“ผมเอาเครื่องดื่มกับผลไม้มาให้ครับ”
ประตูถูกเปิดและอีอูยอนก็เดินเข้ามาพร้อมกับถาดใส่อาหาร อินซอบรีบลุกขึ้น
“กินหน่อยนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
เมื่อเป็นไข้ อินซอบจะไม่สามารถกินอาหารได้มากนัก เขากินได้แค่อาหารที่ไม่หนักอย่างพวกผลไม้ในปริมาณที่เท่ากับอาหารนกเท่านั้น
อีอูยอนลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง และมองอินซอบกิน
“…กินไหมครับ”
อีอูยอนมองอินซอบที่แบ่งส้มออกเป็นสองส่วนและยื่นให้พลางกลั้นยิ้ม เป็นเพราะปากเล็กหรือเปล่านะ ริมฝีปากบนของอินซอบจึงหดมากเป็นพิเศษในตอนที่กิน เนื่องจากท่าทางนั้นน่ารักมาก เขาจึงมองอีกฝ่ายตอนกินอยู่ข้างๆ อย่างตั้งใจ แต่ทุกครั้งที่ทำแบบนั้น อินซอบกลับแบ่งอาหารที่ตัวเองกินออกเป็นสองส่วนและยื่นให้
“อา”
อีอูยอนอ้าปากอย่างไร้ยางอาย อินซอบลังเล แล้วก็เอาชิ้นส้มใส่ปากของอีอูยอน
“กินอีกไหมครับ”
อีอูยอนยิ้มให้กับคำถามของอินซอบพลางส่ายหน้า อินซอบกินส้มกับชีสชิ้นเล็กๆ อย่างช้าๆ และดื่มน้ำ
“กินไม่ไหวแล้วเหรอครับ”
“…ครับ”
ถ้ากินมากไปตอนที่เป็นไข้ อินซอบจะท้องอืด อีอูยอนจึงยอมเก็บถาดออกไปอย่างง่ายดาย และปรับหมอนให้หนุนหลังของอินซอบ
“ผมอ่านหนังสือให้ฟังไหมครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“งั้นผมทำอะไรให้ได้บ้างครับ”
อินซอบเงยหน้าขึ้นมา เพราะคำพูดที่อีอูยอนว่าพลางถอนหายใจราวกับพูดคนเดียว เขาสบตากับชายที่กำลังเป็นห่วงตนจากใจจริง
อินซอบจับมือของอีอูยอนมาแนบแก้มของตัวเอง มือที่ใหญ่และหนากุมแก้มของอินซอบไว้
“…นี่เป็นครั้งแรกเลยนะครับที่มีใครเข้ามาในห้องนี้นอกจากเจนนี่”
แม้อีอูยอนจะเคยมาหาที่หน้าบ้านอยู่หลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาถึงห้องของอินซอบ
“ดังนั้นผมก็เลยรู้สึกแปลกๆ น่ะครับ”
“แล้วรู้สึกยังไงตอนที่เจนนี่เข้ามาล่ะ”
“…คุณอูยอน”
“ล้อเล่นครับ”
อีอูยอนลุกขึ้นมานั่งบนเตียง จากนั้นก็กอดอินซอบไว้จากทางด้านหลังและเอาคางเกยไหล่
“เป็นห้องที่เหมือนคุณอินซอบมากเลยครับ”
อีอูยอนว่าพลางค่อยๆ ไล่สายตามองห้องของอินซอบ หนังสือที่ถูกเสียบไว้ที่ชั้นวางหนังสือ โปสเตอร์ภาพยนตร์ที่ติดไว้ที่กำแพง โต๊ะที่ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบกับรูปภาพที่วางอยู่บนนั้น นี่เป็นห้องที่แสดงถึงความเป็นชเวอินซอบ ไม่สิ แสดงถึงความเป็นปีเตอร์ในวัยเด็กได้อย่างชัดเจน
เขารู้สึกราวกับว่าได้เห็นเด็กชายในตอนนั้นที่ช่างฝัน อ่อนแอ และน่ารัก
“ตอนอยู่ที่นี่คิดถึงผมบ่อยหรือเปล่าครับ”
คำถามที่แซวเล่นทำให้อินซอบหน้าแดงในทันที
“นั่งเขียนจดหมายหาผมอยู่ตรงนั้นเหรอ?”
“…”
ใบหน้าของอินซอบแดงซ่าน และค่อยๆ เริ่มแดงไปถึงติ่งหูและต้นคอ
“คิดเรื่องลามกหรือเปล่า”
“มะ ไม่ได้คิดครับ”
อินซอบทำตาโตและหันหลังกลับมามองพลางส่งเสียงดัง อีอูยอนหัวเราะสั้นๆ
“ถ้าคุณทำหน้าจริงจังขนาดนั้น ผมก็เสียใจนิดหน่อยนะ”
“ไม่คิดครับ ผมไม่เคย…คิดเรื่องพวกนั้นเลยครับ”
“คุณไม่คิดเรื่องลามกตอนอายุเท่านั้นได้ยังไงครับ”
อินซอบนึกเกลียดอีอูยอนที่แกล้งแซวไม่เลิกทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักตัวเองในตอนนั้นขึ้นมานิดหน่อย และผลักแขนของเขาไปข้างหลังเบาๆ อีอูยอนกอดอินซอบที่ทำแบบนั้นแน่นพลางซุกหน้าลงกับคอ
“ถ้าเจอกันตอนนั้น ผมน่าจะคิดเรื่องลามกเยอะเลยล่ะ”
อินซอบยิ้มเงียบๆ อีอูยอนถามบ่อยมากว่าพวกเขาเจอกันเมื่อไร ที่ไหน อย่างไร และเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ทุกครั้งที่อีกฝ่ายถามแบบนั้น อินซอบจะยิ้มและพูดอย่างคลุมเครือว่าพวกเขาเจอกันโดยบังเอิญเท่านั้น แม้พูดไปแล้วจะรู้สึกผิดกับการที่อีอูยอนจำไม่ได้ แต่เขาก็มีความโลภที่อยากจะเก็บรักษาช่วงเวลาตอนนั้นที่ตนเองจำได้คนเดียวไว้เงียบๆ
“ตาบวมมากเลยนะ”
อีอูยอนใช้นิ้วโป้งลูบตาที่บวมแดงของอินซอบพลางพูดต่อ
“เมื่อวานมัวแต่เขียนสิ่งนั้นจนไม่ได้นอนเหรอครับ”
“ครับ?”
“สิ่งนี้น่ะ คำบอกลา”
อีอูยอนพูดพร้อมกับหยิบเศษกระดาษที่อยู่ในกระเป๋าของอินซอบออกมา
“…รู้ได้ยังไงครับ”
อินซอบถามกลับอย่างตกใจ อีอูยอนวางกระดาษคืนใส่มือของอินซอบ
“เพราะผมคิดว่าคุณจะทำแบบนั้น”
ตลอดเวลาที่เขาจ้องมองอีกฝ่ายอยู่ข้างหลัง อินซอบล้วงมือเข้าออกกระเป๋าซ้ำๆ เหมือนกับใส่อะไรบางอย่างที่สำคัญไว้ในนั้น แต่เนื่องจากอีกฝ่ายให้แหวนที่จะขอแต่งงานกับตนมาแล้วจึงน่าจะใส่ของที่สำคัญอย่างอื่นไว้ในนั้นอย่างแน่นอน และดูจากสถานที่แล้ว สิ่งนั้นคงจะเป็นคำบอกลาที่เขียนให้คุณยาย
อินซอบลูบมุมกระดาษที่พับไว้อย่างเรียบร้อยพลางหัวเราะแหะๆ เบาๆ
“ผมตั้งใจเขียนมาก แต่ก็ไม่สามารถอ่านให้ฟังได้ สุดท้ายแล้วผมก็ไม่สามารถลาท่านได้…”
น้ำตาเอ่อขึ้นมาในดวงตาของอินซอบอีกครั้ง อีอูยอนเดาะลิ้นและเพิ่มแรงไปที่แขนที่กอดอินซอบไว้
“ผมไม่ควรพูดและทำให้คุณร้องไห้เลย”
“ไม่ครับ ผมไม่เป็นไร”
อีอูยอนใช้ฝ่ามือเช็ดแก้มให้อินซอบ
“อ่านสิครับ ผมจะฟังเอง”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผม…”
“มันเป็นคำที่อยากพูดวันนี้นี่ครับ งั้นก็ต้องพูดวันนี้สิ”
อีอูยอนเร่งอินซอบว่า “เร็วเข้า” อินซอบลังเลก่อนจะกางกระดาษออก เขามองเห็นรอยน้ำตาเป็นดวงๆ บนตัวหนังสือที่เขียนไว้อย่างอัดแน่น พอนึกถึงอินซอบที่กำลังเขียนสิ่งนี้อยู่ทั้งคืน อีอูยอนก็รู้สึกไม่พอใจ
“คุณยายเอ็มม่าของผมที่มีความกล้าหาญและอ่อนโยนที่สุดในโลก…”
อินซอบที่อ่านจนถึงตรงนั้นพับกระดาษลงอีกครั้ง จากนั้นก็พูดพึมพำต่อ
“คุณยายเล่าว่าตอนที่บอกว่าจะแต่งงานกับคุณตา ทั้งสองบ้านวุ่นวายมากเลยล่ะครับ”
กำลังพูดถึงความรักของคนที่ตายไปแล้วอย่างนั้นเหรอ? แน่นอนอยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและซ้ำซาก แต่อีอูยอนก็ไม่ได้แสดงท่าทีออกไป และเอ่ยถามว่า “ทำไมเหรอ?”
