“ฮึ่ม”
อีอูยอนเงยหน้ามองเครื่องเล่นที่ปิดไฟแล้วด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“…ปิดแล้วสินะครับ”
อินซอบยืนอยู่ข้างๆ และพึมพำเสียงเบา ตอนนี้เป็นเวลาใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว แม้จะเป็นวันศุกร์ แต่ก็เป็นเวลาที่ควรจะปิดแล้ว
“ไม่เป็นไรครับ”
อินซอบดึงปลายแขนเสื้อของอีอูยอนและพูดเสริมว่า “ไว้ค่อยมาอีกคราวหน้าก็ได้ครับ”
“ไปรอในรอสักครู่นะครับ”
อีอูยอนพาอินซอบขึ้นไปนั่งที่ที่นั่งข้างคนขับตามเดิมและปิดประตูให้
“ล็อกประตูด้วย”
อินซอบรีบล็อกประตูตามที่อีอูยอนสั่ง จากนั้นอีอูยอนก็พูดต่อว่า “ต่อให้ใครจะขอให้เปิดประตูก็ห้ามเปิดนะครับ”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
อินซอบพยักหน้า แล้วอีอูยอนก็เดินหายไป อินซอบเอนตัวพิงเบาะที่นั่งข้างคนขับ
แม้จะบอกว่ามาอีกครั้งคราวหน้าก็ได้ แต่ก็ไม่ได้คาดหวัง ไม่สิ เขาคาดหวังมากเลยต่างหาก เพราะที่เกาหลีพววกเขาไม่มีโอกาสที่จะไปสวนสนุกกันแค่สองคนเลย
แม้ว่าจะสวมหมวกกับผ้าปิดปาก แต่คนก็จำอีอูยอนได้อย่างกับมีตาทิพย์ คำพูดที่เริ่มต้นว่า “ใช่คุณอีอูยอนหรือเปล่าคะ” มักจะจบลงด้วยการที่ถูกคนรายล้อม
…ก็แน่ละ
รูปร่างหน้าตาแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะปกปิดกันได้ ทุกคนเหลือบมองอีอูยอนที่สวมสูทดำและนั่งอยู่หลังโบสถ์ แค่ลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงที่ถามถึงตัวตนของ ‘หนุ่มฮอตที่หล่อจนไม่น่าเชื่อ’ ระหว่างที่รวมตัวกันกินข้าวหลังเสร็จพิธีศพก็มีถึงสามคนแล้ว
‘ผมน่าจะผ่านที่นี่บ่อยๆ ตอนฝึกฟุตบอลนะครับ จะได้ซ้อมรับลูกไปด้วย’
…คุณเคยผ่านมาหลายครั้งแล้วครับ
อินซอบพึมพำสิ่งที่ไม่กล้าพูดออกไปในใจและถอนหายใจ เขานึกถึงความทรงจำตอนที่เห็นอีอูยอนเดินผ่านไปตรงนอกหน้าต่าง อีกฝ่ายเป็นคนที่เขาไม่กล้าพูดคุย ไม่กล้าสบตา และคิดว่าไม่มีทางมาเกี่ยวข้องกันได้เด็ดขาด…
“คุณอินซอบ”
ชื่อที่ถูกเอ่ยเรียกอย่างกะทันหันทำให้อินซอบกลั้นหายใจดังเฮือก อีอูยอนใช้หลังมือเคาะหน้าต่างรถเบาๆ และทำมือสั่งให้ออกมา อินซอบรีบเปิดประตูรถและออกไป
“ไปกันไหมครับ”
“ไปไหนเหรอครับ”
“ไปขึ้นไอ้นั่นไง”
พออีอูยอนพยักพเยิดคาง ไฟของชิงช้าสวรรค์ที่ปิดอยู่จนถึงเมื่อกี้ก็เปิดขึ้นพร้อมกับเสียงดัง พึ่บ ราวกับโกหก และม้าหมุนก็เริ่มหมุน ดวงตากลมโตของอินซอบเต็มไปด้วยความตกใจ
“ได้ยังไง…”
