“เป็นแม่สื่อให้เจินเจี่ยเอ๋อร์หรือ” สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ
“ใช่แล้ว!” คุณนายใหญ่สกุลหลินตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “เป็นหลานชายคนหนึ่งที่สกุลเดิมของข้า ปีนี้อายุสิบหก ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ครอบครัวสายตรงเดียวกับข้า แต่ปู่ของเขาเคยดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองทัพทหารของกว่างซี รูปลักษณ์ใช่ไม่แค่สง่างามเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นวิชาความรู้หรือศิลปะการต่อสู้ก็มีครบครัน สอบบัณฑิตซิ่วไฉได้ตั้งแต่อายุยังน้อย พี่ใหญ่ข้าคอยพูดเป็นประจำ ว่าตระกูลเซ่าทั้งตระกูลต้องคอยรอดูเขาและน้องชายคนเล็กของเขาแล้ว”
สกุลเดิมของคุณนายใหญ่สกุลหลินอยู่ไกลถึงซังโจว
อย่าว่าแต่ไท่ฮูหยินกับสวีลิ่งอี๋เลย ถึงแม้ว่าจะเป็นตน แค่นึกว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์ต้องแต่งไปไกลขนาดนี้ เกรงว่าคงจะมีคนไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “สถานการณ์ของข้าท่านก็รู้ดี เจินเจี่ยเอ๋อร์ถูกเลี้ยงดูให้เติบใหญ่โดยไท่ฮูหยิน ท่านโหวเองก็มีนางเป็นบุตรสาวเพียงแค่คนเดียว เรื่องนี้เกรงว่าต้องปรึกษาหารือกับท่านโหวและไท่ฮูหยินเสียก่อน”
ทำไมคุณนายใหญ่สกุลหลินจะไม่รู้เล่า
หลานชายของตนจะดีแค่ไหน แต่ก็อยู่ไกลถึงซังโจว หากไม่ใช่เพราะน้องชายของตนขอร้องตั้งหลายครั้งหลายหน อีกทั้งยังเห็นว่าคนเช่นจวนสกุลจัวก็ยังมาสู่ขอด้วย มิเช่นนั้นนางก็คงจะไม่กล้าพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาอย่างแน่นอน เมื่อนึกถึงตรงนี้ ความตั้งใจที่จะเป็นแม่สื่อของนางก็ลดลงไปมาก
“ข้ารู้สึกว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์ของเจ้าเหมาะสมกับจ้งหรานของข้าราวกับกิ่งทองใบหยกก็ไม่ปาน” คุณนายใหญ่สกุลหลินพูดถึงเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างกับสืออีเหนียง “…ไท่ฮูหยินมาส่งเทียบเชิญให้แม่สามีของข้าด้วยตัวเอง บอกว่าวันนั้นเป็นวันเข้าพิธีขึ้นปิ่นปักผมของเจ้า ให้มาร่วมงานครึกครื้นแต่เช้า”
ไท่ฮูหยินได้เตรียมตัวที่จะจัดงานพิธีขึ้นปิ่นปักผมที่ใหญ่โตตั้งแต่เนิ่นๆ สืออีเหนียงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้มากมายเท่าไรนัก แต่ไท่ฮูหยินกลับมีความตั้งใจที่จะทำสิ่งเหล่านี้ จู่ๆ ก็เกิดรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา เพียงแต่ว่าไท่ฮูหยินไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย หลายวันมานี้ก็เอาแต่สั่งป้าตู้ให้ไปทำธุระไม่เว้นแต่ละวัน ส่วนตัวไท่ฮูหยินเองก็ได้ออกนอกจวนไปหลายต่อหลายครั้ง ราวกับว่ากำลังเชื้อเชิญแขกอย่างไรอย่างนั้น สีหน้าแววตาดูมีลับลมคมในอย่างชัดเจน สืออีเหนียงจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
“วันเกิดก็ดันมาตรงกับเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างเสียนี่” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “พลอยทำให้ทุกคนวุ่นวายกันไปหมด!”
