ค่ายทหารท่ามกลางความมืดส่องสว่างไปด้วยแสงไฟจากคบเพลิง สว่างดุจดั่งกลางวัน
“ท่านแม่ทัพไปที่ใดมาหรือ” หวังเจียนเดินเข้ามา เอ่ยถามอย่างขุ่นเคือง “ดึกเช่นนี้แล้ว…”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กลงจากม้า พลางพูด “ไม่ต้องพูดเรื่องนี้ มีเรื่องมากมายต้องทำ”
พูดพลางเดินผ่านเขาเข้ากระโจมไป
หวังเจียนพูดอย่างขุ่นเคือง “ท่านยังรู้ว่ามีเรื่องมากมายต้องทำหรือ เช่นนั้นท่านยังไปดมชากว่าครึ่งวันที่ภูเขาดอกท้อ!”
เขาเดินตามเข้าไป แม่ทัพหน้ากากเหล็กหันหลังกลับมาภายในกระโจม “เพราะว่าข้าต้องการความสงบ”
มองรูปร่างโก่งโค้งของแม่ทัพชรา ผมสีขาวหลังจากถอดหมวกออก หวังเจียนรู้สึกเศร้าใจอย่างประหลาด คำพูดเสียดสีไม่อาจพูดออกมาได้อีก
แผ่นดินนี้กว้างใหญ่ พระราชวังโอ่อ่า แต่มีเพียงบนภูเขาดอกท้อที่ให้ความสงบแก่หัวใจได้
หวังเจียนต้มชาด้วยตนเอง วางไว้ตรงหน้าแม่ทัพหน้ากากเหล็ก
“ท่านลองดมชาของข้าดูบ้าง” เขาพูด
แม่ทัพหน้ากากเหล็กยิ้ม ก่อนจะหยิบขึ้นมาดม “ไม่เลว ไม่เลว”
ยากที่จะได้ยินคำชื่นชมจากเขา หวังเจียนคิดในใจ หากไม่ใช่ได้ยินเขาพูดว่าตนเองเสียใจ คงมองไม่ออกเสียจริง
ดูแล้วชาของคุณหนูตันจูมีประโยชน์อย่างมาก
“อันที่จริงเรื่องนี้ครุ่นคิดอย่างละเอียดก็ไม่แปลกใจ” เขาพูดเสียงเบา “นับแต่องค์ชายสามต้องพิษในเวลานั้นก็รู้ ครั้งหนึ่งไม่สำเร็จย่อมต้องมีครั้งที่สองครั้งที่สาม วันนี้เวลานี้ถือว่าถอนเนื้อร้ายนี้ได้ เป็นความโชคดีในความโชคร้าย”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กยกแก้วชาขึ้นมาดม ไม่พูด
“ไม่ต้องเสียใจ องค์ชายห้าถูกฮองเฮาเลี้ยงดูจนมีนิสัยเหิมเกริม อิจฉาริษยา จิตใจโหดเหี้ยม กระทำเรื่องทำร้ายพี่น้องออกมาได้…” หวังเจียนพูด
แม่ทัพหน้ากากเหล็กขัดเขา ส่ายหัว “บางทีอาจไม่ใช่แค่วางแผนลอบทำร้าย แต่เป็นการฆ่ากันระหว่างพี่น้อง”
หวังเจียนผงะ ระหว่าง?
ความหมายของการฆ่ากันระหว่างพี่น้องคง…
“ท่านหมายถึงกองทัพที่หนีจากไปรอบด้านตอนที่องค์ชายสามถูกลอบโจมตี?” เขาพูดเสียงเบา “ท่านสงสัยว่าเป็นคนขององค์ชายสาม?”
เนื่องจากมีการตักเตือนของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ต้องเฝ้าดูองค์ชายสามให้มั่น ดังนั้นถึงแม้หวังเจียนไม่อาจเข้าใกล้ตัวดูอาการขององค์ชายสามได้ แต่องค์ชายสามก็ขังเขาไว้ไม่ได้ เขาสามารถเคลื่อนย้ายกองกำลัง เมื่อองค์ชายสามออกจากแคว้นฉี เขาแอบติดตามอยู่ด้านหลังอย่างลับๆ
ดังนั้นจึงสามารถเดินทางไปถึงรวดเร็วที่สุดเมื่อมีการลอบโจมตีเกิดขึ้น เขาพบว่ามีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติอย่างมากบริเวณรอบด้าน ก่อนที่จะสืบไปถึงตัวขององค์ชายห้าได้ทันเวลา
ถึงแม้การเคลื่อนไหวทุกอย่างล้วนชี้ไปที่องค์ชายห้า แต่ยังมีรายละเอียดบางอย่างที่ทำให้คนสงสัย อาทิ ตอนที่ลอบโจมตีนั้น บริเวณใกล้เคียงมีร่องรอยของคนสองกลุ่มเป็นอย่างน้อย
แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่พูด หลุบตาครุ่นคิด
“องค์ชายสามไม่มีกองกำลังที่สามารถใช้ได้โดยไม่ทิ้งร่องรอย” หวังเจียนพูด “คืนนั้นข้าสืบแล้ว กองกำลังสองกลุ่มนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเงยหน้าขึ้น “หากเป็นกองกำลังที่หลบซ่อนของท่านอ๋องฉีเล่า?”
สีหน้าของหวังเจียนผงะ “คำพูดของท่านนี้มีสองความหมายหรือว่าความหมายเดียว”
กองกำลังที่หลบซ่อนของท่านอ๋องฉีไม่ใช่ความลับ พวกเขาตามหามาโดยตลอด ส่วนกองกำลังที่ปรากฏตัวในคืนนั้นถูกคาดเดาว่าเป็นกองกำลังของท่านอ๋องฉี แต่คาดเดาว่าคนเหล่านี้มาเพื่อลอบทำร้ายองค์ชายสามเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าพวกเขามาได้ทันเวลา ทำให้ไม่มีโอกาสลงมือจึงหนีกระจัดกระจายไป
แต่เวลานี้แม่ทัพหน้ากากเหล็กบอกว่ากองกำลังเหล่านี้อาจไม่ได้มาเพื่อลอบทำร้ายองค์ชายสาม หากแต่ถูกองค์ชายสามเรียกใช้ เรื่องนี้ทั้งคนทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องอาจซับซ้อนขึ้นมา
“เรื่องนี้ข้าแค่คาดเดา การสำรวจหลังจากเกิดเรื่อง ทำให้ข้ารู้สึกว่าเหมือนเป็นกลยุทธ์ในการเชิญท่านลงโอ่ง[1] มากกว่า” แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “อีกทั้งระยะนี้มีเรื่องมากมายที่ข้ารู้สึกว่าแปลกประหลาด”
อาทิ…
“วันนี้ฝ่าบาทตรัสว่า คราก่อนที่องค์ชายสามถูกวางยาพิษในงานเลี้ยงจวนโหว นอกจากขนมแปะก๊วยแล้ว ในน้ำชายังถูกวางยาพิษด้วย” แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด มองไปยังหวังเจียน “วางยาพิษมีความจำเป็นต้องซ้ำซ้อนกันหรือ”
หวังเจียนเงียบ
หรืออาทิ…
“คุณหนูตันจูบอกว่าพิษขององค์ชายสามยังไม่หายดี อีกทั้งเจ้าไปพิสูจน์ด้วยตนเองแล้ว สามารถมั่นใจได้ว่าองค์ชายสามรู้ว่าตนเองยังไม่หายดี”
“เขาทำเรื่องมากมายเช่นนี้เพื่ออันใด”
เพื่อความสำเร็จ เพื่อไม่ถูกลืม เพื่อไม่ถูกลอบทำร้าย หรือเพื่อแก้แค้น
หวังเจียนยิ้มขมขื่น “เด็กไม่อาจถูกละเลยได้ คนอ่อนแอก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน ข้าเป็นเพียงแค่ไต้ฟู ยังต้องคิดเรื่องมากมายเช่นนี้”
เขาเงยหน้าขึ้นมองแม่ทัพหน้ากากเหล็ก
“ดังนั้น ท่านเสียใจเพราะเรื่องนี้?”