“ไม่มีเวลาแล้วครับ เพราะเขาบอกว่าจะเปิดให้แค่สามสิบนาทีเท่านั้น”
อีอูยอนจับข้อมือของอินซอบ และทั้งคู่ก็เข้าไปในสวนสนุกที่เปิดไฟขึ้นอีกครั้ง
***
“…ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะครับ”
พอเห็นอีอูยอนที่นั่งอยู่ตรงข้ามมองตัวเองด้วยสีหน้าไม่พอใจ อินซอบก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ผมกำลังคิดอยู่ครับ”
“คิดอะไรเหรอครับ”
“ว่าทำไมผมถึงต้องมาเล่นเครื่องเล่นเครื่องนี้ ทั้งๆ ที่มีเครื่องเล่นให้เล่นตั้งเยอะ”
“ถ้าคุณอยากเล่นอย่างอื่นผมจะไปขอลงแล้ว…”
อีอูยอนจับอินซอบที่กำลังจะลุกขึ้นให้นั่งลงไปตามเดิม
“คุณคิดว่าผมอยากเล่นอย่างอื่นเหรอครับ”
“…ขอโทษครับ”
สวนสนุกกับอีอูยอนไม่ใช่ส่วนผสมที่เข้ากันตั้งแต่แรกแล้ว อีอูยอนซึ่งรู้ความหมายของคำขอโทษนั้นหัวเราะ “ฮ่าๆ” เบาๆ
“ชอบไหมครับ”
การได้เล่นในสวนสนุกที่ไม่มีใครเป็นเรื่องเหมือนกับในภาพยนตร์ที่ไม่ว่าใครก็ต้องเคยฝันถึงสักครั้งตอนเด็กๆ หลังจากที่อีอูยอนสั่งให้เลือกสิ่งที่ต้องการหน้าเครื่องเล่นที่เปิดไฟและเริ่มหมุนอีกครั้ง อินซอบก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเลือกชิงช้าสวรรค์
“ครับ ชอบครับ”
อินซอบพยักหน้าอย่างเปิดเผย
แน่อยู่แล้ว นี่เป็นชิงช้าสวรรค์ราคาแพงเชียวนะ
อีอูยอนก้มมองข้อมือของตัวเองท่ามกลางแสงสลัว
เขาถามผู้ดูแลที่กำลังเคลียร์ถังขยะอยู่ว่าจะสามารถเปิดเครื่องเล่นอีกครั้งได้ไหม พร้อมกับแสดงความตั้งใจว่าจะจ่ายเงินให้สมราคาอย่างแน่นอน ผู้ดูแลที่มีแววตาเหนื่อยล้าไล่มองอีอูยอนตั้งแต่หัวจรดเท้าและขอเป็นเงินสด แต่เนื่องจากตอนที่ออกมาจากโรงแรมเขาพกมาแค่กุญแจรถยนต์กับบัตร เขาจึงขอให้บอกเลขบัญชี
ผู้ดูแลบอกว่าใช้ได้แค่เงินสดเท่านั้น และส่ายหน้าอย่างดื้อรั้น ดูเหมือนเขาจะไม่อยากทิ้งหลักฐานไว้ในเรื่องที่อาจจะเป็นปัญหาในอนาคต
แม่งเอ๊ย น่ารำคาญจริงๆ
ตอนที่อีอูยอนพึมพำด้วยเสียงที่เจือความหงุดหงิดและเสยผมขึ้นไป ผู้ดูแลก็ทำตาเป็นประกาย อีอูยอนมองจุดที่สายตาของอีกฝ่ายหยุดมอง และถอดนาฬิกาข้อมือของตัวเองยื่นให้อย่างไม่ลังเล ผู้ดูแลที่ได้รับนาฬิกาที่มีราคาเกือบจะเท่ารถยนต์หรูหนึ่งคันบอกว่าจะเปิดไฟเพื่อตรวจสอบเครื่องเล่นเป็นเวลาสามสิบนาที
“ชอบอะไรขนาดนั้นเหรอ”
อีอูยอนมองคนรักของตัวเองที่มองออกไปนอกหน้าต่างชิงช้าสวรรค์ด้วยดวงตาเป็นประกายพลางเอ่ยถาม
“ก็แค่ชอบน่ะครับ เวลาพูดถึงเทศกาลก็จะนึกถึงชิงช้าสวรรค์เป็นอย่างแรก และเราก็สามารถมองเห็นทุกอย่างเมื่อขึ้นมาอยู่บนที่สูงด้วย และ…”
“และ”
เขาจะพูดเหตุผลที่ไร้สาระอะไรอีกใช่ไหม อีอูยอนทำตายิ้มและเร่งให้พูดต่อ
“…ผมคิดถึงเมื่อก่อนน่ะครับ”
“ว้า ทำเกินไปแล้วนะ”
อีอูยอนยกยิ้มมุมปากพลางตำหนิอินซอบ
“การพูดถึงผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าคนรักไม่เกินไปหน่อยเหรอ”
“ผมไม่ได้พูดเรื่องเจนนี่ครับ ผมกำลังพูดถึงเรื่องคุณอีอูยอนต่างหาก”
อินซอบทำตาโตและโต้แย้ง
บัดซบเอ๊ย มีอะไรกันตรงนี้เลยได้ไหม
อีอูยอนเคาะเท้ากับพื้นชิงช้าสวรรค์และลองคาดเดาว่ามันจะสามารถรับน้ำหนักได้ถึงขนาดไหน
“เรื่องของผมเหรอ เรื่องอะไรล่ะ”
“เรื่องตอนนั้นไงครับ เรื่องหินนำโชคน่ะ”
อีอูยอนหรี่ตาและพยักหน้าพร้อมกับร้องอ๋อ เรื่องเมื่อสองสามปีก่อนผ่านเข้ามาในหัว
“ตอนนั้นเกือบจะเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ นะครับ เพราะผมเกือบทำหินนำโชคที่มีค่าหายไปแล้ว”
อีอูยอนโกหกหน้าตาย
“ผมรู้ครับว่าคุณจงใจทำแบบนั้น”
“จงใจเรื่องอะไร”
“ผมได้ยินมาว่าคุณจะจงใจทำแบบนั้นเวลาจะไล่ผู้จัดการส่วนตัวที่ไม่ถูกใจออกครับ”
“ผมไม่ถูกใจคุณอินซอบงั้นเหรอครับ ไม่มีทาง”
อีอูยอนเท้าคางและเอ่ยถามด้วยสีหน้าเหมือนกับได้ยินเรื่องแบบนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิต
“ตอนนั้น…คุณเป็นแบบนั้นนี่ครับ”
อินซอบท้วงอย่างระวัง อีอูยอนหัวเราะพลางยื่นแขนทั้งสองข้างออกมาและเอนตัวพิงชิงช้าสวรรค์ เขาไม่ได้โต้แย้ง เพราะเป็นความจริงที่ว่าในอดีตตัวเขาทำตัวแย่กับอินซอบ
“ผมขอถามอะไรสักอย่างหน่อยได้ไหมครับ”
“ถามสิบอย่างก็ได้ครับ”
อีอูยอนตอบกลับอย่างขี้เล่น
“…ทำไมตอนนั้นถึงช่วยผมล่ะครับ”
ดวงตากลมโตของอินซอบมองไปทางอีอูยอน ดวงตานั้นทั้งสวยและดูใจดี รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของอีอูยอน
“คุณจงใจซ่อน แต่ทำไมถึงช่วยล่ะครับ”
“นั่นสินะครับ ทำไมผมถึงทำแบบนั้นนะ”
อีอูยอนพึมพำคนเดียว
ฤดูหนาวที่หนาวเย็น ในตอนที่เห็นผู้จัดการส่วนตัวผู้ซึ่งเหมือนคนโง่ที่เป็นบ้าอะไรไม่รู้ถึงได้บอกว่าจะหาหินให้เจอแม้ว่าจะหน้าซีดและตัวสั่นเทาอยู่ในน้ำที่สกปรก เขาก็เดินย่ำน้ำเข้าไปโดยไม่รู้ตัว
อีอูยอนมองอินซอบที่กำลังรอคำตอบนิ่งๆ หลอดไฟหลากสีสันที่ประดับชิงช้าสวรรค์กะพริบและขึ้นสีบนแก้มของอินซอบ
“…เพราะสวย”
“ครับ?”
“เพราะคุณสวย ผมก็เลยช่วย”
แก้มกลมๆ ของอินซอบแดงในทันที
“…อย่าล้อเล่นสิครับ”
อินซอบหลุบตามองต่ำและจงใจพึมพำเสียงต่ำ
“ผมไม่ได้ล้อเล่นนะครับ มันคือความจริง ตอนนั้นผมก็บอกไปแล้วนี่ครับ ว่ามันทำให้ผมหงุดหงิด ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงจะจัดการได้ แต่ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้”
ต่อให้มาถามเอาตอนนี้ว่าตั้งแต่เมื่อไร และทำไมเขาถึงทำแบบนั้น เขาก็ไม่สามารถตอบอะไรได้ ชเวอินซอบทำให้เขาหงุดหงิด และสงสัยในการกระทำต่างๆ ที่ไม่สามารถเข้าใจได้ของอีกฝ่าย เขาทำเรื่องที่ไม่สมกับเป็นตัวเอง สุดท้ายเขาก็โดนจูงจมูกและถูกคนสวยคนนี้จับตัวไว้เป็นตัวประกันทั้งชีวิต
ต่อให้โดนจับ แต่เพราะโดนคนแบบนี้จับเขาถึงไม่สามารถตั้งสติได้
“ผมไม่เก่งเรื่องการคบหาดูใจกับใครเอามากๆ เลยครับ”
อีอูยอนหลุบตามองต่ำและพูดปนขำ
“ครับ? มะ หมายความว่า…อะไร…”
อินซอบมึนงงและพูดตะกุกตะกัก เขาไม่สามารถปรับตัวกับวิธีการพูดของอีอูยอนที่ข้ามไปข้ามมาได้ง่ายๆ เขาไม่เข้าใจอยู่บ่อยๆ ว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอะไร อินซอบมักจะถามซ้ำว่า “มันหมายความว่าอะไรครับ” เพราะเคยเกิดปัญหาเมื่อเขาปล่อยคำพูดของอีกฝ่ายผ่านไปส่งๆ อยู่บ่อยครั้ง
“เพราะผมเพิ่งคบหาดูใจกับใครเป็นครั้งแรก”
“…”
อินซอบไม่เชื่อหูตัวเอง แค่ข่าวเรื่องความรักร้อนแรงของ ‘นักแสดงอีอูยอน’ ที่เคยเห็นก่อนหน้านี้ก็มีเยอะเกินกว่าที่จะนับนิ้วได้ และผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ อีกฝ่ายเป็นเวลาสั้นๆ ที่อเมริกาก็มีอยู่หลายคน คนแบบนั้นบอกว่าเพิ่งคบหาดูใจใครเป็นครั้งแรกเหรอ
“เพราะเป็นครั้งแรก ผมเลยไม่รู้ว่าต้องทำยังไง และเพราะนิสัยที่ไม่ดีของผม ผมคงจะทำให้คุณอินซอบรู้สึกไม่ดีจากการทำผิดบ่อยๆ ด้วยครับ”
อินซอบกะพริบตา ตอนนั้นเองเขาถึงนึกคำพูดคล้ายๆ กันนี้ที่อีอูยอนเคยพูดกับตัวเองออก
พออีอูยอนโน้มตัวมาข้างหน้า ชิงช้าสวรรค์ก็ส่งเสียงดัง เอี๊ยด และขยับ อินซอบเงยหน้ามองผู้ชายที่บดบังการมองเห็นของตนเงียบๆ
“เพราะฉะนั้น…”
เขามองริมฝีปากของชายหนุ่มที่เข้ามาใกล้ตัวเอง หัวใจของเขาเต้นตึกตัก หลอดไฟที่กะพริบสะท้อนอยู่ในดวงตาดำขลับของอีอูยอน อินซอบกำชายเสื้อคลุมที่อีอูยอนถอดให้แน่นพลางก้มหน้า
“…อย่าเกลียดผมมากเลยนะ”
“ทำไมผม…”
ผมที่ไม่ถูกจัดทรงของอีอูยอนโผล่เข้ามาในสายตาของอินซอบ และวินาทีที่ได้รู้ความจริงว่าคำพูดของอีกฝ่ายที่บอกว่าเป็นทางผ่านระหว่างไปทำธุระคือคำโกหก ความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ก็ตีตื้นขึ้นมาถึงลำคอ
เขาชอบอีอูยอน แม้จะรู้ความจริงว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนดี แต่หัวใจก็ยังเจ็บแปลบกับความอ่อนโยนที่เล็กน้อยและธรรมดาที่เขาแสดงกับตนเอง
อีอูยอนกำลังมองเขาราวกับรอคำตอบ และมีแววตาที่ทำตัวไม่ถูกเหมือนเด็กหนุ่มผู้ไม่ประสาที่เพิ่งจะมีรักครั้งแรกอย่างที่พูด
น่ารัก เพราะผู้ชายที่เลื่อนตารางงานทั้งหมดออกไปและติดตามตนมาที่อเมริกา ผู้ชายที่รับฟังคำพูดที่ได้แต่เก็บไว้ในกระเป๋า ไม่สามารถบอกคุณยายได้ ผู้ชายที่ขับรถมาหาในคืนนี้ในสภาพที่ไม่ได้จัดแต่งทรงผมเพื่อมาเจอตนน่ารักมาก…
“ผมเกลียดคุณไม่ได้หรอกครับ”
อินซอบจูบเบาๆ ราวกับดูดริมฝีปากล่างของอีอูยอน
“…คุณก็รู้นี่ครับ”
อินซอบกระซิบเบาๆ ในระหว่างที่ถอนริมฝีปากที่ประกบกันอย่างนุ่มนวลออกมา
ต่อให้พยายามทุกวิถีทาง แต่สุดท้ายช่วงเวลาที่รู้สึกหลงใหลก็มาหาอยู่ดี
เหมือนกับตอนที่ได้รู้ว่าสุดท้ายแล้วตัวเขาก็ไม่สามารถเกลียดผู้ชายคนนี้ได้ในขณะที่อยู่ในสภาพเปียกปอนภายในชิงช้าสวรรค์ที่หมุนเป็นวงกลม
มือคู่ใหญ่ของอีอูยอนกุมแก้มทั้งสองข้างของอินซอบไว้ เขาที่หายใจออกมาอย่างแผ่วเบาอ้าปากออกจนสุดและกลืนกินริมฝีปากของอินซอบเข้าไป พออีอูยอนเอาเข่าแตะกับเก้าอี้ที่อินซอบนั่งและก้มตัวลงมา เสียงดัง กึก ก็ดังขึ้นพร้อมกับชิงช้าสวรรค์ที่เลื่อนต่ำลง
ตอนนั้นเองพลุที่สว่างไสวก็พุ่งขึ้นมาบนพื้นที่ว่างเปล่าของท้องฟ้า อินซอบเบิกตาด้วยความตกใจจากการเล่นดอกไม้ไฟที่เริ่มขึ้นอย่างกะทันหัน
“ดูเหมือนเขาจะค้นหาราคาของนาฬิกาดูแล้วสินะ”
“ครับ?”
“จูบกันเถอะครับ ไม่มีเวลาแล้ว”
อีอูยอนหลับตาลงและจูบปากอย่างดูดดื่ม และอินซอบก็โอบคอของอีอูยอนไว้