สาเหตุที่ฮ่องเต้ส่งทหารไปรับองค์ชายสามในครานี้ หนึ่งเพราะเป็นการแสดงถึงความชื่นชมที่ฮ่องเต้มีต่อองค์ชายสาม สองเพราะกำลังคนขององค์ชายสามไม่เพียงพอ
เนื่องจากทางองค์ชายสามมีเรื่องด่วนหลายเรื่องต้องการหารือกับราชสำนัก แต่คนและเรื่องทางแคว้นฉีไม่อาจหยุดได้ เพื่อเป็นการรับรองว่าการคัดเลือกขุนนางตามนโยบายสามารดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เหล่าขุนนางที่ติดตามยังคงอยู่ ส่วนทหารที่ติดตามส่วนใหญ่ก็ยังคงอยู่
ตามหลักแล้วหลังจากที่โจวเสวียนนำทัพไปถึงแคว้นฉี อารักขาองค์ชายสามกลับมา ทุกสิ่งก็ไม่มีปัญหา
แต่ปัญหาเกิดตรงนี้
“เวลานี้แผ่นดินสงบ ข้างกายขององค์ชายก็มีทหารนับร้อย องค์ชายสามจึงออกเสด็จล่วงหน้า คิดจะไปพบกับกองทัพของโจวเสวียนระหว่างทาง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินตันจูถอนหายใจเสียงเบา “ดังนั้นจึงเผชิญกับการลอบโจมตี”
เฟิงหลินพยักหน้า “พอตกดึก โจรกลุ่มหนึ่งบุกโจมตีค่าย อีกทั้งยังเข้าถึงตัวขององค์ชายสาม”
เฉินตันจูกำมือแน่น “สามารถประชิดตัวองค์ชายสามได้? โจรกลุ่มนี้คงไม่ใช่โจรธรรมดาใช่หรือไม่”
เหมือนดั่งที่องค์ชายสามพูดก่อนหน้านี้ ถึงแม้จะเหลือกองกำลังส่วนหนึ่งไว้ที่แคว้นฉี แต่ข้างตัวยังมีทหารอีกนับร้อย สิบกว่าปีนี้ราชสำนักฝึกฝนการทำสงครามเสมอมา ทหารเหล่านี้ล้วนเป็นผู้กล้าหาญที่เคยผ่านสนามรบ โจรชั่วธรรมดาจะคุกคามพวกเขาได้อย่างไร
สมกับเป็นบุตรสาวของแม่ทัพ เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็รับรู้ได้ทันที เฟิงหลินกดเสียงต่ำลง “เวลานี้สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน ท่านแม่ทัพคาดเดาว่าเป็นกองกำลังที่เมืองฉีแอบซ่อนเอาไว้ หรือไม่ก็เป็นขุนนางเมืองฉีจ้างวานมา”
เฉินตันจูถอนหายใจ ดังนั้นองค์ชายสามต้องเผชิญกับอันตรายอย่างมากในการทำเรื่องนี้
“องค์ชายสามเป็นอย่างไร ได้รับบาดเจ็บหรือไม่” นางรีบถาม
เฟิงหลินพูด “ถูกแทงเข้าที่แขน แต่ไม่เป็นอันใดมาก สถานการณ์โดยละเอียดยังไม่ชัดเจน ข่าวเพิ่งถูกส่งมา สองวันนี้จะมีข่าวที่ละเอียดยิ่งขึ้นส่งกลับมา เมื่อมีข่าว จะรีบบอกคุณหนูตันจูทันที ท่านไม่ต้องกังวล”
เฉินตันจูตอบรับ “ข้าแค่มาถาม หากจะบอกว่ากังวล คงจะเป็นฝ่าบาทและท่านแม่ทัพที่กังวลยิ่งกว่า ข้าไม่วุ่นวายแล้ว”
เดิมทีนางอยากจะพูดว่าหากต้องการให้ข้าช่วยบอกข้าได้ แต่นางจะช่วยอันใดได้ สิ่งเดียวที่นางทำได้คือการรักษา แต่เหมือนดั่งที่โจวเสวียนบอกนางก่อนหน้านั้น หากพูดถึงเรื่องฝีมือการรักษา ข้างตัวขององค์ชายสามมีหมอหลวงมากมาย มีผู้ใดไม่เก่งกว่านาง อีกทั้งเวลานี้ยังมีหญิงสาวเมืองฉี
เฉินตันจูขอบคุณเฟิงหลินก่อนเดินทางกลับ อย่างไรก็ตาม เมื่ออดีตชาติ นางมั่นใจว่าตอนที่นางตาย องค์ชายสามยังไม่ตาย ดังนั้นครานี้ องค์ชายสามย่อมไม่เป็นอันใด
แต่สิ่งที่น่าแปลกคือ อีกสองวันต่อมาไม่มีข่าวส่งมาแม้แต่น้อย อีกทั้งข่าวองค์ชายสามถูกลอบโจมตีก็หายไป คนเดินทางจากเหนือมาใต้ที่โรงน้ำชาเชิงเขาล้วนถกเถียงเรื่องความคึกคักของการคัดเลือกขุนนางตามกลยุทธ์ ชื่นชมองค์ชายสามว่ามีความสามารถเพียงใด
เรื่องนี้ถูกราชสำนักปิดเอาไว้หรือ?
