“เสด็จพ่อ! พระองค์ตรัสสิ่งใด!”
หลังจากเสียงฟ้าผ่าผ่านไป เสียงร้องด้วยความตกใจขององค์ชายห้าดังขึ้น
ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ให้เปิดม่านขึ้น เมื่อเห็นคนเหล่านั้น สีหน้าขององค์ชายห้าก็เปลี่ยนไป เมื่อได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ เขาก็กระโดดขึ้นมา
องค์รัชทายาทตกตะลึงด้วยความเหลือเชื่อ องค์ชายสองและองค์ชายสี่สงสัยว่าตนเองได้ยินผิด โจวเสวียนและองค์ชายสามสีหน้าราบเรียบ แม่ทัพหน้ากากเหล็กยังคงมองไม่เห็นสีหน้าเหมือนเคย
“เสด็จพ่อ พี่สามถูกลอบโจมตี พระองค์สงสารเขา แต่พระองค์ก็ไม่อาจโทษทุกสิ่งที่กระหม่อมไม่ได้ทำ!”
“หากพระองค์โกรธที่กระหม่อมไม่เชื่อฟัง พระองค์ลงโทษกระหม่อมเหมือนที่ทำกับโจวเสวียนก็ได้”
องค์ชายห้ายืนตะโกนอย่างโกรธเคืองภายในพระตำหนัก
“กระหม่อมจะจ้างวานให้โจรลอบโจมตีพี่สามได้อย่างไร เสด็จพ่อช่างปรักปรำกระหม่อมเหลือเกิน”
ฮ่องเต้พูดขัดเขา “ข้าไม่ได้ปรักปรำเจ้า แต่ข้าดูถูกเจ้าเสมอ เจ้าย่อมจ้างวานโจรลอบโจมตีได้ เจ้าทั้งมีเงิน ทั้งมีกำลังคน”
สีหน้าขององค์ชายห้าดำทะมึน เกร็งคอตรงต้องการโต้แย้ง แต่ฮ่องเต้กำชับคนที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นจึงมีขันทีผู้หนึ่งถือสมุดหนากองหนึ่งเดินขึ้นมา
“องค์ชายห้า” เขาพูด “สิ่งนี้คือบันทึกกิจการของท่านตั้งแต่เมืองซีจิงจนถึงเมืองจางจิงในเวลาสิบปีนี้ มีที่ดินมีร้านค้ามีหอนางโลมและการซื้อขายข้าวเกลือ”
สีหน้าขององค์ชายห้าซีดเผือด ดี เสด็จพ่อจ้องมองเขาอยู่จริงด้วย แน่นอน เรื่องนี้ก็ไม่ประหลาด การหาเงินไม่อาจเงียบเชียบไร้เสียงอยู่แล้ว
“ใช่” เขากัดฟันพูด “แต่ว่าเสด็จพ่อ องค์ชายท่านไหนไม่ทำมาค้าขาย พี่สองพี่สี่…”
องค์ชายสองและองค์ชายสี่ต่างคุกเข่าลง
องค์ชายสองพูดอย่างหวาดกลัว “กิจการของกระหม่อมล้วนเป็นของตระกูลท่านลุง กระหม่อมแค่มีส่วนร่วมสนุก อยากจะหาเงินมาปรนนิบัติเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เหลือบมองเขา เอ่ยเย้ยหยัน “เจ้าร่วมสนุกอันใด เจ้าคิดว่าเงินของพวกเจ้าเหล่านั้นสามารถแลกมาซึ่งเงินสิบเท่าร้อยเท่าหรือ สมองของพวกเจ้า ความรู้ของพวกเจ้าสามารถทำให้กิจการรุ่งเรืองได้หรือ แต่เป็นเพราะว่าฐานะองค์ชายของพวกเจ้า อำนาจของตระกูลสวรรค์ต่างหาก! ยังไม่ต้องพูดถึง ตระกูลลุงของเจ้ากลายเป็นเศรษฐีแคว้นหลู่หยางได้อย่างไร เจ้าไม่รู้ แต่ลุงของเจ้ารู้ดีอย่างมาก!”
