ภายในพระตำหนักเงียบสงัด จนกระทั่งมีขันทีอีกสองคนถูกโยนลงพื้น
“มู่หยง รู้จักสองคนนี้หรือไม่” ฮ่องเต้นั่งถามอยู่บนบัลลังก์มังกร
ถึงแม้องค์ชายห้ายังยืนอยู่ แต่ร่างกายของเขาแข็งทื่อ มือที่ปล่อยอยู่ข้างลำตัวกำเข้าหากันแน่น “เสด็จพ่อ กระหม่อมรู้จัก แต่เรื่องที่พี่สามถูกวางยาพิษ ไม่เกี่ยวกับกระหม่อม…”
“เอาเถิด เจ้าไม่ต้องแก้ตัวแล้ว” ฮ่องเต้พูดขัดเขา “พวกเขาวางแผนได้อย่างแนบเนียน ทั้งกินทั้งดื่ม ไม่ว่าซิวหยงแตะต้องสิ่งใดเข้าไปล้วนเสียชีวิตได้ทันที อีกทั้งเพียงแต่แตะต้องหนึ่งสิ่ง อีกสิ่งยังสามารถถูกปิดซ่อน เก็บไว้ใช้คราหน้าได้อีก”
ฮ่องเต้พูดแล้วหัวเราะ
“บังอาจยิ่งนัก พวกเจ้าจึงปล่อยคนเอาไว้เช่นนี้ ไม่คิดจะกำจัดร่องรอยแม้แต่น้อย ไม่เกรงกลัวที่จะถูกจับได้แต่อย่างใด”
องค์ชายห้ามองสีหน้าที่เงียบสงบของฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร มีเพียงสมองที่อื้ออึง วันนี้เกิดเรื่องมากมาย หากเรื่องการลอบโจมตีองค์ชายสามถูกสืบออกมาก็แล้วไป แต่เหตุใดเรื่องก่อนหน้านี้ก็ถูกพลิกออกมาด้วย
องค์ชายห้าตะโกน “กระหม่อมไม่ได้ทำ! เสด็จพ่อ ขนมแปะก๊วยไม่เกี่ยวกับกระหม่อม!”
“ยังบังอาจแก้ตัว!” ฮ่องเต้โกรธจัด ชี้ไปยังเหล่าขันทีที่คุกเข่าอยู่ภายในตำหนัก “เวลานั้นซิวหยงเฉลียว กินเข้าไปก็รู้ถึงความผิดปกติ ก่อนสลบไปยังไม่ลืมเทน้ำชาลงบนตัว มอบให้ข้าหลังจากตื่นมา จึงสืบได้ว่าเป็นพิษชนิดใด…”
ฮ่องเต้ยืนขึ้น สีหน้าโกรธมาก
“พวกเจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรือหูหนวกไม่เห็นสิ่งใดจริงหรือ พวกเจ้าคิดว่าข้าสืบไม่ได้จริงหรือ”
ฮ่องเต้ส่ายหน้า สีหน้าเศร้าโศก
“ไม่ พวกเจ้าไม่ได้คิดว่าข้าสืบไม่ได้ แต่เพราะว่าข้าไม่เคยลงโทษพวกเจ้า ปล่อยพวกเจ้าไปทุกครั้ง ทำให้พวกเจ้าบังอาจถึงเพียงนี้ ทำให้พวกเจ้ามีแผนการแล้วแผนการเล่า”
องค์ชายห้าต้องการโต้แย้งด้วยสมองที่มึนงง ฮ่องเต้ชี้เขาพลางตะโกนเรียกคน
“เจ้าไม่ต้องแก้ตัวกับข้า เจ้าและเสด็จแม่ของเจ้าทำสิ่งใดไว้ คนมากมายเช่นนี้เป็นพยานอย่างชัดเจนแล้ว”
องครักษ์กลุ่มหนึ่งหลั่งไหลเข้ามา ล้อมรอบองค์ชายห้าเอาไว้
“ก่อนหน้านี้เจ้าเรียกร้องขอจวนของตนเอง เวลานี้จวนองค์ชายของเจ้าสร้างเสร็จแล้ว” เสียงของฮ่องเต้ราบเรียบ “ต่อจากนี้เจ้าไปอยู่ในจวนเถิด เรียนหนังสือพัฒนาจิตใจของตนเอง”
คำพูดนี้ฟังดูเรียบง่าย แต่ความหมายคือต้องการกักบริเวณเขา ในที่สุดองค์ชายห้าก็เกรงกลัวขึ้นมา หลังจากถูกกักบริเวณ เขาย่อมไม่มีสิ่งใดอีก อย่าคิดจะช่วยเหลือองค์รัชทายาท เขาจะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์เหมือนองค์ชายหก…ทั้งที่เขาร่างกายแข็งแรง เขาจะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปตลอดชีวิตได้อย่างไร!
“เสด็จพ่อ…” เขาคุกเข่าตะโกนเสียงดัง “เสด็จพ่อ พระองค์ฟังกระหม่อมอธิบาย…เสด็จพ่อยกโทษให้กระหม่อมครั้งหนึ่ง…เสด็จพ่อ กระหม่อมเป็นบุตรของพระองค์เช่นกัน!”
ฮ่องเต้มองเขาอย่างเย็นชาดุจดั่งมองคนแปลกหน้า “ข้ามีบุตรมากมาย ขาดเจ้าแค่คนเดียว เจ้าที่ทำร้ายพี่ชายดุจดั่งสัตว์เดรัจฉานเช่นนี้ ไม่เอาก็ดี”
องค์ชายห้ายังต้องการตะโกน เหล่าองครักษ์เดินขึ้นหน้าปิดปากของเขาเอาไว้ ก่อนจะลากออกไปอย่างคล่องแคล่ว
ฮ่องเต้มองเหล่าขันทีที่คุกเข่าอยู่ในพระตำหนัก “จัดการคนพวกนี้ด้วย ข้าไม่อยากเห็นสิ่งสกปรกเหล่านี้อีก”
หลังจากเสียงร่ำไห้อ้อนวอนผ่านไป พยานต่างๆ ภายในตำหนักต่างถูกลากออกไป ภายในพระตำหนักกลับคืนสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง จนกระทั่งมีเสียงฟันกระทบกันดังขึ้น
สายตาของทุกคนต่างหันไปมองอย่างช้าๆ เห็นองค์ชายสี่โน้มตัวอยู่บนพื้น
องค์ชายสี่ร่างกายสั่นเทา เขามุดหัวอยู่ระหว่างแขน คนทั้งคนหมอบอยู่บนพื้น พลางร้องไห้พลางกัดฟันแน่น
ราวกับสัมผัสถึงสายตาของฮ่องเต้ที่จับจ้องมา องค์ชายสี่ส่งเสียงอู้อี้ออกมา “เสด็จพ่อ กระหม่อมไม่รู้เรื่อง กระหม่อมเพียงแค่หาเงินกับน้องห้าเท่านั้น ไม่ได้มากมายนัก…”
ฮ่องเต้ราวกับโกรธจนหัวเราะออกมา มองบุตรที่อยู่บนพื้น องค์ชายสี่กำลังร้องไห้ องค์ชายสองเหม่อลอย องค์รัชทายาทกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ ถึงแม้องค์ชายสามจะดีหน่อย แต่สีหน้าซีดจนน่ากลัว โจวเสวียนไม่รู้คิดสิ่งใดอยู่ แม่ทัพหน้ากากเหล็ก…หน้ากากปิดบังทุกอย่างเอาไว้
“วันนี้ให้พวกเจ้ามา เพราะอยากให้ดูให้ชัดฟังให้ชัด” ฮ่องเต้พูด “รู้ว่าพี่น้องของเจ้าทำอันใด จะได้ไม่ต้องคาดเดา”
เหล่าองค์ชายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นผงะ ไม่รู้ว่าได้ยินหรือไม่ พวกเขาตอบรับอย่างเหม่อลอย “กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตรัส “มู่หยงถูกกักบริเวณ ส่วนฮองเฮาข้าจะไม่ปลดนาง เวลานี้บ้านเมืองเพิ่งสงบ แต่ข้าจะกักบริเวณนางเอาไว้ในตำหนักเย็น”
เหล่าองค์ชายตอบรับพร้อมเพรียงอีกครั้ง
ฮ่องเต้หมดเรี่ยวแรง เขาโบกมืออย่างเหนื่อยล้า “พวกเจ้าถอยออกไปเถิด”
ทุกคนต่างตอบรับ ลุกขึ้นอย่างโซซัดโซเซ เดินออกไปด้านนอกอย่างไร้วิญญาณ มีเพียงองค์รัชทายาทและองค์ชายสามที่คุกเข่าไม่ขยับ
