันเองของกองกำลังใหญ่นับเป็นการสูญเสียอย่างร้ายแรง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการปะทะกันของกองกำลังโบราณระดับสูงอย่างหุบเขาคงหลิงเลย!

ยอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังหลิงอินจะต้องไม่รู้ถึงที่สิ่งนางทำลงไปในวันนี้ หากพวกเขารู้ หลิงอินจะต้องถูกหยุดเอาไว้อย่างแน่นอน

เมื่อมีศัตรูตัวฉกาจอยู่เบื้องหน้า ทุกคนก็ควรจะมุ่งเป้าไปจัดการกับศัตรู!

“กล่าวตามตรงแล้ว หากข้าฆ่าเจ้าไปก็ไม่เกิดอะไรขึ้น!”

จ้าวหุบเขามองไปยังหลิงอินแล้วกล่าวเย้ย “หากไม่นับยอดนิกายที่อยู่เบื้องหลังเจ้า เจ้ามันก็ไม่มีอะไรเลย!”

หากหลิงอินมาที่นี่ในนามตัวแทนของยอดนิกาย นางอาจเกิดความหวั่นเกรงเป็นอย่างมาก

แต่เห็นได้ชัดว่าหลิงอินไม่ได้มาด้วยความยินยอมของยอดนิกาย ทั้งยังมาเพียงลำพัง

อย่างที่นางกล่าวออกมา หากนางฆ่าหลิงอิน ย่อมไม่เกิดเรื่องร้ายแรงอะไรตามมา

“ข้าไม่มีอะไรเลย?”

หลิงอินส่งเสียงหัวเราะออกมา นางจะไม่มีอะไรเลยได้อย่างไรกัน?

“ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสามท่านอยู่ที่ใด?”

จ้าวหุบเขาตะโกนขึ้น พลันร่างสามร่างก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจากส่วนลึกของหุบเขาคงหลิง พวกเขาคือผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสามของหุบเขาคงหลิง!

“ส่งแขกให้ข้า ส่งแม่นางหลิงอินออกไป”

นางออกคำสั่งกับผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสาม เพราะไม่ต้องการจะยุ่งเกี่ยวกับหลิงอินอีกต่อไป

[1] ลูกคิดรางแก้ว หมายถึง คิดถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับฝ่ายเดียว

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท