คุณนายใหญ่สกุลหลินเห็นแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ “ทั้งคู่สนิทสนมกันเหมือนพี่น้องไม่มีผิด”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เรือนของเราสองคนอยู่ติดกัน นึกไม่ถึงเลยว่าสองคนนี้จะมีโชคชะตาต่อกัน”
“เรื่องนี้ใครจะไปทำนายได้!” คุณนายใหญ่สกุลหลินตอบกลับพลางหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็ไปยังเรือนของหลินฮูหยินพร้อมกับสืออีเหนียงและเจินเจี่ยเอ๋อร์
หลินฮูหยินสวมชุดเป้ยจื่อสีส้มอำพันผ้าแพรหังโฉว กำลังนั่งรออยู่ที่ห้องโถง เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา ก็รีบออกมาต้อนรับพร้อมกับเชิญเข้าด้านในด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
สืออีเหนียงและเจินเจี่ยเอ๋อร์รีบย่อตัวทำความเคารพต่อหลินฮูหยิน
หลินฮูหยินรีบจูงมือของสืออีเหนียงพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าเป็นแขกหายาก” จากนั้นก็ได้หันไปมองเจินเจี่ยเอ๋อร์ “ไม่เจอกันยังไม่ทันจะครบสองเดือน รู้สึกว่าสูงขึ้นกว่าเดิมมาหน่อย!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ใบหน้าแดงระเรื่อ
หลินฮูหยินและสืออีเหนียงนั่งอยู่ในสุดของห้องชั้นใน
ทุกคนแบ่งแยกซ้ายขวานั่งลงตามลำดับ จากนั้นสาวใช้น้อยก็ยกน้ำชาเข้ามาให้ สืออีเหนียงนำผ้าเช็ดหน้าปักลายออกมามอบให้ หลินฮูหยินจึงได้ถามถึงไท่ฮูหยินขึ้นมา จากนั้นก็ยกชาขึ้นมาจิบ “ประเดี๋ยวอยู่ทานอาหารเที่ยงด้วยกันก่อน”
สืออีเหนียงตอบกลับ “เจ้าค่ะ” แล้วพาเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปยังเรือนของคุณนายใหญ่สกุลหลิน
คุณนายใหญ่สกุลหลินใช้ชาหลงจิ่งของหมิงเฉียนต้อนรับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม พูดถึงเรื่องของขวัญที่ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์นำมาฝาก “…ก่อนหน้านี้เคยได้ยินมาว่าฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เก่งทั้งด้านตำราและวาดภาพ นึกไม่ถึงเลยว่านางจะทำพัดได้ด้วย พัดที่มอบให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ เกรงว่าแม้แต่เครื่องบรรณาการก็สู้ไม่ได้เสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะภาพวาดดอกปิ่นหยกใต้เงาแสงจันทร์ภาพนั้น เรื่องความคิดแปลกใหม่ก็ไม่พูดถึงแล้ว แต่ภาพที่วาดคือดอกปิ่นหยกที่กำลังเบ่งบานในยามค่ำคืน หากไม่ได้สำรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วน และอาศัยเพียงจินตนาการเท่านั้น เกรงว่าคงจะวาดออกมาเช่นนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน” พูดจบสืออีเหนียงก็หันไปมองฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ “ช่างมีความตั้งใจจริงๆ”
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เป็นบุตรสาวที่ตระกูลเอ็นดูเป็นอย่างมาก เวลาจะทำอะไรก็มีความมั่นใจไร้ซึ่งความกังวลใจใดๆ ไม่เหมือนเจินเจี่ยเอ๋อร์ มีอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็หวาดกลัวปานว่าฟ้าดินจะถล่มทลายอย่างไรอย่างนั้น สืออีเหนียงจึงสนับสนุนที่จะให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ไปมาหาสู่กับฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ เพื่อที่จะให้เจินเจี่ยเอ๋อร์มีสหายรุ่นราวคราวเดียวกันเป็นเพื่อน
แต่สิ่งที่นางกลัวที่สุดก็คือความไร้เดียงสาของทั้งคู่ พากันไปทำเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควร ถูกผู้อื่นที่คิดไม่ดีฉวยโอกาสเข้า จะพลอยทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง…
เมื่อนึกถึงตรงนี้ สืออีเหนียงก็ได้หันไปสังเกตฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์อย่างละเอียดถี่ถ้วน