“ยังดีที่เป็นเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง” คุณนายใหญ่สกุลหลินพูดคุยกับสืออีเหนียง “หากเป็นเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ คงจะปวดหัวน่าดู”
ประเพณีของเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างก็คือการท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ส่วนประเพณีของเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ก็คือการรวมตัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาของคนในครอบครัว ในเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง ทุกคนพากันออกไปท่องเที่ยวชมนกชมไม้จึงไม่ค่อยเป็นอะไรมาก แต่ถ้าหากเป็นเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ คือวันที่รวมตัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาของสมาชิกในตระกูล หากจะจัดงานอะไรขึ้นมาในช่วงเวลานี้ ก็จะกลายเป็นการลำบากคนอื่นไปด้วย
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ “หากคิดเช่นนี้ ก็ดูมีประโยชน์ขึ้นมาเล็กน้อย”
คุณนายใหญ่สกุลหลินยกแขนเสื้อขึ้นมาบังพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ
จัวฮูหยินก็เข้ามาพอดี
คุณนายใหญ่สกุลหลินก็ถือโอกาสนี้ขอตัวลากลับ
ครั้งนี้จัวฮูหยินได้นำแตงหวานมาเป็นของฝาก “…ผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าแก่ของนายท่านข้านำมาฝาก เนื้อไม่เหมือนกับพันธุ์ของเมืองเยี่ยนจิง ข้าเลยตั้งใจนำมาให้ฮูหยินและไท่ฮูหยินลองชิมดู”
สืออีเหนียงก็ได้กล่าวขอบคุณนาง ทั้งคู่พูดคุยกันอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นสืออีเหนียงก็พานางไปคารวะทักทายไท่ฮูหยิน แล้วจึงไปส่งนางที่ประตูฉุยฮวา
พอกลับมาถึงเรือนก็เห็นหู่พั่วกำลังเก็บกล่องไม้สีแดงลายเส้นสีทองที่คุณนายใหญ่สกุลหลินนำมา
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เห็นว่าฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ทำพัดลายทองให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าช่วยนำไปส่งให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ที!” คำพูดเพิ่งถูกพูดออกไป หู่พั่วก็มือลื่น ทำกล่องไม้ใบนั้นร่วงลงสู่พื้น พัดทั้งห้าเล่มกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด
“ฮูหยิน!” หู่พั่วตกใจจนหน้าขาวซีดไปหมด
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” สืออีเหนียงปลอบใจนาง จากนั้นก็เดินไปช่วยเก็บพัดเหล่านั้นขึ้นมา
โครงพัดเคลือบสีทอง ผ้าไหมสีดำ วาดลายไก่ฟ้าคลอเคลียดอกโบตั๋น งดงามยิ่งนัก
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะกางมันออกมาดู
สีสันสดใส ต้องตาน่าหลงใหล พลอยทำให้นางรู้สึกแปลกใจและนึกไม่ถึงเป็นอย่างมาก
“นึกไม่ถึงว่าฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์จะมีทักษะฝีมือการวาดดีขนาดนี้”
หู่พั่วที่อยู่ข้างๆ ก็ได้ชมว่า “งดงามยิ่งนัก!”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ได้เก็บพัดเหล่านั้นกับหู่พั่วพลางเชยชมไปด้วย
ภาพวาดดอกปิ่นหยกใต้เงาแสงจันทร์ ภาพวาดดอกไห่ถังหลับใหลในฤดูใบไม้ผลิ ภาพวาดดอกบัวบานใต้แสงสุริยัน และภาพวาดดอกกล้วยไม้บนยอดขุนเขา
ฝีไม้ลายมือและทักษะการวาดไม่ต้องพูดถึงแล้ว แต่ภาพวาดดอกปิ่นหยกใต้เงาแสงจันทร์ดูแปลกใหม่เป็นอย่างมาก
ดอกปิ่นหยกที่ขาวสะอาดและหมดจดกำลังเบ่งบานอย่างเต็มที่ ใบไม้เขียวเข้มสลับขาว ราวกับรัศมีแห่งแสงจันทร์ไม่ปาน แม้ว่าจะไร้ซึ่งแสงจันทร์ แต่กลับเป็นภาพดอกปิ่นหยกที่กำลังเบ่งบานท่ามกลางเงาจันทร์ที่ตระการตายิ่งนัก
สืออีเหนียงรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก
ดอกปิ่นหยกขาวสะอาดไร้ซึ่งที่ติ กลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทุกทิศ เป็นภาพวาดดอกไม้ที่ผู้คนต่างชื่นชอบและพบเจอได้ทั่วๆ ไป ปกติแล้วผู้คนมักจะวาดภาพดอกที่สวยงามและน่ารักน่าชัง แต่ภาพวาดดอกปิ่นหยกที่กำลังเบ่งบานยามค่ำคืนนั้นดูสง่างามราวกับดอกดารารัตน์ก็ไม่ปาน ยิ่งไปกว่านั้น ความสง่างามกลับไม่ใช่ความหยิ่งผยองหรือความทะนงตน หากแต่เป็นหนึ่งดอกหนึ่งเกสรที่ค่อยๆ เผยให้เห็น ดังเช่นมนุษย์ อารมณ์ที่สูงส่งถูกเก็บซ่อนไว้อยู่ในกระดูก ยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกนับถือและเกรงขาม แตกต่างกับภาพวาด ไก่ฟ้าคลอเคลียดอกโบตั๋นที่เผยให้เห็นถึงความหวานซึ้งและละเอียดอ่อนอย่างสิ้นเชิง
เมื่อความคิดเช่นนี้แล่นผ่านในหัว จู่ๆ สืออีเหนียงก็ชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็ได้รวบเอาพัดจำนวนหนึ่งรีบเดินตรงไปยังห้องทิศตะวันออกทันที
หู่พั่วเห็นว่าสืออีเหนียงนั้นรีบร้อนเป็นอย่างมาก ในใจก็รู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมด จึงรีบวิ่งตามสืออีเหนียงไปทันทีก็เห็นว่าสืออีเหนียงได้นำพัดทั้งห้าเล่มกางออกมาจนหมด จากนั้นก็วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะหนังสือ เพ่งพินิจอย่างละเอียดด้วยสีหน้าที่จริงจังเป็นอย่างมาก
“ฮูหยิน!” หู่พั่วเรียกนางเสียงเบา “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ!”
“ไม่มีอะไร!” สืออีเหนียงเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยว่า “ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าพัดเหล่านี้งดงามเป็นอย่างมาก ก็เลยอยากจะดูให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียหน่อย”
สีหน้าของสืออีเหนียงยังคงเป็นกันเองเหมือนเช่นเดิม และแววตาก็ยังคงอบอุ่นและอ่อนโยนไม่เคยเปลี่ยน แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หู่พั่วที่สนิทและคุ้นเคยกับสืออีเหนียงกลับแอบรู้สึกไม่ชอบมาพากลแปลกๆ ราวกับว่าพายุฝนกำลังจะมาอย่างไรอย่างนั้น ถึงแม้ว่าจะดูสงบ แต่กลับทำให้รู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก
สืออีเหนียงรวบพัดเก็บอย่างเบามือพร้อมกับพูดขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่กำลังทำอะไรอยู่หรือ” นางถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ
หู่พั่วรีบตอบกลับไปว่า “กำลังปักผ้าปักกับพี่ปินจวี๋อยู่เจ้าค่ะ!”
“เจ้าไปเชิญคุณหนูใหญ่มาที่นี่หน่อย” จากนั้นสืออีเหนียงก็ได้นำพัดเหล่านี้เก็บลงไปในกล่องไม้ “บอกแค่ว่าข้ามีเรื่องจะคุยกับนางก็พอ อย่างอื่นไม่ต้องพูดอะไร”
หู่พั่วแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา จากนั้นก็ถอยออกไปอย่างนอบน้อมและรีบไปทำตามคำสั่งทันที
สืออีเหนียงหันไปจ้องมองกล่องไม้สีแดงลวดลายสีทอง แววตาเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก
“ท่านแม่ เรียกข้าหรือเจ้าคะ!” เจินเจี่ยเอ๋อร์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงและไพเราะราวกับเสียงนกจาบฝนก็ไม่ปาน
สืออีเหนียงเงยหน้าขึ้นมา แววตาไร้ซึ่งความเยือกเย็นของเมื่อครู่นี้แล้ว เหลือไว้เพียงแววตาที่อบอุ่นและอ่อนโยนราวกับแสงแดดแห่งฤดูใบไม้ผลิในเดือนสาม
เจินเจี่ยเอ๋อร์ช่วงวัยอายุสิบสองปี สวมเสื้อผ้าเก๋อปู้สีแดง ตอนนี้นางสูงกว่าสืออีเหนียงมาหน่อยเห็นจะได้
สืออีเหนียงมองไปยังต่างหูดอกปิ่นหยกสีทอง จากนั้นก็ยิ้มขึ้นบางๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ส่งของมาให้เจ้า”
“จริงหรือเจ้าคะ!” นัยน์ตาดำขลับเป็นประกายแวววาวขึ้นมาทันที ราวกับอัญมณีที่แพรวพราว
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับชี้ไปยังกล่องไม้สีแดงสดลายทองที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือ
“สวยจังเลยเจ้าค่ะ!” เจินเจี่ยเอ๋อร์จ้องมองไปยังพัดลายทอง ลักยิ้มนางราวกับดอกไม้ “ท่านแม่” นางกางพัดเล่มหนึ่งจากหนึ่งในนั้น จากนั้นก็นำมาตรงหน้าของสืออีเหนียง “ท่านดูสิ ขั้นบันไดที่อยู่ด้านข้างดอกไห่ถัง มันเป็นขั้นบันไดที่ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เดินถอยหลังอยู่เป็นประจำ ที่หัวบันไดเป็นรูปปั้นหัวเสือเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงเหลือบไปมองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบพัดรูปดอกปิ่นหยกอีกเล่มมากาง “ข้ารู้สึกว่ารูปนี้วาดได้ดีที่สุด!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์หันไปมอง ดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นมาทันที “ดอกปิ่นหยก!”