“จิ่นหยง เจ้าลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้ตรัส “ข้ารู้ว่าเจ้ามีสิ่งที่ต้องการพูดมาก แต่วันนี้พอก่อน เจ้าลองกลับไปคิดเองก่อนเถิด”
องค์รัชทายาทตอบรับ ลุกขึ้นเดินออกไปอย่างช้าๆ
ฮ่องเต้มองไปทางองค์ชายสาม
องค์ชายสามเงยหน้ามองเขา พูดขึ้นก่อน “เสด็จพ่อ พระองค์เป็นอันใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ที่ยืนตัวตรง สีหน้าเย็นชาในเดิมที เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ร่างกายของเขาผ่อนคลายลงในทันใด ความเศร้าโศกในดวงตาหลั่งไหลออกมากระจายไปทั่วใบหน้า ล้วนเป็นบุตรของเขา บุตรของเขาทำร้ายกันเอง ในฐานะบิดา หัวใจเจ็บปวดอย่างมาก…
องค์ชายสามโน้มตัวสะอื้น “เสด็จพ่อ ไม่ใช่ความผิดของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ มังกรมีบุตรเก้าตัวย่อมมีความแตกต่างกัน บุตรแต่ละคนเติบโตมาอย่างไร ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาตัดสินใจเอง เสด็จพ่อ พระองค์อย่าโทษตัวเองเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยกมือปิดหน้า น้ำเสียงเศร้าโศก “ได้ ได้ ข้ารู้ ซิวหยง เจ้ารีบลุกขึ้น ไปพักผ่อนเถิด”
องค์ชายสามลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอกอย่างช้าๆ บนใบหน้ามีน้ำตาหลั่งไหลลงมา
ภายในพระตำหนักขององค์ชายสาม เหล่าขันทีต่างกังวล ถึงแม้พระตำหนักของฮ่องเต้และฮองเฮาต่างควบคุมอย่างเข้มงวด ทุกคนไม่อาจรับรู้ได้ แต่ไม่ต้องดูทุกคนก็ต่างรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ได้ยินว่าองค์ชายห้าถูกลากออกไป ขันทีและนางในภายในพระตำหนักขององค์ชายห้าก็ถูกจับไป…
เวลานี้เห็นองค์ชายสามกลับมา ทุกคนต่างโล่งใจ อย่างน้อยองค์ชายสามไม่ได้ถูกลากไป ในฐานะบ่าวขององค์ชายสาม พวกเขาย่อมปลอดภัย
เสี่ยวชวีและหนิงหนิงต่างยืนอยู่ด้านหน้าประตูของพระตำหนัก ทั้งสองคนเรียกองค์ชายสามอย่างพร้อมเพรียง ยังไม่ทันได้เดินเข้าใกล้ องค์ชายสามพูดขึ้น “คนอื่นถอยไป เสี่ยวชวีเข้ามา”
เหล่าขันทีและนางในต่างถอยออกไป หนิงหนิงยืนอยู่ที่เดิมด้วยความกระอักกระอ่วน นางก็ถือเป็นคนอื่นหรือ แต่ดูจากสีหน้าซีดเซียวจนน่ากลัวขององค์ชายสาม นางทำได้เพียงก้มหน้าถอยออกไปอย่างช้าๆ