เสียใจที่องค์ชายไม่ได้สวมหน้ากาก แต่กลับล้วนมองไม่ออก จนกระทั่งเกิดการฆ่ากันเอง?
แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่พูด
หวังเจียนถามโดยตรง “เรื่องนี้ท่านจะทูลฝ่าบาทหรือไม่”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “ฝ่าบาทเป็นบิดาที่เมตตาและใจอ่อน วันนี้องค์ชายสามย่อมต้องเสียใจและโศกเศร้าอย่างมาก”
หวังเจียนฉงน ไม่ได้ลงโทษองค์ชายห้าและฮองเฮาแล้วหรือ ถึงแม้จะไม่ได้ประกาศสาเหตุที่แท้จริงต่อคนทั้งแผ่นดิน เพราะว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเกียรติยศของราชวงศ์ แต่สำหรับองค์ชายห้าและฮองเฮาแล้ว ชีวิตของพวกเขาจบสิ้นลงแล้ว
“เจ้ารู้หรือไม่” แม่ทัพหน้ากากเหล็กมองไปทางหวังเจียน กดเสียงต่ำ แปลกประหลาดเล็กน้อย ราวกับเด็กซุกซนที่กำลังแบ่งปันความลับ “ตอนที่องค์ชายสามถูกวางยาพิษ อันที่จริงฝ่าบาทรู้ตัวคนร้ายเสมอมา แต่เขาไม่ได้ทำสิ่งใดทั้งสิ้น”
บิดาที่เมตตาและใจอ่อน ไม่สามารถทนเห็นฮองเฮาถูกลงโทษ ไม่สามารถทนเห็นเหล่าบุตรของฮองเฮาได้รับความเดือดร้อน มองดูบุตรชายที่ถูกทำร้าย สงสารรักใคร่บุตรชายคนอื่น…หวังเจียนโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย พูดเสียงเบากับแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่บอกความลับนี้กับเขา รู้สึกเจ็บปวดในใจ
“ท่านแม่ทัพ” เขาพึมพำเสียงเบา “ท่านอย่าเสียใจ”
…
ฤดูใบไม้ผลินี้ ราษฎรในเมืองจางจิงได้เห็นความคึกคักหลายต่อหลายเรื่อง ก่อนหน้านี้มีหญิงสาวเมืองฉีเฉือนเนื้อช่วยองค์ชายสาม ต่อมาเป็นองค์รัชทายาทมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีโศกนาฏกรรมหมู่บ้านซ่างเหอ ตามมาด้วยองค์ชายสามออกตัวแทนหญิงสาวเมืองฉี องค์ชายสามเสด็จไปยังเมืองฉีด้วยตนเอง จากนั้นปลดท่านอ๋องฉีกลายเป็นสามัญชน เมืองฉีกลายเป็นแคว้นฉี จากนั้นระหว่างทางกลับเมืองหลวงองค์ชายสามถูกลอบโจมตี สุดท้ายองค์ชายห้าถูกกักบริเวณ ฮองเฮาต้องเข้าตำหนักเย็น
เรื่องแต่ละเรื่องสนุกยิ่งนัก แต่ละเรื่องมีความเกี่ยวพันกันจนทำให้คนดูลายตา
โดยเฉพาะเรื่องสุดท้าย ถึงแม้ความผิดขององค์ชายห้าจะเป็นการติดตามโจวเสวียนโดยพลการ ทำให้เกิดความล่าช้าในการเดินทาง ส่งผลให้องค์ชายสามเกือบต้องเผชิญอันตราย ส่วนฮองเฮาทำกิริยาไม่เหมาะสมเพื่อปกป้ององค์ชายห้า แต่สำหรับราษฎรแล้ว พวกเขาไม่ได้โง่เขลาที่จะดูแค่ภายนอก…เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่องค์ชายสามถูกลอบโจมตีเป็นฝีมือขององค์ชายห้า
เรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาด ภายในเรือนของสามัญชนมีอาหารมากขึ้นหนึ่งคำ เหล่าบุตรหลานยังต้องแย่งชิง ยิ่งไปกว่านั้นฮ่องเต้ยังมีทรัพย์สินของครอบครัวมากมายเพียงนี้