คุณนายใหญ่สกุลหลินได้ยินสืออีเหนียงชื่นชมบุตรสาวของตน ก็รีบพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ถ่อมตนว่า “นางมักจะชอบก่อความวุ่นวายทำอะไรซี้ซั้วตามอำเภอใจอยู่เสมอ”
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์กลับทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
ภายใต้สายตาของสืออีเหนียง ใบหน้าของนางก็เริ่มแดงก่ำ
เจินเจี่ยเอ๋อร์นึกว่าฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เขินอาย จึงหันไปยิ้มให้นาง แววตาท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกที่ภาคภูมิใจไปด้วย
สืออีเหนียงมองเห็นทุกอย่างชัดเจน จากนั้นก็หันไปพูดกับคุณนายใหญ่สกุลหลินด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยว่า “จริงๆ แล้วที่มาวันนี้ก็เพราะมีเรื่องอยากจะขอร้องฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์”
คุณนายใหญ่สกุลหลินค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ จึงพูดขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าสวีฮูหยินมีอะไรจะใช้ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์หรือ”
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ข้าเห็นว่านางวาดดอกปิ่นหยกงดงามยิ่งนัก ก็เลยอยากให้ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ช่วยวาดอีกสักภาพ ข้าจะนำไปเป็นแบบลายปักผ้า อยากจะปักลายดอกปิ่นหยกสักผืนไว้ขึงฉากตั้งโต๊ะ” พูดจบ สืออีเหนียงก็หันไปยิ้มให้ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ “ไม่รู้ว่าฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์จะมีเวลาว่างหรือไม่”
คุณนายใหญ่สกุลหลินได้ยินแล้วก็ดีใจเป็นอย่างมาก
นางรู้เป็นอย่างดีว่าบุตรสาวของตนมีทักษะฝีมือในการวาดภาพ หากว่าสืออีเหนียงสามารถนำไปปักเป็นฉากตั้งบนโต๊ะได้…ไม่แน่ว่าอาจจะมีชื่อเสียงเรียงนามขึ้นมา
ไม่รอให้บุตรสาวได้ทันเอ่ยปาก ก็รีบพูดขึ้นว่า “วันๆ นางก็เอาแต่ทำอะไรไม่รู้ ยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมด จะไม่มีเวลาว่างได้อย่างไรกัน” จากนั้นก็ได้หันไปสั่งกับบุตรสาวของตนว่า “เจ้าก็วาดภาพตามพัดเล่มนั้นมาสักหนึ่งภาพ!”
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์กลับแสดงสีหน้าที่อึดอัดใจออกมา ใบหน้าแดงก่ำ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยพูดขึ้นว่า “ภาพ…ภาพวาดนั่นข้าไม่ได้เป็นคนวาดเองเจ้าค่ะ…”
คนในห้องต่างพากันอึ้งไปหมด
สีหน้าฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เต็มไปด้วยความลำบากใจ
“ข้า…ตอนแรกข้าตั้งใจจะตื่นมากลางดึก แต่ทว่าข้ากลับนอนจนเลยเวลาไป” นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ติดๆ ขัดๆ “ต่อมาก็มีฝนตกอยู่หลายระลอก…พี่จ้งหรานรู้เรื่องเข้าก็เลยช่วยข้าวาดไปหนึ่งภาพ…ตอนแรกข้าตั้งใจจะเลียนแบบแค่ภาพเดียว แต่โครงของพัดเหล่านั้นขันทีคนหนึ่งของฟังเจี่ยเอ๋อร์เป็นคนทำให้ ต้องขึ้นสีอยู่หลายรอบ หลายวันก่อนแดดค่อนข้างดี หากไม่รีบติดผ้าของพัดลงไปก็จะไม่ทันกาล ดังนั้นข้าเลย…” ตอนนี้สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความอับอาย “ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจ…”
คุณนายใหญ่สกุลหลินอึ้งจนตาค้างไปหมด
ตอนนี้สืออีเหนียงจึงค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หัวใจที่เป็นกังวลก็คลายลงในที่สุด
ในตอนแรกเจินเจี่ยเอ๋อร์เองก็อึ้งไปตามๆ กัน แต่นางก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว หันไปปลอบใจฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์แทน “นั่นเพราะเจ้านอนจนลืมเวลาต่างหาก! มิเช่นนั้นเจ้าคงจะวาดภาพดอกปิ่นหยกให้ข้าด้วยตนเองตั้งนานแล้ว!”