เสี่ยวชวีเดินตามองค์ชายสาม เอ่ยถามเสียงเบา “องค์ชายเป็นอย่างไรบ้าง ราบรื่นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสามหันไปมองเขา เอ่ย “เขารู้”
เสี่ยวชวีผงะ อันใด ผู้ใด รู้เรื่องใด
“ถึงแม้ข้าจะเดาได้แต่แรกแล้ว ฝ่าบาทรู้ทุกสิ่ง รู้ตั้งแต่แรก แต่ข้ายังมีความหวังอยู่เศษเสี้ยวหนึ่ง” องค์ชายสามพูด
แต่คำพูดของฮ่องเต้ก่อนหน้านี้ ทำให้องค์ชายห้าวิญญาณสลาย แต่ก็ทำให้เขาหัวใจแหลกสลาย
ฮ่องเต้พูดว่าพวกเจ้าคิดว่าข้าตาบอดหูหนวกมองสิ่งใดไม่เห็นหรือ พวกเจ้าคิดว่าข้าสืบไม่ได้จริงหรือ
“เขามองเห็น เขาสืบได้ เขารู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ร้าย แต่เขาไม่มองไม่สืบไม่ถาม ปล่อยให้ข้าต้องถูกยาพิษทำลายมาหลายปี”
เพื่อองค์รัชทายาทของเขา
องค์รัชทายาทเป็นบุตรของเขา คนอื่นคืออันใด คือมดปลวก คือคนไร้ประโยชน์ คือคนที่จะมีหรือไม่มีก็ได้
เสี่ยวชวีฟังเข้าใจในที่สุด เขามองดูท่าทางขององค์ชายสาม ทั้งเป็นห่วงทั้งสงสาร “องค์ชาย พวกเราคาดเดาไว้อยู่แล้วมิใช่หรือ พวกเราไม่โกรธ ไม่เสียใจ พวกเราแค่ต้องการแก้แค้น”
องค์ชายสามสูดลมหายใจ มองไปรอบพระตำหนัก รู้สึกว่าไม่อาจทนอยู่ได้แม้แต่ครู่เดียว เขาสลัดมือของเสี่ยวชวีเดินออกไปด้านนอก
“องค์ชาย ท่านจะเสด็จไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวชวีถามอย่างตระหนก
องค์ชายสามเอ่ย “ข้าจะไปภูเขาดอกท้อ คุณหนูตันจูยังกังวลเรื่องข้า ข้าต้องไปพบนาง”
เสี่ยวชวีเดินตามไปด้วยสีหน้าซับซ้อน ต้องการเกลี้ยกล่อมแต่ก็ไม่อาจทำได้ แต่องค์ชายสามที่เพิ่งก้าวเท้าออกไปก็ชะงักลง
เกิดอันใดขึ้น
เสี่ยวชวีรีบเดินตามออกไป ก่อนจะเห็นโจวเสวียนเดินเข้ามา เขายังคงสวมชุดที่ขาดวิ่นนั้น เมื่อเห็นองค์ชายสาม เขาคุกเข่าลงอย่างช้าๆ
“องค์ชายสาม” เขาพูด “ครานี้เป็นความผิดของข้า”
ถึงแม้ทุกสิ่งเป็นแผนการขององค์ชายห้า แต่เพราะโจวเสวียนพาองค์ชายห้าไปด้วยจึงก่อให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น
ฮ่องเต้ไม่ได้ลงโทษโจวเสวียน โจวเสวียนในฐานะขุนนาง เขาจึงเดินทางมาขอโทษองค์ชายสามด้วยตนเอง
เหล่าขันทีที่หลบออกไปไกลยังบริเวณนอกพระตำหนักต่างมองมาทางนี้ จากนั้นเห็นองค์ชายสามพยักหน้า
“เข้ามาเถิด” เขาพูด “ข้ามีเรื่องต้องการถามเจ้า”