เสียงถกเถียงก้องกังวานไปทั่วท่ามกลางสามัญชน เล่าต่อความลับในราชวงศ์ที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด มีความเห็นอย่างไรต่อองค์ชายสาม มีความเห็นอย่างไรต่อองค์ชายห้า มีความเห็นอย่างไรต่อองค์ชายท่านอื่น และองค์รัชทายาท…
เวลานี้องค์รัชทายาทมีความเห็นอย่างไร
องค์รัชทายาททำกิจวัตรเหมือนเคย เขาไม่ได้ไปคุกเข่าขอรับโทษต่อหน้าฮ่องเต้ อีกทั้งไม่ได้ป่วยจนลุกไม่ขึ้น ยิ่งไม่ได้เสด็จไปตำหนิฮองเฮาและองค์ชายห้า
ความผิดของฮองเฮาและองค์ชายห้าถูกประกาศต่อราษฎร องค์รัชทายาทไปคุกเข่าอยู่ด้านนอกตำหนักเย็นเป็นเวลาครึ่งวัน เขาก้มกราบก่อนจากไป จากนั้นส่งอาจารย์คนหนึ่งไปให้องค์ชายห้าที่ถูกกักบริเวณ จากนั้นเสด็จออกทองพระโรงทุกวันอย่างขยันขันแข็ง ภายในท้องพระโรงหากฮ่องเต้ทรงถามก็ตอบ หลังจากออกมาจากท้องพระโรงก็เสด็จไปทรงงานต่อ จากนั้นกลับไปอยู่กับพระชายาและโอรสที่ตำหนักองค์รัชทายาท
วันนี้หลังจากออกจากท้องพระโรง เห็นองค์ชายสามยังคงหารือบางเรื่องกับขุนนางส่วนหนึ่งอย่างต่อเนื่อง ส่วนองค์รัชทายาทถอยออกไปอย่างเงียบๆ กับขุนนางอีกกลุ่ม ฮ่องเต้ถอนหายใจเสียงเบา ให้ขันทีจิ้นจงไปรั้งองค์รัชทายาทเอาไว้
องค์รัชทายาทเดินตามขันทีจิ้นจงมายังห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้ สีหน้าขององค์รัชทายาทเศร้าโศกเล็กน้อย นับแต่เรื่องขององค์ชายห้าและฮองเฮาเกิดขึ้น ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเดินทางมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้
แต่ก่อนเขาสามารถเดินทางมาได้ทุกวัน
องค์รัชทายาทหลุบตาต่ำ
ฮ่องเต้มององค์รัชทายาทที่ก้มหน้าอยู่ วางชาในมือลง “นั่งเถิด”
องค์รัชทายาทกล่าวขอบพระทัย ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งด้านข้าง ไม่พูดจาใดๆ
ฮ่องเต้มองเขาที่ผอมลงภายในระยะไม่กี่วัน ริมฝีปากบางไร้สีเลือด อดขมวดคิ้วไม่ได้ “แม้จะมีเรื่องภายในใจ ข้าวยังคงต้องกิน เรื่องนี้ข้าสอนเจ้าตั้งแต่เด็ก เจ้าลืมแล้วหรือ”
องค์รัชทายาทลุกขึ้นทูล “กินพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกินข้าวตลอด เพียงแต่จิตใจไม่สงบ จึงมีผลกระทบ” เขายอมรับอย่างเปิดเผย ก่อนจะเงยหน้าพูดด้วยความจริงใจ “เสด็จพ่อวางใจ หมอหลวงบอกแล้ว เป็นไปตามธรรมชาติอย่างช้าๆ ร่างกายของกระหม่อมไม่เป็นอันใดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เงียบไปครู่หนึ่ง ตรัส “จิ่นหยง เจ้ารู้หรือไม่ เหตุใดข้าจึงให้ซิวหยงรับผิดชอบเรื่องการคัดเลือกขุนนางตามกลยุทธ์”
องค์รัชทายาททูล “เสด็จพ่อย่อมมีแผนการของตนเอง”
ฮ่องเต้มองเขา “ทำเพื่อเจ้า”
[1] เชิญท่านลงโอ่ง เป็นสุภาษิตจีนเปรียบกับสุภาษิตไทยคือ ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว