เมื่อถึงวันขึ้นห้าค่ำเดือนห้า ในที่สุดสืออีเหนียงก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดสกุลเจียงถึงได้ยินข่าวลือ
ไท่ฮูหยินเชิญหวงฮูหยินขอหย่งชังโหว ถังฮูหยินของจงซานโหว กานฮูหยินของจงฉินปั๋ว และหลินฮูหยินของเวยเป่ยโหว…แล้วยังเชิญฮูหยินภรรยาตัวแทนของเจิ้นหนานโหว เจิ้นหนานโหวฮูหยินคนก่อนป่วยเสียชีวิตไปแล้ว เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของจวนตอนนี้มีฮูหยินภรรยาตัวแทนที่นอนป่วยติดเตียงมาหลายปีเป็นคนดูแล แต่กลับไม่ได้เชิญเหลียงเก๋อเหล่าฮูหยินและเฉินเก๋อเหล่าฮูหยิน
ก็หมายความว่า ฮูหยินของสกุลโหวในเยี่ยนจิงมากันหมดแล้ว แต่ฮูหยินของสกุลขุนนางในราชสำนักกลับไม่ได้เชิญสักคน
ไท่ฮูหยินลูบหัวนางเบาๆ แล้วพูดว่า “วันนี้เป็นวันดีของเจ้า คนที่ชอบมาดูเรื่องสนุก เราไม่ต้องเชิญ เชิญแค่คนที่อยากมาแสดงความยินดีกับเจ้าจริงๆ ก็พอแล้ว”
ตอนนี้สืออีเหนียงสวมชุดสีเขียวนั่งอยู่บนเตียงหลัวฮั่นในห้องปีกทิศตะวันออกของห้องโถงเล็กที่อยู่ข้างหลังห้องโถงใหญ่ของจวนหย่งผิงโหว นางตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่เช้าแล้ว เปลี่ยนเป็นสวมกระโปรงสีเขียว มีป้าตู้นั่งอยู่เป็นเพื่อน รอถึงยามเฉินพิธีขึ้นปิ่นปักผมก็จะเริ่มขึ้น
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “เจิ้งไท่จวินมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้านั่งพักก่อน ประเดี๋ยวพิธีก็จะเริ่มแล้ว” ไท่ฮูหยินพูดกับนางสองสามประโยค จากนั้นก็ลุกไปต้อนรับแขก
สืออีเหนียงหยิบนาฬิกาออกมาดู
อีกสิบห้านาทีจะถึงยามเฉิน
หู่พั่วช่วยสืออีเหนียงจัดระเบียบเสื้อผ้า จากนั้นก็พูดพึมพำเบาๆ “ไม่รู้ว่าไท่ฮูหยินเชิญใครมาเป็นเจ้าภาพ วันนั้นยังถามถึงอาการป่วยของคุณหนูสี่อยู่เลยเจ้าค่ะ”
พิธีขึ้นปิ่นปักผมต้องมีผู้หญิงที่มีความสามารถและมีศีลธรรมคนหนึ่งมาเป็นแขกหลัก ถึงตอนนั้นจะต้องปักปิ่นปักผมให้ผู้รับปิ่น ต้องมีผู้ช่วย ถือถาดให้ผู้รับปิ่น ต้องมีเจ้าภาพ คอยช่วยเหลือแขกหลักทำพิธี คนนี้ต้องเป็นมิตรสหายหรือพี่น้องของคนรับปิ่น แต่ไท่ฮูหยินเชิญแต่คนสกุลท่านโหวมาร่วมพิธี เช่นนั้นฐานะของเจ้าภาพก็ต้องยิ่งสูงส่งยิ่งดี ถึงแม้ว่านางจะรู้จักคนมากมายในเยี่ยนจิง แต่คนที่เป็นมิตรสหายนั้น…ไม่มีจริงๆ สำหรับพี่น้อง อู่เหนียงแต่งงานกับจู่เหริน คนที่หมั้นกับสือเอ้อร์เหนียงคือสกุลญาติของเจิ้นหนานโหว มีแค่ซื่อเหนียง สามีของนางคือทั่นฮวาหลัง แล้วยังเป็นขุนนางที่ใกล้ชิดกับฮ่องเต้ แต่นางไม่ค่อยสบาย ดูเหมือนว่าจะไม่มีคนที่เหมาะสมแล้ว
สืออีเหนียงคิดไม่ออกว่าไท่ฮูหยินจะเชิญใครมาเป็นเจ้าภาพให้ตัวเอง
พวกนางสองคนกำลังพูดคุยกัน ข้างนอกก็เกิดความโกลาหล มีเสียงหัวเราะที่คึกคัก ถึงแม้ว่าห้องนี้จะเรียกว่าห้องโถงเล็ก แต่ความจริงมีตั้งห้าห้อง พวกนางนั่งอยู่ทางทิศตะวันออก นั่งอยู่ไกล จึงได้ยินไม่ค่อยชัดเจน
“ไม่รู้ว่าใครมาเจ้าค่ะ” หู่พั่วพูดเบาๆ “คึกคักขนาดนี้”
ไท่ฮูหยินเป็นคนจัดการทุกอย่าง สืออีเหนียงไม่รู้อะไรเลย
“น่าจะเป็นฮูหยินสกุลไหนสักสกุลหนึ่ง!” นางยิ้ม “เมื่อครู่ตอนที่เจิ้นหนานโหวฮูหยินมาถึงก็คึกคักเช่นนี้”
หู่พั่วพยักหน้า
เมื่อได้ยินเสียงข้างนอก นางมักจะเหลือบมองไปทางนั้น
“ฟังน้ำเสียงของคุณนายสามสกุลหวงแล้ว สองปีมานี้เจิ้นหนานโหวฮูหยินแทบจะไม่ออกจวน ทุกคนเห็นนางก็ไม่แปลกที่จะตกใจเจ้าค่ะ”
ขณะที่หู่พั่วกำลังพูด เสียงเครื่องดนตรีจากทางทิศตะวันตกก็ดังขึ้นมา
ป้าตู้เดินเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข “ฮูหยินเจ้าคะ พิธีจะเริ่มขึ้นแล้วเจ้าค่ะ” นางพูด “ประเดี๋ยวไท่ฮูหยินพูดจบแล้ว ท่านก็เดินออกไป หันหน้าไปทางทิศใต้ โค้งคำนับแขกที่มาร่วมพิธี จากนั้นก็หันหน้าไปทางทิศตะวันตกนั่งบนเสื่อหวายเจ้าค่ะ เมื่อเจ้าภาพหวีผมให้ท่าน แขกหลักล้างมือแล้ว ท่านก็หันมาทางทิศตะวันออก เมื่อแขกหลักปักปิ่นให้ท่านแล้ว เจ้าภาพจะเดินเข้าไปประคองท่าน ท่านค่อยลุกขึ้น ถึงตอนนั้นบรรดาแขกก็จะแสดงความยินดีให้ท่าน จากนั้นท่านค่อยกลับมาที่ห้องทางทิศตะวันออก เจ้าภาพจะเปลี่ยนเสื้อผ้าสีเรียบๆ ให้ท่านเจ้าค่ะ”
เมื่อคืนไท่ฮูหยินได้พานางมาซ้อมที่ห้องโถงเล็กแล้ว
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ป้าตู้ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจำได้แล้ว”
นางพูดพร้อมกับเดินเข้าไปที่ผ้าม่าน
ป้าตู้เดินเข้าไปช่วยนางจับกระโปรง
เสียงเครื่องดนตรีข้างนอกก็หยุดลง
ในห้องโถงเงียบสงัด จากนั้นก็ได้ยินเสียงที่สง่างามและเคร่งขรึมของไท่ฮูหยินดังขึ้นอย่างชัดเจน
“ในเมื่อแต่งเข้ามาในสกุลสวี ก็คือภรรยาของสกุลสวี วันนี้ข้าจะเป็นคนจัดพิธีขึ้นปิ่นปักผมให้สืออีเหนียง แล้วยังเป็นเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง รบกวนทุกท่านที่มาร่วมพิธีแล้ว ขอขอบคุณเป็นอย่างมาก” จากนั้นก็หยุดพูด ประกาศเริ่มพิธีขึ้นปิ่นปักผมอย่างเป็นทางการ
เสียงเครื่องดนตรีพลันดังขึ้นแล้วหยุดลงอีกครั้ง
ป้าตู้เปิดม่านออก สืออีเหนียงเดินเข้ามาด้วยท่าทีที่สง่างาม
จากนั้นนางก็ตกใจ
ในตำแหน่งเจ้าภาพทางทิศตะวันตก มีกานฮูหยินที่สง่างามยืนอยู่
เห็นท่าทีที่ตกใจของสืออีเหนียง กานฮูหยินก็ส่งยิ้มให้นางบางๆ
ไม่รู้ว่าทำไม สืออีเหนียงรู้สึกว่าตัวเองน้ำตาคลอ
นางกะพริบตาอย่างแรง จากนั้นก็หันไปทางทิศตะวันตกอย่างสง่างาม เดินเข้าไปนั่งบนเสื่อหวายสีขาวตรงกลางห้องโถง
กานฮูหยินเดินเข้ามาหวีผมให้นาง
สืออีเหนียงเห็นสือเอ้อร์เหนียงที่น้ำตาคลอ แล้วยังมีคุณนายใหญ่สกุลหลัวที่ยิ้มแย้มแจ่มใส…นางส่งยิ้มให้พวกนาง หัวใจของพลันรู้สึกสงบสุขเป็นอย่างมาก
กานฮูหยินหวีผมให้นางเสร็จแล้ว วางหวีไว้ทางทิศใต้ ก็มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามา
ทุกคนหันไปมองเขา
บ่าวรับใช้คนนั้นพูดด้วยความเคารพ “เหลยกงกงมาขอรับ!”
ทุกคนลุกยืนขึ้น ก็เห็นเหลยกงกงที่สวมชุดเครื่องแบบสีฟ้าเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
ถือถาดสีแดงอยู่ในมือ ใช้ผ้ากำมะหยี่สีแดงสดคลุมเอาไว้
“ฮองเฮาแสดงความยินดีให้กับหย่งผิงโหวฮูหยิน” เขาเหลือบมองฮูหยินที่อยู่ในห้องโถง หยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “มอบปิ่นปักผมหยกหยางจืออวี้ให้ท่าน”
ไท่ฮูหยินพาสืออีเหนียงไปขอบพระทัย
มีคนหัวเราะแล้วพูดว่า “ในเมื่อฮองเฮามอบปิ่นปักผมให้หย่งผิงโหวฮูหยิน ข้าคิดว่าพิธีขึ้นปิ่นปักผมวันนี้ก็ปักปิ่นชิ้นนี้เถิด”
สืออีเหนียงหันไปมอง ก็เห็นสตรีที่หน้าตาสวยงามคนหนึ่ง
ไม่ใช่องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงแล้วจะเป็นใคร!
เหลยกงกงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “องค์หญิงพูดถูกพ่ะย่ะค่ะ” เขาพูด “ตอนที่กระหม่อมออกมาฮองเฮาก็บอกว่าให้กระหม่อมอยู่ดูพิธีก่อนแล้วค่อยกลับไป จะได้กลับไปเล่าบรรยากาศพิธีขึ้นปิ่นปักผมของหย่งผิงโหวฮูหยินให้ฮองเฮาฟัง หากฮองเฮารู้ว่าได้ใช้ปิ่นปักผมชิ้นนี้ในพิธีขึ้นปิ่นปักผมของหย่งผิงโหวฮูหยิน ฮองเฮาคงจะดีใจไม่น้อย”
องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เชิญกงกงนั่งลงก่อนเถิด วันนี้ข้าเป็นแขกหลัก”
เห็นองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงและเหลยกงกงเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย สืออีเหนียงก็ก็รู้สึกประทับใจ
นางเดาว่าไท่ฮูหยินจะต้องเชิญองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงมาร่วมพิธี ถึงขั้นเชิญองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงมาเป็นแขกหลักในพิธีขึ้นปิ่นปักผมของตัวเอง แต่สิ่งที่นางคิดไม่ถึงก็คือ ฮองเฮาจะมอบปิ่นปักผมให้นางตอนนี้ ด้วยวิธีเช่นนี้ แล้วสิ่งที่นางยิ่งคิดไม่ถึงก็คือ องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงจะร่วมมือกับเหลยกงกงสร้างบรรยากาศเช่นนี้ให้นาง
สืออีเหนียงตาแดง จับมือไท่ฮูหยินแล้วเอ่ยเรียกเบาๆ ว่า “ท่านแม่”
ตัวเองเป็นใคร ฐานะอะไร
ภรรยาตัวแทนของหย่งผิงโหว บุตรอนุสกุลหลัว
หากไม่ใช่เพราะไท่ฮูหยิน ด้วยสถานะของฮองเฮาและองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิง พวกนางจะยกย่องตนขนาดนี้ได้เช่นไร
นางปากสั่นแล้วมองไปที่ไท่ฮูหยิน พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน
นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกถึงว่าตัวเองไม่มีแรงที่จะพูด
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วตบมือนางเบาๆ จากนั้นก็เดินไปจับมือองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิง “รบกวนองค์หญิงทำพิธีให้สืออีเหนียงของเราด้วยเถิดเพคะ”
องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงพยักหน้า จากนั้นก็เดินไปล้างมือกับไท่ฮูหยินทางทิศตะวันออก
สืออีเหนียงคุกเข่าบนเสื่อหวายอีกครั้ง คนในห้องโถงก็กลับไปนั่งที่ของตัวเอง
พิธีขึ้นปิ่นปักผมดำเนินไป
ในห้องโถงมีเพียงเสียงน้ำกระเซ็น
ผู้ช่วยถือถาดสีแดงที่มีผ้าหลัวพ่าและเสื้อผ้าเดินเข้ามา เหลยกงกงนำปิ่นปักผมหยกหยางจืออวี้ที่ฮองเฮามอบให้วางไว้ข้างบนสุด
องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงเดินไปข้างหน้าสืออีเหนียง พูดแสดงความยินดีเสียงดัง “ในวันที่ฤกษ์งามยามดีนี้ สวมเสื้อผ้าผู้ใหญ่ให้เจ้า จงทิ้งความเป็นเด็กของเจ้าไป สร้างความเป็นผู้ใหญ่ให้กับตัวเอง รักษาศักดิ์ศรี บำเพ็ญกุศล ขอให้เจ้าอายุมั่นยืนยาว ขอให้เจ้าโชคดีมีชัย” จากนั้นก็คุกเข่าลงหยิบหวีที่กานฮูหยินวางลงเมื่อครู่ หวีผมให้สืออีเหนียงตามธรรมเนียม
ผู้ช่วยคุกเข่าลง องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงนำปิ่นปักผมหยกหยางจืออวี้ที่ฮองเฮามอบให้ปักให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงถึงได้เห็นว่า คนที่เป็นผู้ช่วยในพิธีขึ้นปิ่นปักผมของนางคือฮูหยินห้า ตานหยางเซี่ยนจู่
นางมีสีหน้าเคร่งขรึม ท่าทีเรียบร้อย มีความงามสง่าที่หนักแน่น
สืออีเหนียงไม่มีเวลามาครุ่นคิด กานฮูหยินก็เดินเข้ามาปักปิ่นให้นางแล้ว
นางค่อยๆ ลุกขึ้น รับคำแสดงความยินดีจากโจวฮูหยิน คุณนายใหญ่สกุลหลิน คุณนายใหญ่สกุลหลัวและคนอื่นๆ จากนั้นก็กลับไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันออกกับกานฮูหยิน
“เหนื่อยหรือไม่” กานฮูหยินช่วยสืออีเหนียงเปลี่ยนเสื้อผ้า
สืออีเหนียงส่ายหน้า
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ!” นางเอ่ยขอบคุณกานฮูหยินเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่จริงใจและซาบซึ้ง “ข้าคิดไม่ถึงเลย…”
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ใช่พี่น้องของเจ้า” กานฮูหยินยิ้ม “แต่เราก็ถือว่าเป็นสหายกันใช่หรือไม่!”