ก็จริง หากเรื่องที่องค์ชายสามถูกลอบโจมตีถูกแพร่กระจายออกไป ราชสำนักต้องอับอาย เวลานี้ไม่มีท่านอ๋องฉี แคว้นฉีล้วนเป็นราษฎร ไม่อาจให้ราษฎรตื่นตระหนกได้ ยิ่งไม่อาจกระทบกับความมั่นคงของแคว้นฉีได้
ควรสืบย่อมสืบ ควรจับย่อมจับ ควรฆ่าย่อมฆ่า
เฉินตันจูนั่งอยู่บนก้อนหินท่ามกลางภูเขา ยันคางมองดูความคึกคักภายใต้เชิงเขา องค์ชายสามกลับมาอย่างเงียบๆ ใช่หรือไม่
“เฉินตันจู”
เสียงหญิงสาวดังขึ้นจากด้านข้าง เฉินตันจูรีบหันไปมอง เห็นองค์หญิงจินเหยากำลังโบกมือ
นางรีบลุกขึ้นวิ่งไป “องค์หญิงท่านมาได้อย่างไร”
เวลานี้ ภายในพระราชวังคงตึงเครียดอย่างมาก
เรื่องนี้ แพร่กระจายในพระราชวังแล้วหรือ
สีหน้าของเฉินตันจูแปรเปลี่ยน ไม่รู้ว่าควรถามหรือไม่
องค์หญิงจินเหยามองดวงตาของนาง พูดด้วยรอยยิ้ม “เดิมทีข้าออกมาไม่ได้ แต่ข้าได้รับการไหว้วานจากคนผู้หนึ่งมาบอกเจ้า”
ผู้ใด เฉินตันจูไม่ได้ถาม ดวงตาของนางถลึงโต จับมือขององค์หญิงจินเหยาแน่น
“บิดาบุญธรรมเจ้า” องค์หญิงจินเหยาพูด พลางกลั้นขำ “หากไม่ใช่เขา ข้าคงไม่ถูกปล่อยออกจากพระราชวังในเวลานี้”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กหรือ ระยะนี้แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่ได้ข่าวใด นางไม่กล้าไปรบกวนที่ค่ายทหาร ที่แท้เขายังจำนางได้ เฉินตันจูรีบถาม “พูดสิ่งใด ท่านแม่ทัพต้องการให้หม่อมฉันทำอันใด เฉินตันจูบุกน้ำลุยไฟไม่เกรงกลัวความตาย…”
องค์หญิงจินเหยาหัวเราะร่า บีบจมูกของนาง “เจ้าทำอันใดได้ ไม่หยอกเจ้าแล้ว” นางโน้มตัวเข้ามากระซิบ “พี่สามของข้ากลับมาแล้ว เพิ่งเข้าวังตอนเช้าตรู่”
เฉินตันจูจับมือของนาง ถามเสียงเบา “องค์ชายสามไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่เพคะ”
องค์หญิงจินเหยาพยักหน้า “ไม่เป็นอันใด ถึงแม้ข้ายังไม่ทันได้พบ” เมื่อพูดจบก็มองเฉินตันจูอย่างน้อยใจ
นางได้รับข่าวตอนฟ้ายังไม่สว่าง เวลานี้นางมีสายตาในพระราชวังมากกว่าก่อนหน้านี้ แน่นอนย่อมไม่ใช่เพื่อจับตามองสิ่งใด เพียงเพื่อไม่เป็นคนใบ้หูหนวกตอนเผชิญเรื่องก็พอ
นางรีบเดินทางไปหาองค์ชายสาม แต่ยังไม่ถึงก็ถูกแม่ทัพหน้ากากเหล็กเรียกเอาไว้ ให้นางออกไปส่งข่าวให้คุณหนูตันจูก่อน
“ท่านแม่ทัพบอกว่าตั้งแต่พี่สามไปแคว้นฉี เจ้าก็เป็นกังวลเสมอ สองวันก่อนยังไปถามที่ค่ายทหาร เวลานี้เขามีงานมากจึงให้ข้ามาบอกเจ้า”
องค์หญิงจินเหยาพูด ก่อนจะจิ้มหน้าผากของเฉินตันจูอย่างไม่พอใจ
“เจ้าเป็นห่วงพี่สามข้าเช่นนี้หรือ อีกทั้งยังตามถามท่านแม่ทัพทุกวันหรือ”
เฉินตันจูหัวเราะคิกคัก “อย่างไรองค์ชายสามก็ช่วยหม่อมฉันมากเพียงนั้น” ก่อนจะกดเสียงต่ำ “เรื่องขององค์ชายสาม ท่าน…”
องค์หญิงจินเหยาพูดเสียงเบา “เรื่องถูกลอบโจมตีหรือ ข้ารู้แล้ว ท่านแม่ทัพบอกข้า”
พูดถึงตรงนี้ นางก็ได้ใจเล็กน้อย นางคงเป็นหนึ่งในคนที่รู้ก่อนในวังหลัง
“ท่านแม่ทัพบอกว่าแขนถูกดาบฟัน แต่เวลานี้สามารถขยับได้แล้ว ไม่เป็นอันใดแล้ว”
เฉินตันจูวางใจในที่สุด
“ตอนที่พี่สามข้าไป เขารู้อยู่แล้วว่าต้องเผชิญอันตราย แต่เขาไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย หากเปลี่ยนเป็นข้าไป ข้าก็ไม่กลัว” องค์หญิงจินเหยาพูดอย่างภูมิใจ “เพียงแค่โจรกระจอกไม่กี่คนไม่ใช่เรื่องใหญ่ เฉินตันจู เจ้ามักบอกว่าตนเองใจกล้า ที่แท้ก็เป็นการแสร้งทำออกมา”
เพราะนางรู้ว่าการหายดีขององค์ชายสามผิดปกติจึงเป็นกังวล เฉินตันจูยิ้มรับ “ใช่ๆๆ หม่อมฉันใจขลาด องค์หญิงจินเหยาและองค์ชายสามเก่งที่สุดเพคะ”
ทั้งสองคนพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย องค์หญิงจินเหยาเป็นกังวลเรื่ององค์ชายสาม จึงขอลากลับไป “อย่างไรข้าก็ยังไม่ได้เห็นกับตา”
เป็นเพราะแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ทำให้นางไม่ได้เข้าไปดูองค์ชายสาม ก่อนออกจากวังก็ไม่สนใจเวลาว่ากี่ชั่วยาม องค์หญิงจินเหยาพึมพำ
เฉินตันจูเดินไปส่งองค์หญิงจินเหยา ทั้งสองคนเดินมาถึงเชิงเขา นางก็เห็นรถม้าคันหนึ่งแล่นเข้ามา ก่อนจะมีขันทีผู้หนึ่งเดินลงมา
“เสี่ยวชวี!” เฉินตันจูรีบเรียกทันทีเมื่อเห็น
ขันทีเสี่ยวชวีขององค์ชายสามที่ไม่ได้พบนานรีบเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเรียก เขาเดินเข้ามาคำนับ
“เจ้ามาได้อย่างไร” องค์หญิงจินเหยารีบถาม