องค์ชายสองโน้มตัวพูดเสียงดัง “กระหม่อมมีความผิดพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อองค์ชายสี่เห็นเช่นนี้ เขาไม่พูดสิ่งใดทั้งสิ้น เพียงแต่ยอมรับความผิดตาม
องค์ชายห้ากลับไม่ตะโกน ทำท่าทางราวกับปล่อยเลยตามเลย เอ่ย “เสด็จพ่อ ในเมื่อพระองค์รู้ทั้งหมด พระองค์ก็ย่อมรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เชื้อสายราชวงศ์และบุตรหลานตระกูลขุนนางทั้งเมืองหลวงต่างเป็นเช่นนี้ กระหม่อมเพียงแค่รู้ว่าพระคลังลำบาก เสด็จพ่อ พระองค์ประหยัดอดออม กระหม่อมไม่อยากขอเงินจากพระองค์ แต่กระหม่อมก็ไม่อยากใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก หากเสด็จพ่อขัดตา กระหม่อมแค่ไม่ทำอีก เงินเหล่านี้กระหม่อมก็ไม่เอา”
ฮ่องเต้ไม่ได้ตำหนิอีก หากแต่หัวเราะเย้ยหยัน “สมกับที่ได้มาง่ายดาย ไม่สนใจแม้แต่น้อย หลายปีนี้เจ้าไม่ได้อยู่อย่างยากลำบากแม้แต่น้อย เจ้าใช้ข้ออ้างจากการค้าขายเลี้ยงบ่าวให้แข็งแกร่ง ก่อนจะให้คนเหล่านี้พเนจรไปทั่ว เจ้าก็ฉลาด ไม่คบหาบุตรหลานชนชั้นสูง หากแต่คบหาคนพเนจรโดยเฉพาะ เลี้ยงมานานเพียงนี้ เพราะว่าเจ้าต้องการใช้คนเหล่านี้มาทำร้ายพี่ชายของเจ้า!”
เขาชี้ไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ทางนั้น
องค์ชายห้าเพียงแค่ตะโกน “กระหม่อมไม่รู้จักคนเหล่านี้ ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาถูกผู้ใดจ้างวานมาใส่ร้ายกระหม่อม”
ฮ่องเต้เย้ยหยัน “ได้ เจ้าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาเสียจริง…นำสิ่งนั้นขึ้นมา”
จากนั้นจึงมีขันทีผู้หนึ่งถือตราประทับสองอันยืนต่อหน้าองค์ชายห้า “องค์ชาย สิ่งนี้คือตราประทับของท่าน ส่วนสิ่งนี้เป็นตราทหารของท่านโหวโจว”
องค์ชายห้าเหลือบมอง ถลึงตาพูด “แล้วอย่างไร”
“พวกเขาถือตราประทับของเจ้า หลอกเอาตราทหารไปจากรองแม่ทัพของโจวเสวียน” ฮ่องเต้พูด “จากนั้นถือตราทหารเข้าไปในค่ายทหารขององค์ชายสามในฐานะทหารสอดแนม ซึ่งเป็นสาเหตุที่โจรเหล่านี้สามารถลอบโจมตีได้อย่างเงียบเชียบและแม่นยำเพียงนี้”
องค์ชายห้าราวกับโกรธจนหัวเราะ เขาตะโกนเสียงดัง “เสด็จพ่อ” ชี้ไปยังโจวเสวียนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “พระองค์ต้องการแก้ตัวให้โจวเสวียน จึงโทษทุกสิ่งมาที่กระหม่อม กระหม่อมติดตามโจวเสวียนอยู่ตลอด เหตุใดพระองค์จึงคิดว่ากระหม่อมจ้างวานมือสังหาร ไม่ใช่โจวเสวียน”
โจวเสวียนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นหันไปมองเขา “องค์ชายห้า นอกจากท่านจะอยู่กับข้า หลังจากออกเดินทาง มีคนนับร้อยติดตามอยู่ซ้ายขวาของกองทัพ คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนของท่าน”
องค์ชายห้าสีหน้าแข็งกร้าว ตะโกน “โจวเสวียน เจ้าอย่าพูดเหลวไหล ระหว่างทางมีคนมากมาย เหตุใดจึงเป็นคนของข้า”
โจวเสวียนพูดเสียงเรียบ “องค์ชาย ระหว่างทางเป็นราษฎรทั่วไป หรือว่าผู้ติดตามที่มีจุดประสงค์อื่น หากข้าแยกแยะไม่ได้ หลายปีนี้ข้าคงอยู่ในค่ายทหารเสียเปล่า ข้าแสร้งทำเป็นไม่รู้ เพราะข้าคิดว่าท่านต้องการอาศัยจังหวะออกมาค้าขาย ไม่คิดว่าท่านจะทำการค้าขายแบบนี้”
เขาพูดพลางคุกเข่าก้มกราบ
“ฝ่าบาท กระหม่อมรู้ว่าไม่ควร แต่ไม่พูด ทำให้เกิดเรื่องใหญ่ในวันนี้ กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ไม่สนใจเขา องค์ชายห้าต้องการพูดบางสิ่ง แต่แม่ทัพหน้ากากเหล็กที่เงียบเป็นเวลานานพูดขึ้น “องค์ชายห้า ท่านโหวโจวชี้ตัวของศพโจรเหล่านั้นแล้ว เขาชี้ว่าภายในนั้นมีคนที่ติดตามท่านในเวลานั้นอยู่ไม่น้อย”
องค์ชายห้าโกรธจนกระทืบเท้า “แม้จะเป็นคนที่ติดตามกองทัพ แต่เหตุใดจึงเป็นคนของข้า มีหลักฐานใด”
ฮ่องเต้มององค์ชายห้าที่ร้อนรน สีหน้าทั้งเศร้าโศกทั้งเย้ยหยัน “ฉู่มู่หยง เจ้าคิดว่าเจ้าไม่ไปมาหาสู่กับคนเหล่านี้จะไม่ทิ้งหลักฐานหรือ เจ้าคิดว่าเจ้าในฐานะองค์ชาย เจ้าจะทำทุกสิ่งได้ สามารถทำสิ่งใดในพระราชวังแห่งนี้ได้หรือ เจ้าอย่าลืม แผ่นดินนี้เป็นของข้า พระราชวังนี้เป็นของข้า!”
ภายนอกพระตำหนักมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น คนอีกกลุ่มถูกจับเข้ามา ครานี้ไม่ใช่สามัญชน หากแต่เป็นขันทีและขุนนางชั้นผู้น้อยที่สวมชุดราชการ อีกทั้งยังมีทหารบางส่วน…
คนที่อยู่ในพระตำหนักต่างคุ้นเคยกับคนบางส่วนในนั้น องค์ชายห้ายิ่งคุ้นเคย คนเหล่านั้นล้วนเป็นขันทีและองครักษ์ใกล้ตัวของเขา
สีหน้าของเขาซีดเผือดในที่สุด เขาขยับปากแต่ไม่ได้พูด เพียงแค่กัดเอาไว้อย่างแรง
“คนเหล่านี้ยอมสารภาพแล้ว” ฮ่องเต้พูด “เจ้าจำโจรเหล่านั้นไม่ได้ แต่คนด้านล่างของเจ้า ข่าวส่งทอดไปทีละชั้น ย่อมต้องผ่านคน เรื่องที่เจ้าทำเหล่านี้ ไม่มีทางไม่ทิ้งร่องรอย ฉู่มู่หยง เรื่องเมื่อทำลงไปแล้วย่อมทิ้งร่องรอย ไม่มีผู้ใดที่สามารถรอดพ้นไปได้!”
ฮ่องเต้ตะโกนคำนี้ออกมา ร่างขององค์รัชทายาทที่คุกเข่าราวกับไร้วิญญาณอยู่บนพื้นสั่นเทาเล็กน้อย ราวกับรู้สึกได้ว่าฮ่องเต้เหลือบมองเขาทีหนึ่ง สายตาของเขามองไป เห็นว่าฮ่องเต้ไม่ได้มองเขา เพียงแต่จ้องมององค์ชายห้า
มุมปากขององค์ชายห้าขยับ เอ่ย “พยานก็แค่ปากใบเดียว” เสียงของเขาแหบพร่า ราวกับปนไปด้วยเสียงหัวเราะ หัวเราะอย่างเศร้าโศกและบ้าคลั่ง “เสด็จพ่อ เหตุใดกระหม่อมต้องฆ่าพี่สาม ฆ่าเขามีประโยชน์อันใดต่อกระหม่อม ไม่มีเหตุผล”
ฮ่องเต้มองเขา “อาจเพราะว่า คราก่อนในงานเลี้ยงของโจวเสวียน เจ้าและฮองเฮาฆ่าเขาไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องการฆ่าเขาอีกครั้ง”
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นภายในพระตำหนักอีกครั้ง ครานี้ผ่าจนสีหน้าของทุกคนตกตะลึง แม้แต่องค์ชายสามและโจวเสวียนยังแสดงออกถึงความเหลือเชื่อ
องค์ชายห้าถอยหลังไปหนึ่งก้าว ราวกับนึกบางอย่างขึ้นได้ มองไปยังด้านนอกพระตำหนัก
เสด็จแม่!
…
เสด็จแม่?
องค์หญิงจินเหยายืนอยู่ด้านนอกพระตำหนักของฮองเฮา นางถูกองครักษ์หลวงรั้งไว้อีกครั้ง หากเกิดเรื่องใดขึ้น ทางด้านเสด็จพ่อมีองครักษ์หลวงรายล้อม ทางด้านเสด็จแม่ก็เช่นกัน
แตกต่างจากความเงียบของทางฮ่องเต้ ภายในพระตำหนักของฮองเฮามีเสียงตะโกนด้วยความโกรธดังขึ้น
“พวกเจ้าบังอาจ…พวกเจ้ากล้าแตะต้องข้า…ข้าเป็นฮองเฮา!”