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจไปกันใหญ่ นางก้มหน้าอธิบายว่า “ภาพที่พี่จ้งหรานวาดนั้นดีเกินไป แม้แต่จะลอกเลียนแบบข้าก็ยังทำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ ดังนั้นข้าก็เลยคิดวิธีนี้ขึ้นมา…”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็รีบพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร รูปวาดบนพัดเหล่านั้นงดงามมาก อย่าว่าเจ้าเลย หากเปลี่ยนเป็นข้า ข้าเองก็ชอบมากเช่นกัน” พูดถึงตรงนี้ นางก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมา กลัวสืออีเหนียงจะรู้สึกว่าฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์มีจิตใจที่ไม่ซื่อสัตย์แล้วจะถือโทษโกรธเคือง จึงรีบหันไปหาสืออีเหนียงทันควัน จ้องมองนางด้วยแววตาที่อ้อนวอน “ท่านแม่เองก็ชอบมากเช่นกัน!” ราวกับว่ากำลังร้องขอวิงวอนแทนฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์อย่างไรอย่างนั้น
อย่าว่าแต่เจินเจี่ยเอ๋อร์จะช่วยกู้สถานการณ์ให้ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เลย ถึงแม้ว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์จะไม่ช่วยฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ สืออีเหนียงก็ช่วยฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์กู้สถานการณ์อยู่ดี
“ข้าเองก็รู้สึกว่าพัดเล่มนั้นวาดได้งดงามเป็นอย่างมาก ตั้งใจจะขอพัดเล่มนั้นกับเจินเจี่ยเอ๋อร์เสียด้วยซ้ำ!”
เมื่อเจินเจี่ยเอ๋อร์เห็นว่าสืออีเหนียงไม่มีท่าทีจะตำหนิติติง จึงถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ค่อยๆ ยิ้มขึ้น
ส่วนฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เมื่อเห็นว่าสืออีเหนียงไม่ได้สืบสาวราวเรื่อง อีกทั้งยังปลอบโยนนาง ความตื้นตันใจจึงค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนดวงตา จากนั้นก็ได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ติดๆ ขัดๆ ว่า “เช่นนั้นท่านอาสะใภ้สวีรอข้าสักสองสามวัน ข้าจะวาดภาพดอกปิ่นหยก ถึงแม้ว่าจะวาดได้ไม่ดีเท่าพี่จ้งหราน แต่ก็ไม่ได้แย่เท่าไรนัก”
เพราะนางเองไม่ค่อยถนัดวาดดอกปิ่นหยก แต่พอนึกถึงความดีของเจินเจี่ยเอ๋อร์ จึงคิดอยากจะทดแทนกระมัง!
สืออีเหนียงจะให้นางทำในสิ่งที่ยากลำบากได้อย่างไรกัน
นึกถึงเจินเจี่ยเอ๋อร์เคยเล่าว่าที่ลานสวนของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ได้ปลูกดอกไห่ถังไว้ นางจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ภาพวาดดอกปิ่นหยกบนพัดงดงามน่าหลงใหล เป็นเพราะว่ามันแปลกใหม่ แต่หากจะพูดถึงทักษะการวาดภาพ พัดเล่มอื่นก็ไม่ได้ด้อยกว่าเลย เช่นนั้น เจ้าวาดดอกไห่ถังให้ข้าดีหรือไม่ ตัวข้าเองชอบดอกไห่ถังที่สุด”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็รีบพยักหน้าทันควัน
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจไปกันใหญ่ นางจึงพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ในเมื่อตอนแรกข้าได้มอบภาพวาดดอกปิ่นหยกให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ ข้าก็ควรจะวาดดอกปิ่นหยกดีกว่ากระมังเจ้าคะ!”
สืออีเหนียงจึงโน้มน้าวนางอยู่ครู่หนึ่ง คุณนายใหญ่สกุลหลินที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ จู่ๆ ก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ให้นางวาดดอกปิ่นหยกเถิด! ใครใช้ให้นางเกียจคร้านกันเล่า” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “พัดนั่นก็ต้องทำใหม่ชดเชยให้เจินเจี่ยเอ๋อร์”
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ขานรับเสียงเบา
คุณนายใหญ่สกุลหลินจึงหันไปยิ้มพร้อมกับเชื้อเชิญสืออีเหนียงว่า “ดื่มชา ดื่มชา ข้าเตรียมชาหลงจิ่งของหมิงเฉียนไว้” ตัดบทสนทนานี้ไป
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับยกฝาถ้วยชาขึ้น แต่กลับเห็นว่าคุณนายใหญ่สกุลหลินกำลังจ้องมองฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ราวกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่อย่างไรอย่างนั้น
สืออีเหนียงจึงแอบพยักหน้าเบาๆ
ไม่แปลกใจเลยที่คุณนายใหญ่สกุลหลินเป็นถึงสะใภ้ที่ดูแลควบคุมจวนเวยเป่ยโหวที่สูงศักดิ์
นางคงจะรู้และเข้าใจทุกอย่างเป็นอย่างดี!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คำพูดบางคำพูดก็ควรพูดออกมาแต่เนิ่นๆ เสียยังดีกว่า มิเช่นนั้น เกรงว่าคุณนายใหญ่สกุลหลินอาจจะนึกว่าตนมีความแค้นเคือง
สืออีเหนียงจิบชาไปหนึ่งคำ จากนั้นก็หันไปยิ้มพร้อมพูดกับคุณนายใหญ่สกุลหลินว่า “ผู้ใหญ่อย่างเราพูดคุยกัน พวกนางจะพากันระมัดระวังตัวจนอึดอัดเกินไป ปล่อยให้พวกนางไปคุยกันเองดีกว่า!”
ในตอนแรกฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เองก็ลำบากใจที่จะพูด แต่พอได้ยินสืออีเหนียงพูดขึ้นเช่นนี้ นางก็ลุกขึ้นทันควัน พลางจูงมือของเจินเจี่ยเอ๋อร์กำลังจะพากันถอยออกไป
คุณนายใหญ่สกุลหลินกลับยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อาสะใภ้สวีของเจ้าไม่ได้มาบ่อยๆ เจ้าจะไม่อยู่ปรนนิบัติรับใช้หรือ แล้วนี่จะหนีไปไหนอีก” จากนั้นก็ได้สั่งกับนางว่า “เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่ห้องชั้นในของข้าก็แล้วกัน!” ต้องการให้พวกนางอยู่ในสายตา และไม่ยอมปล่อยพวกนางไป
เมื่อฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินก็ยู่ปากทันที
สีหน้าและแววตาของคุณนายใหญ่สกุลหลินพลันเคร่งขรึมขึ้นมา
สืออีเหนียงจึงรู้สึกแน่ใจมากกว่าเดิม
ในที่สุด ความกังวลใจที่มีก็สลายหายไปจนหมด
มีคุณนายใหญ่สกุลหลินคอยดูแลเอาใจใส่เช่นนี้ ก็คงจะไม่กล้าเกเรอย่างแน่นอน
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ไม่กล้าที่จะฝ่าฝืนคำสั่งของมารดา นางจึงย่อตัวทำความเคารพสืออีเหนียง จากนั้นก็ไปยังห้องชั้นในพร้อมเจินเจี่ยเอ๋อร์
สืออีเหนียงก็ได้พูดกับคุณนายใหญ่สกุลหลินเสียงเบาว่า “ฉากตั้งโต๊ะที่ข้าพูดถึงเมื่อครู่นี้ ข้าตั้งใจจะปักไว้ให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ นางจะแต่งงานออกเรือนเป็นฝั่งเป็นฝาในอีกสองสามปีที่จะถึงนี้แล้ว ข้าเลยคิดว่าควรจะมอบสิ่งของเพื่อให้นางเก็บไว้เป็นที่ระลึกเสียหน่อย พอดีกับที่ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์วาดภาพดอกปิ่นหยกบนพัดเล่นนั้น และเจินเจี่ยเอ๋อร์เองก็ชอบดอกปิ่นหยกมาก ก็เลยมีความตั้งใจนี้ขึ้นมา นึกไม่ถึงเลยว่าจะทำฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ลำบากใจแล้ว” พูดจบนางก็ยิ้มขึ้นมาบางๆ
รอยยิ้มของนางงดงาม ไร้ซึ่งสิ่งเจือปนใดๆ ทั้งสิ้น
คุณนายใหญ่สกุลหลินสูดลมหายใจเข้าลึก
ในตอนแรกตนเป็นคนไปเจรจาสู่ขอ ต่อมาฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ก็ได้มอบพัดไปให้ ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็เท่ากับว่ามีเจตนานี้
นึกถึงนิสัยที่บุ่มบ่ามของหลานชายตนขึ้นมา รู้สึกตื้นตันใจที่สืออีเหนียงไว้หน้าและช่วยคลี่คลายสถานการณ์นี้
“นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ข้าคิดอยากจะให้นางแต่งงานไปที่ซังโจว” คุณนายใหญ่สกุลหลินทอดถอนใจ “เด็กคนนี้ จะบอกว่าโง่เขลา นางกลับเป็นคนหัวไวฝึกฝนนิดเดียวก็เป็นไปเสียทุกอย่าง ครั้นจะบอกว่านางฉลาดหลักแหลม เวลาทำอะไรกลับไม่รู้จักคิดหน้าคิดหลัง ข้าจึงทำได้แค่ให้คนจากสกุลเดิมดูแลแทน เพราะมีแค่คนของเราเองเท่านั้นที่จะสามารถดูแลและไม่ถือสาความแก่นแก้วของนาง”
ถือเป็นการกล่าวขอโทษต่อสืออีเหนียง
สืออีเหนียงจึงรีบพูดขึ้นว่า “นางอายุยังน้อย ก็เหมือนตอนเรายังเด็ก ที่มักจะใจร้อนสะเพร่า แต่พอเวลาผ่านไปสักหน่อยก็จะดีขึ้นเอง!”
คุณนายใหญ่สกุลหลินหันไปมองใบหน้าที่สะอาดหมดจดราวกับดอกกล้วยไม้หยกก็ไม่ปาน จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าเองก็โตกว่าฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เพียงแค่ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง!”
สืออีเหนียงเองลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท!
ใบหน้าของนางค่อยๆ แดงระเรื่อ เผยรอยยิ้มออกมาอย่างช้าๆ
คุณนายใหญ่สกุลหลินจึงยกแขนเสื้อขึ้นมาบังพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ
บรรยากาศในห้องจึงผ่อนคลายไปมาก
จากนั้นก็มีสาวใช้น้อยเรียนผ่านม่านเข้ามาว่า “คุณนายใหญ่ คุณชายน้อยมาเจ้าค่ะ!”
คุณนายใหญ่สกุลหลินชะงักไปชั่วครู่
หรือว่าคุณชายน้อยผู้นี้จะเป็นคนเดียวกันกับ ‘พี่จ้งหราน’ ที่ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์พูดถึง
สืออีเหนียงแอบรู้สึกแปลกใจเงียบๆ
นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือว่ารู้แต่แรกแล้วว่าตนและเจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นแขกอยู่ที่นี่ก็เลยตั้งใจมาพบ
สืออีเหนียงจึงลุกขึ้นพร้อมกับพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อมีแขกมา เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อนก็แล้วกัน!”
คุณนายใหญ่สกุลหลินเองก็ลุกขึ้นตาม
“ครั้งนี้น้องชายคนเล็กของข้าได้พาลูกหลานหลายคนของตระกูลมาที่เมืองเยี่ยนจิงด้วย หนึ่งคือตั้งใจจะมาเจรจาเรื่องงานแต่งงานของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ สองคืออยากจะมาดูลาดเลาเมืองเยี่ยนจิงเสียหน่อย เพื่อตระเตรียมตัวสำหรับการสอบศิลปะการต่อสู้อู่จวี่ในปีหน้า และสามก็คือตั้งใจที่จะพาเด็กๆ ออกมาเปิดหูเปิดตา ตอนที่พวกเขามาสอบจะได้พอรู้ที่รู้ทางบ้าง จ้งหรานเป็นคนที่ฉลาดปราดเปรียว การกระทำสุขุมและหนักแน่น และยังไม่ต้องเข้าร่วมการสอบศิลปะการต่อสู้อู่จวี่ในปีหน้าอีกด้วย ด้วยเหตุนี้บิดามารดาของเขาเลยสั่งให้เขาช่วยเหลือน้องชายคนเล็กของเขาโดยเฉพาะ ครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่ามาหาข้าเรื่องอะไร”
เมื่อพูดเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเซ่าจ้งหรานผู้นั้นถึงแม้ว่าจะมีเจตนาก็จะกลายเป็นไม่มีเจตนาไปโดยปริยาย
คุณนายใหญ่สกุลหลินแสดงให้เห็นว่ากลัวนางจะเข้าใจผิดอย่างชัดเจน
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ “คงจะมีเรื่องเร่งด่วนกระมัง” ยอมรับคำอธิบายของคุณนายใหญ่สกุลหลิน
คุณนายใหญ่สกุลหลินจึงพยักหน้าตอบเบาๆ
สืออีเหนียงก็ได้ถอยไปที่ห้องชั้นใน
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์และเจินเจี่ยเอ๋อร์นั่งเคียงไหล่อยู่บนเตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่าง กำลังพูดซุบซิบเสียงเบากันอยู่สองคน
เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ก็หน้าแดงก่ำ จากนั้นก็ทักทายว่า “ท่านอาสะใภ้สวี”
สืออีเหนียงเห็นว่าหน้าต่างของห้องชั้นในนั้นใช้เป็นกระจกล้วน นางจึงหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงเตาพลางพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “พี่ชายลูกพี่ลูกน้องของเจ้ามา ข้าก็เลยหลบมาในห้องชั้นใน”