“เจ้าชอบดอกปิ่นหยกมากหรือ” สืออีเหนียงหรี่ตาลง
“เจ้าค่ะ!” เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มกว้าง “ข้าชอบดอกปิ่นหยกที่สุด” นางหันมามองสืออีเหนียงด้วยแววตาเป็นประกาย “ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ไม่ชอบดอกปิ่นหยก นางคงตั้งใจวาดให้ข้าอย่างแน่นอน” หลังจากนั้นก็รับพัดมาเชยชมอย่างละเอียดถี่ถ้วน “คือดอกปิ่นหยกใต้เงาแสงจันทร์…” น้ำเสียงของนางฟังดูแปลกใจเป็นอย่างมาก “หรือว่าฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์จะตื่นมากลางดึกเพื่อวาดภาพนี้” จากนั้นใบหน้าของนางก็ปรากฏรอยยิ้มดีใจขึ้นมา “นางเกียจคร้านที่สุดแล้ว เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ยังต้องเรียกสาวใช้เลย แต่จู่ๆ กลับตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อวาดภาพได้…” ความประทับใจปรากฏขึ้นบนดวงตาของนาง “ข้าจะต้องเขียนจดหมายไปขอบคุณนางดีๆ ถึงจะถูก” จากนั้นนางก็เก็บพัดลงบนกล่องไม้
จู่ๆ สืออีเหนียงก็หยิบพัดรูปดอกปิ่นหยกใต้เงาแสงจันทร์ออกมา “ข้าเองก็ชอบพัดเล่มนี้ที่สุด!” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับหันมามองนาง
เจินเจี่ยเอ๋อร์ค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ จากนั้นก็ได้เผยรอยยิ้มที่ดีใจออกมา “ท่านแม่เองก็ชอบเหมือนกันหรือเจ้าคะ เช่นนั้นท่านแม่ก็นำไปใช้เถิด!”
“สุภาพบุรุษจะไม่แย่งชิงสิ่งที่ผู้อื่นชอบ…” สืออีเหนียงหันไปจ้องมองเจินเจี่ยเอ๋อร์
เจินเจี่ยเอ๋อร์ชี้ไปยังพัดที่เหลือ “ข้ายังมีอีกตั้งเยอะเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับกางพัดออก จากนั้นก็โบกพัดเบาๆ
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มพร้อมกับเก็บกล่องไม้และกำลังจะถอยออกจากห้อง
สืออีเหนียงจึงรวบพัดเก็บ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เขียนจดหมายที่นี่ก็แล้วกัน ข้างนอกแดดออกจะแรง จะได้ไม่ต้องย้อนกลับไปที่เรือนเสาหวา”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขานรับด้วยรอยยิ้ม หย่อนตัวนั่งลงและเริ่มฝนหมึก
สืออีเหนียงเรียกสาวใช้น้อยให้เข้ามาปรนนิบัติดูแลนาง ส่วนสืออีเหนียงก็นั่งเก้าอี้ดินเผาที่อยู่ข้างๆ เชยชมพัดที่อยู่ในมือ
เจินเจี่ยเอ๋อร์นั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะหนังสือ สีหน้าสุขุมเงียบสงบ ลงมือบรรจงเขียนตัวอักษรอย่างไม่ลังเล ไม่นานก็เขียนเสร็จเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นก็ได้หันไปสั่งกับสาวใช้น้อยว่า “ให้คนส่งไปที่จวนคุณหนูใหญ่จวนเวยเป่ยโหว”
สาวใช้น้อยขานรับ จากนั้นก็ได้วางผ้าขาวบางไว้บนหน้าจดหมายเพื่อซับหมึก และเพื่อให้หมึกแห้งได้ไวขึ้น ไม่ได้หลบหลีกหรือซ่อนเร้นอะไร
สืออีเหนียงแอบพยักหน้าเงียบๆ
แต่ขณะที่เจินเจี่ยเอ๋อร์กำลังลุกขึ้นนั้น ก็เห็นว่าสืออีเหนียงถือพัดไว้เล่มหนึ่งอยู่ตลอดเวลา นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจยกหีบไม้สีแดงลายทองเดินไปตรงหน้าของสืออีเหนียง “หากว่าท่านแม่ชอบ จะเลือกอีกสักเล่มสองเล่มหรือไม่เจ้าคะ”
สืออีเหนียงเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองสีหน้าของเจินเจี่ยเอ๋อร์
เจินเจี่ยเอ๋อร์จ้องมองนางแล้วยิ้มบางๆ แววตาสดใสกระจ่างชัดเจน
จู่ๆ สืออีเหนียงก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ จากนั้นก็ปิดฝากล่องไม้ “ไม่ต้องแล้ว เล่มนี้ก็พอแล้ว!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์เห็นว่าสืออีเหนียงจู่ๆ ก็ดูผ่อนคลายลงอย่างไรอย่างนั้น สีหน้าไม่เข้าใจพลันปรากฏขึ้นในแววตาของนาง เจินเจี่ยเอ๋อร์โน้มน้าวต่อไปว่า “ท่านแม่นำไปใช้ได้เลยนะเจ้าคะ อย่างมากข้าก็แค่ขอฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ช่วยทำให้ใหม่ก็เรียบร้อยแล้ว”
แววตาของสืออีเหนียงสั่นไหวเล็กน้อย นางพูดขึ้นว่า “เอาอย่างนี้ดีไหม พรุ่งนี้เราไปที่จวนเวยเป่ยโหวเสียหน่อย! วันนี้คุณนายใหญ่สกุลหลินนำผลท้อพันธุ์น้ำผึ้งมาฝาก เราเลือกผ้าปักจำนวนหนึ่งไปฝากทางนั้นเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจ เจ้าเองก็จะได้ไปเยี่ยมฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ด้วย”
“ดีเลยเจ้าค่ะ!” เจินเจี่ยเอ๋อร์กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ข้าไม่ได้เจอหน้าฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์มาพักใหญ่แล้ว!”
“เพิ่งจะพายเรือเล่นด้วยกันตอนเทศกาลซานเย่ว์ซานไม่ใช่หรือ” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “นี่ยังไม่พ้นสองเดือนเลย”
เจินเจี่ยเอ๋อร์แสดงท่าทีเก้อเขินออกมา
สืออีเหนียงจึงถามนางเสียงเบาว่า “เจ้าชอบฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์มากหรือ”
“ท่านแม่ไม่ชอบนางหรือเจ้าคะ” เจินเจี่ยเอ๋อร์หันไปจ้องมองสืออีเหนียงด้วยความกังวลใจ
“เปล่าหรอก” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “เพราะข้าเห็นว่าเจ้าดีใจมากขนาดนี้ต่างหาก”
เจินเจี่ยเอ๋อร์จึงทำตัวไม่ถูกขึ้นมา “ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์มากความสามารถ เก่งรอบด้าน…ไม่เหมือนกับข้า ที่ดีดเป็นแต่พิณ”
เป็นเพราะฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เป็นคนสดใสร่าเริง เวลาอยู่ด้วยแล้วสนุกสนานมากกว่ากระมัง กับเด็กสาวที่เก็บความรู้สึกและมีนิสัยเขินอายเช่นเจินเจี่ยเอ๋อร์จึงค่อนข้างมีแรงดึงดูดเป็นพิเศษ
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับกุมมือของนาง กลางคืนก็ได้เรียนเรื่องนี้กับไท่ฮูหยิน บอกเพียงแค่ว่าจะไปส่งมอบของฝากเพื่อตอบแทนน้ำใจ จากนั้นก็ได้เลือกผ้าปักจำนวนหนึ่ง และออกเดินทางไปยังจวนเวยเป่ยโหวในเช้าวันรุ่งขึ้นพร้อมกับเจินเจี่ยเอ๋อร์
*****
จวนเวยเป่ยโหวเล็กกว่าจวนหย่งผิงโหวราวหนึ่งเท่าตัวเห็นจะได้
ถึงแม้ว่าสืออีเหนียงจะมาที่นี่เป็นครั้งแรก แต่กลับรู้สึกค่อนข้างสนิทสนมและเป็นกันเอง
เมื่อคุณนายใหญ่สกุลหลินได้รับแจ้งแล้ว ก็ได้พาฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ออกมารอต้อนรับที่หน้าประตูฉุยฮวา
ต่างฝ่ายต่างทำความเคารพซึ่งกันและกัน ผู้ใหญ่ทั้งสองก็ได้พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกัน ส่วนเด็กทั้งสองคนก็ควงแขนพากันพูดกระซิบข้างหูตามประสา