เสี่ยวชวีเห็นนางก็ตกตะลึง “องค์หญิงก็อยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายสามให้กระหม่อมมาบอกคุณหนูตันจูว่าเขากลับมาแล้ว เนื่องจากมีเรื่องบางอย่างจึงไม่สะดวก ไม่อาจมาพบคุณหนูตันจูได้ชั่วคราว แต่ขอให้คุณหนูตันจูไม่ต้องกังวล”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา องค์หญิงจินเหยายิ้ม เฉินตันจูก็ยิ้ม ก่อนจะกล่าวขอบคุณเสี่ยวชวีด้วยรอยยิ้ม “ได้ ข้ารู้แล้ว ขอบพระทัยองค์ชายสาม เมื่อถึงเวลาที่สะดวก ข้าจะไปพบองค์ชายสาม”
เสี่ยวชวีตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอตัวก่อน มีเรื่องเล็กน้อย”
ไม่ได้มีเรื่องเล็กน้อย เฮ้อ เวลาใดแล้ว องค์ชายสามเหลวไหลเหลือเกิน แม้แต่เขาก็ห้ามไม่อยู่
เห็นได้ชัดว่าเฉินตันจูรู้ จึงรีบเร่งเร้า “กลับไปเถิด กลับไปเถิด”
เสี่ยวชวีมาอย่างเร่งรีบ กลับอย่างเร่งรีบ เฉินตันจูส่งเขาจากไป มุมปากอมยิ้ม แต่เมื่อคิดได้ว่าเวลานี้ไม่ควรยิ้ม จึงรีบหุบยิ้มลง เมื่อหันกลับมาเห็นองค์หญิงจินเหยาจ้องมองนางอยู่
“มีอันใดหรือเพคะ” เฉินตันจูถาม
องค์หญิงจินเหยาพูด “ไม่มีอันใด ข้าแค่รู้สึกว่าข้ามาเสียเที่ยวหรือไม่”
เฉินตันจูยิ้ม กอดแขนของนางเอาไว้ “องค์หญิง ท่านพบหม่อมฉันแล้ว หรือว่าหม่อมฉันไม่มีน้ำหนักในใจของท่านแม้แต่น้อยหรือ ท่านไม่ดีใจที่ได้พบหม่อมฉันหรือเพคะ?”
องค์หญิงจินเหยาหัวเราะร่า ใช้มือผลักหัวของนาง “รีบปล่อยข้า ข้าจะกลับไปแล้ว ข้ายังไม่ได้ทานข้าวเช้า!”
เฉินตันจูไม่ได้รั้งนางเอาไว้ ยิ้มส่งนางขึ้นรถ มองดูรถม้าเคลื่อนตัวจากไป
องค์หญิงจินเหยาเปิดม่านขึ้น เห็นหญิงสาวโบกมือกับท่านยายที่ริมโรงน้ำชา ยกชายกระโปรงวิ่งเข้าไป อีกทั้งยังกระโดดด้วยความดีใจเล็กน้อย นางอดยิ้มไม่ได้ หญิงสาวผู้นี้ยังซักถามนาง “หรือว่าหม่อมฉันไม่มีน้ำหนักในใจของท่านแม้แต่น้อยหรือ ท่านไม่ดีใจที่ได้พบหม่อมฉันหรือเพคะ?”
นางควรจะเป็นฝ่ายซักถามมากกว่า “เจ้าดีใจที่ได้พบข้า หรือได้พบเสี่ยวชวีมากกว่า”
เอาเถิด ดีเหมือนกัน ผู้นี้เป็นกังวลผู้นั้น ผู้นั้นเป็นกังวลผู้นี้ องค์หญิงจินเหยาเอามือยันคางหัวเราะอยู่บนรถที่ส่ายไปมา ก่อนจะนั่งตัวตรง ยื่นมือออกมานับ…
ตันจูเป็นกังวลเรื่ององค์ชายสาม ดังนั้นจึงสืบข่าวของเขาไปทั่ว
องค์ชายสามเป็นกังวลเรื่องตันจู ดังนั้นจึงให้คนส่งข่าวมา
แล้วแม่ทัพหน้ากากเหล็กเรียกนางให้ออกจากวังมาส่งข่าวแต่เช้าเป็นกังวลถึงผู้ใด…