“ดูเหมือนการแต่งงานกับคนเอเชียจะเป็นเรื่องที่รับได้ยากในสมัยนั้นน่ะครับ”
“ก็คงจะใช่ครับ”
แม้ระยะนี้เหมือนจะไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว แต่การแบ่งแยกเชื้อชาติก็เป็นเรื่องเก่าที่มีมาอย่างยาวนาน ยายของอินซอบที่เคยเห็นในรูปเป็นคนขาวที่มีผมสีบลอนด์กับตาสีฟ้า เขาจึงจินตนาการได้ง่ายมากว่าเรื่องที่ผู้หญิงคนนั้นคบและแต่งงานกับผู้ชายชาวเอเชียจะเป็นประเด็นร้อนขนาดไหนเมื่อหลายสิบปีก่อน
“และคนที่เกลี้ยกล่อมทั้งสองบ้านได้ก็คือคุณยายครับ แม่ของคุณตา…”
“คุณยายทวดครับ”
“อ้อ ใช่ครับ คุณยายทวด”
อินซอบพูดตามอีอูยอนและหัวเราะเบาๆ เขี้ยวที่เห็นแวบๆ น่ารักมากจนทำให้อีอูยอนมองอินซอบนิ่งๆ
“ในตอนแรกท่านคัดค้านอย่างหนักเลยครับ แต่พอได้เจอคุณยาย ท่านก็เปลี่ยนความคิด คุณยายของผมเธอเป็นแบบนั้นแหละครับ ภาษาเกาหลีเขาเรียกว่า ‘ต่อรองจนถึงที่สุด’ ฮ่าฮ่า ผมได้ยินมาว่าพวกท่านสนิทกันเหมือนเพื่อนเลยครับ เยี่ยมมากเลยใช่ไหมครับ”
“ครับ”
อีอูยอนเสยผมที่ยุ่งของอินซอบขึ้นไปพลางเอ่ยตอบ
“คุณยายกับคุณตาที่เป็นหมอทำกิจกรรมอาสาสมัครในการรักษาคนมาครึ่งชีวิตเลยครับ และที่ที่ทั้งคู่เจอกันก็คือที่แอฟริกา เหมือนหนังเลยใช่ไหมครับ”
“ทั้งสองคนเป็นคนที่น่านับถือมากเลยครับ”
“พวกท่านมาทำกิจกรรมอาสาสมัครในการรักษาคนที่เกาหลีด้วย เพราะพวกท่านเจอที่ที่ผมอยู่ ผมจึงสามารถมาจนถึงที่นี่ได้ครับ”
“โชคดีจังเลยนะครับ”
นี่เป็นความจริงใจเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางคำตอบรับที่เขาพูดวันนี้
“คุณยายเป็นคนดีจริงๆ ครับ เธอทั้งใจดีและอ่อนโยน ถึงขนาดที่ผมไม่เคยเห็นเธอโกรธเลยสักครั้ง แต่ท่านที่เป็นแบบนั้นก็เคยโกรธมากๆ อยู่เหมือนกันครับ”
“ไม่ใช่ว่าคุณอินซอบทำให้เธอทุกข์ใจหรอกใช่ไหมครับ”
อินซอบพยักหน้าเบาๆ ให้กับคำถามหยอกเย้าของอีอูยอน
“ถึงผมจะไม่ได้ทำแบบนั้น แต่ก็เป็นเพราะผมจริงๆ แหละครับ ครั้งหนึ่งคุณยายเคยได้รับคำเชิญให้ไปอบคุกกี้ที่บ้านของเพื่อน ที่นั่นมีเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมอยู่หลายคน”
ขณะที่อินซอบนึกถึงเรื่องราวในอดีตและเล่าออกมา แก้มแดงๆ ของเจ้าตัวก็ดึงดูดสายตาของอีอูยอน
“ตอนนั้นพวกเด็กขี้แกล้งเอาแป้งคุกกี้มาป้ายจนเต็มหน้าผมและบอกว่าจะทำให้สีผิวของผมดีขึ้นครับ”
มือที่กอดอินซอบไว้เกร็งขึ้นมาทันที อินซอบรีบพูดต่อว่า “พวกนั้นย้ายบ้านไปกันหมดแล้วครับ”
“งั้นเหรอครับ ไม่รู้เหรอครับว่าย้ายไปที่ไหน”
“ไม่รู้ครับ และผมก็ได้รับคำขอโทษหมดแล้วด้วยครับ”
อินซอบพูดต่อ
“วันนั้นคุณยายโกรธมากเลยครับ ถึงพวกนั้นจะมาขอโทษในภายหลัง แต่พอรู้ คุณยายก็ไปหาที่บ้านของแต่ละคน และบอกว่าการทำเรื่องพวกนั้นเป็นสิ่งที่ผิดมากแค่ไหน แม้แต่กับบ้านที่เชิญไปซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่สุด คุณยายยังทะเลาะกับบ้านนั้นเสียงดังเลยครับ”
อินซอบพูดว่า “แต่ผมไม่เคยเห็นภาพนั้นสักครั้งเลยครับ” และหัวเราะเบาๆ อีอูยอนกดจูบลงบนแก้มที่น่ารักซึ่งจะยกขึ้นทุกครั้งที่หัวเราะเบาๆ
“ความจริงวันนั้นผมไม่อยากไปอบคุกกี้เลยครับ เพราะเด็กพวกนั้นมักจะแกล้งผมเสมอ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไปเพราะได้รับคำเชิญจากหลานของเพื่อนคุณยาย แต่มันก็ยังเกิดขึ้น…ผมร้องไห้จนที่นอนเปียกเลยครับ เพราะผิดหวังและเสียใจในตัวคุณยาย แล้วก็ไม่พูดกับคุณยายด้วย…ผมเป็นเด็กไม่ดีใช่ไหมครับ”
ได้ยินคำถามของอินซอบ อีอูยอนก็ยิ้มโดยไม่พูดอะไร
ต้องเอาเก้าอี้ฟาดหัวเพื่อนห้องเดียวกันที่พูดเหยียดเชื้อชาติจนฟันหน้าหักไปหกซี่ก่อนถึงจะเรียกว่าเป็นคนไม่ดีได้ไม่ใช่เหรอ…หรือว่าเจ็ดนะ ยังไงก็เถอะ เขาควรต้องดึงฟันของไอ้คนที่แกล้งอินซอบออกจนหมดปากต่างหาก
“วันนั้นคุณยายมาหาที่ห้องของผมตอนกลางคืนครับ เธอบอกว่าอยากจะบอกความลับอย่างหนึ่งให้ฟัง”
อินซอบกัดริมฝีปากราวกับกลั้นความรู้สึกที่พุ่งขึ้นมาไว้ ปลายนิ้วของเขาสั่นเทา อีอูยอนตบหลังของอินซอบเบาๆ โดยไม่พูดอะไร
“คุณยายบอกว่าเพราะพวกเราเป็นครอบครัวใหญ่จึงมีญาติเยอะมาก ทั้งครอบครัวทางแม่และทางพ่อ”
ดวงตาที่กลมโตของอินซอบมีน้ำตาคลออยู่รางๆ
“แต่คุณยายบอกว่าความจริงแล้วผม…”
‘ปีเตอร์ เด็กน้อยที่รักของยาย’
อินซอบนึกถึงมือที่นุ่มนวลและอ่อนโยนที่ลูบใบหน้าของเขา
“เธอบอกว่า…เธอชอบผมที่สุด…และเธอก็รักผมที่สุดด้วย คุณยายน่ะ…ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือดแท้ๆ”
น้ำตาที่กลั้นไว้ร่วงลงมา
‘ห้ามไปบอกคนอื่นนะ นี่เป็นความลับที่ใหญ่ที่สุดของยายเลย’
ไม่สำคัญเลยว่าคำพูดนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่ ปีเตอร์กอดคุณยายราวกับออดอ้อน และร้องไห้ออกมา เพราะชอบน้ำเสียงของคุณยายในตอนที่พูดแบบนั้นมาก
“…แต่…ผมกลับไม่สามารถลาเธอได้…ผม…ผม…”
อินซอบร้องไห้ออกมาในที่สุด อีอูยอนกอดอีกฝ่ายไว้แน่น อินซอบร้องไห้ราวกับเด็กจนเขาตกใจว่าน้ำตาที่เยอะขนาดนั้นไหลออกมาจากส่วนไหนในร่างกายเล็กๆ นั่น หลังจากร้องไห้แบบนั้นอยู่สักพัก อินซอบก็หลับไปราวกับเป็นลม