สืออีเหนียงพยักหน้าซ้ำๆ
กานฮูหยินไม่พูดอะไรอีก ก้มหน้าลงช่วยนางจัดเสื้อผ้า
สืออีเหนียงเอ่ยขอบคุณฮูหยินห้าที่ยืนถือถาดอยู่ข้างๆ
ฮูหยินห้าเลิกคิ้ว นางเหลือบมองกานฮูหยิน ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่บอกให้ข้าเป็นผู้ช่วย”
ถึงแม้ว่าจะเห็นแก่หน้าไท่ฮูหยิน แต่สืออีเหนียงก็รู้สึกขอบคุณอยู่ดี
สามารถรักษาความสง่างามต่อหน้าทุกคนได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย
ยิ้มแล้วพยักหน้าให้นางเบาๆ จากนั้นก็ไปคำนับไท่ฮูหยินที่ห้องโถงใหญ่กับกานฮูหยิน
นี่คือการคำนับครั้งแรกหลักจากพิธีขึ้นปิ่นปักผม เป็นการแสดงความขอบคุณต่อบิดามารดา
คุณนายใหญ่สกุลหลัวนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือตัวแรกทางซ้ายมือ ไท่ฮูหยินนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือตัวที่สองทางด้านขวามือ
“ท่านแม่ของเจ้าไม่สบาย” ไท่ฮูหยินยิ้ม “พี่สะใภ้ใหญ่เปรียบเสมือนมารดา ให้พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าทำหน้าที่แทนนางเถิด!”
สืออีเหนียงตอบรับ “เจ้าค่ะ” คุกเข่าลงแล้วก้มหัวให้นาง จากนั้นก็ไปนั่งบนเสื่อหวายและหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ทำพิธีครั้งที่สองและครั้งที่สาม สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นสวมชุดสีฟ้าฐานสีแดงที่ปักด้วยด้ายสีทองออกมาคำนับทุกคน เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีขึ้นปิ่นปักผม
“แก่ขึ้นอีกปีแล้ว!” หวงฮูหยินมองไปที่นางแล้วหัวเราะ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณ
“ข้าต้องกลับไปรายงานที่พระราชวังแล้ว” เหลยกงกงลุกขึ้นขอตัวลา
องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ส่วนข้าขอรบกวนต่ออีกสักหน่อย”
“ยินดี ยินดีเพคะ” ไท่ฮูหยินยิ้ม ไปส่งเหลยกงกงที่ประตูใหญ่กับสืออีเหนียง จากนั้นก็เชิญบรรดาฮูหยินไปนั่งที่โถงบุปผาข้างโถงเตี่ยนชวนในลานข้างใน
ป้าตู้จัดงานเลี้ยงไว้เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังจัดเวทีเล็กๆ ไว้ในโถงบุปผา
“น่าสนใจ” องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงชี้ไปที่เวทีเล็กๆ แล้วยิ้มขึ้น เอ่ยถามฮูหยินห้า “เป็นความคิดของคนๆ นั้นหรือ”
ฮูหยินห้ายิ้มแล้วประคององค์หญิงใหญ่ฝูเฉิง “เรื่องอะไรก็ปิดบังท่านไม่ได้”
องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงพยักหน้า มองไปที่สืออีเหนียงแล้วก็มองมาที่ฮูหยินห้าอีกครั้ง จากนั้นก็หันไปพูดกับไท่ฮูหยิน “เจ้าช่างมีวาสนาเสียจริง”
เห็นว่าบรรดาลูกสะใภ้ของนางสามัคคีปรองดองกันใช่หรือไม่!
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพยักหน้า
สืออีเหนียงรู้สึกว่ามีสายตาจับจ้องมาที่ตัวเองตลอดเวลา
นางหันหน้าไปมอง ก็เห็นดวงตาที่คลุมเครือของเฉียวฮูหยิน