ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดคิ้ว ”ข้าเพิ่งค้นพบว่ายิ่งแก่ เจ้าก็ยิ่งพูดมากขึ้นเรื่อยๆ”
กิเลนอัคคี : …
แล้วคิดว่าข้าทำเพื่อใครกันล่ะขอรับ
ทุกอย่างก็เพื่อท่านทั้งนั้น ข้าไม่เคยมีความรักมาก่อนเลยด้วยซ้ำ!
เฮ้อ!
ความรัก!
มันช่างเป็นปีศาจตัวน้อยอันเป็นต้นตอแห่งความทุกข์เสียจริง!
“แต่เจ้าก็พูดถูกเรื่องหนึ่ง ครั้งนี้ข้าอ่อนโยนและเมตตานางเกินไป” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยผุดลุกขึ้นจากม้านั่ง พร้อมกับเอ่ยเช่นนั้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา ร่างสูงของเขาดูนุ่มนวลอ่อนโยนอย่างยากจะอธิบาย แต่ในดวงตาของเขามีความทรงอำนาจฉายชัด ”ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด การคว้ามันมาไว้ในมือก่อนย่อมเป็นความคิดที่ถูกต้อง”
“ถูกต้องขอรับ” กิเลนอัคคีก้มหน้าลงด้วยความเคารพ ร่างสีแดงดั่งเปลวไฟของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏให้เห็นเลือนรางอยู่ที่ด้านหลังของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย...
อาทิตย์ส่องแสงลงมาบนพื้นโลก
ณ ห้องใต้หลังคาของหอชั้นเลิศ องค์ชายเจ็ดนอนหลับอยู่บนเชือกเส้นหนาโดยที่มีซาลาเปาเนื้อชิ้นใหญ่อยู่ในอ้อมแขน เวลาที่เขารู้สึกเบื่อในความฝัน เขาก็จะได้ยกมันขึ้นมากัดสักคำสองคำ
เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งอยู่ข้างหน้าต่างพร้อมกับบิดขี้เกียจไปด้วย นางยกมือขึ้นเท้าคางขณะที่จมดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิดของตน
แม้ร่างกายของนางจะเหนื่อยล้า แต่สติของนางกลับแจ่มชัด ท้องน้อยของนางยังปวดอยู่ โดยเฉพาะหลังจากที่ออกมาจากน้ำ
“แม่นาง เวลานี้ร่างกายเจ้ากำลังอ่อนแอ ข้าแนะนำว่าเวลานี้เจ้าควรจะอยู่ข้างกายขององค์ชายสาม เจ้าลองคิดดูสิ อย่างน้อยเจ้าก็ยังเหลืออีกแค่ เอ่อ… สามครั้ง ใช่ เหลืออีกแค่สามครั้งเท่านั้น” หยวนหมิงพูดพร้อมกับยกริมฝีปากขึ้น
เสี่ยวไป๋แปลงร่างเป็นแมวสีขาวแล้วเดินทอดน่องอย่างเกียจคร้าน มันเอ่ยอย่างหยิ่งยโสว่า ”เจ้าหมายถึงอะไรหรือที่ว่าสามครั้ง”
รอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้าของหยวนหมิงเหยียดกว้างขึ้น ”แน่นอนว่าข้าก็ต้องกำลังพูดถึงการเสพสังวาสอยู่แล้วสิ”
“เสพสังวาสหรือ” เสี่ยวไป๋ตกตะลึงก่อนจะหันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยพร้อมกับขมวดคิ้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยสะบัดมือ ”ถึงเวลานั้นเมื่อไหร่แล้วข้าจะพยายามคิดหาทางอีกที”
“เหลืออีกสิบหกวันเท่านั้น” หยวนหมิงเตือนนางด้วยรอยยิ้ม
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบด้วยความสงบเยือกเย็นว่า ”สรุปว่าเราจำเป็นต้องแก้ปัญหาทั้งหมดนี้ภายในสิบหกวันสินะ” นางหยิบบัตรเชิญที่ตู๋ซูเฟิงให้ผู้ส่งสาส์นนำมาส่งให้ขึ้นมา บนบัตรเชิญใบนั้นมีข้อความเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าการสอบรอบที่สามจะจัดขึ้นในสำนัก จากนั้นศิษย์ใหม่ทุกคนก็จะมารวมตัวกันที่ลานกว้างของสำนัก และเรียนการทำพันธสัญญากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองตามลำดับ
หลังจากนั้น พวกเขาจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการทดสอบที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลา
ไม่มีใครรู้ว่าเนื้อหาของการสอบนั้นคืออะไร
เฮ่อเหลียนเวยเวยเก็บบัตรเชิญ แล้วมองท้องฟ้าที่อยู่นอกหน้าต่างอีกครั้ง ”ใกล้จะถึงเวลาแล้ว บรรดาศิษย์จากหอชั้นเลิศกำลังอยู่ระหว่างเดินทางไปยังลานกว้าง เสี่ยวไป๋ เจ้าไปปลุกองค์ชายเจ็ด พวกเราจะได้เก็บของแล้วตามคนอื่นๆ ไปที่ลาน”
“ได้” เสี่ยวไป๋ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา ตอนที่มันเดินผ่านเฮ่อเหลียนเวยเวย มันก็กล่าวเสริมว่า ”หน่วยพิฆาตวิญญาณคงไม่สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้รวดเร็วถึงเพียงนั้น ตอนที่เจ้าตามหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็ระวังตัวด้วยล่ะ หากมีเกิดอะไรขึ้น ก็กัดนิ้วแล้วอัญเชิญข้าออกมา”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลงแทนคำตอบ ดูเหมือนเสี่ยวไป๋เองก็สามารถสัมผัสได้เหมือนกันว่าสำนักไท่ไป๋อยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลง…
เสียงฟ้าร้องดังกัมปนาท!
มันสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วท้องฟ้า
ฝนเม็ดโตตกลงมากระทบกับพื้นหินสีเขียว
ผู้ชายคนหนึ่งยืนถือร่มอยู่ใต้แสงสลัวราวกับกำลังรอคอยใครบางคนอยู่
อวิ๋นปี้ลั่วที่กำลังเดินขึ้นมาด้วยความช่วยเหลือจากสาวใช้หยุดฝีเท้าลง นางสั่งกับสาวใช้ว่า ”เจ้าไปที่อื่นก่อนก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะคุณหนูอวิ๋น” สาวใช้คนนั้นเดินออกไป
อวิ๋นปี้ลั่วสาวเท้าออกเดิน เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีคนอยู่ ดังนั้น นางจึงคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น แล้วกล่าวทักทายอีกฝ่าย ”คุณชาย”
“ลุกขึ้น” ชายคนนั้นหมุนตัวกลับมา แขนเสื้อของชุดที่ตัดเย็บมาจากผ้าชั้นดีนั้นถูกพับขึ้นเล็กน้อย นิ้วยาวของเขากำรอบคันร่มระหว่างที่ใช้สายตาของตนมองสำรวจนาง ”ดูเหมือนว่าคำสาปจะใช้กับเจ้าได้ดีทีเดียว”
ร่างของอวิ๋นปี้ลั่วเกร็งขึ้นเล็กน้อย ”เจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่ได้ทำงานตามคำสั่งของข้าอย่างเคร่งครัดเช่นนั้นหรือ” ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นแล้วตวัดสายตามามองนาง มุมปากของเขามีกลิ่นอายชั่วร้ายที่ขัดกับภาพลักษณ์ของตนอยู่ ”เจ้าคิดว่าเพียงเพราะเจ้าสร้างสัมพันธไมตรีกับจวนอ๋องมู่หรงได้ แล้วจะไม่มีสิ่งใดให้เจ้าต้องกังวลหรือ ปี้ลั่ว เจ้ายังอ่อนหัดนัก”
ดวงตาของชายคนนั้นก็จับจ้องอยู่ที่นางขณะที่กล่าวเช่นนั้น
อวิ๋นปี้ลั่วบิดตัวด้วยความเจ็บปวด ในเวลาเดียวกันบนหน้าผากของนางก็ค่อยๆ มีเหงื่อซึมออกมา ”ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ แต่ช่วงนี้การจะส่งข่าวไปยังวังหลวงนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากยิ่งนัก อดีตฮ่องเต้ยังอยู่ที่นั่น ตาแก่นั่นไม่เคยชอบข้าเลยเจ้าค่ะ หากเขารู้ว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ละก็ เขาจะต้องหาทางกำจัดข้าอย่างแน่นอน”
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่รู้จริงๆ” ชายคนนั้นปรายตามองนางอย่างไม่แยแส
อวิ๋นปี้ลั่วพยายามข่มกลั้นความเจ็บปวดนั้น ”รู้เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“ตอนนี้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอยู่ที่สำนักไท่ไป๋” ชายคนนั้นเบนสายตาไปมองกลุ่มคนที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาซึ่งอยู่ไม่ไกล
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอวิ๋นปี้ลั่ว ”เขาอยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ ทำไมเฮยจูถึงไม่บอกข้าเรื่องนั้นล่ะ”
“แน่นอนว่าองครักษ์ธรรมดาๆ ของวังปีศาจเช่นนางย่อมไม่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว” ชายคนนั้นเงียบไป จากนั้นจึงมองหน้านางด้วยสายตาเย็นเฉียบ ”ยิ่งกว่านั้น เขาไม่เคยมีเมตตาต่อผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งเขา หากคืนนี้น้องสาวของเจ้ายังไม่กลับมา เช่นนั้นก็คงมีความเป็นไปได้ว่านางได้เผชิญกับบทสรุปอันเลวร้ายที่สุดเข้าเสียแล้ว” ระหว่างที่พูด ชายคนนั้นก็มองไปที่อวิ๋นปี้ลั่ว ”ไปหาเขาซะ เจ้ารู้ดีกว่าข้าว่าควรทำอย่างไร วันนี้ศิษย์ทุกคนจะมารวมตัวกันที่ลานกว้าง เจ้าจะต้องหาเขาเจออย่างแน่นอน”
ทันทีที่พูดจบ ชายคนนั้นก็กางร่มขึ้นอีกครั้ง เขายืนหลังตรงด้วยท่าทางอันภูมิฐาน รอยยิ้มของเขาปิดบังทุกความชั่วร้ายและอันตรายที่เคยมีไปจนหมดสิ้น แล้วจากนั้นเขาก็เดินหายไปท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก
อวิ๋นปี้ลั่วพยายามข่มกลั้นความตื่นเต้นและลิงโลดของตัวเองเอาไว้ในใจ
แม้กระทั่งนิ้วมือของนางก็ยังสั่นระริก
ในที่สุด นางกับเขาก็จะได้เจอกัน
องค์ชาย…
อวิ๋นปี้ลั่วเดินต่อ นางจะอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ให้เขาฟัง
จากนั้นองค์ชายจะต้องให้อภัยนางแน่
แต่แน่นอนว่าถ้าองค์ชายปฏิเสธที่จะให้อภัยนาง นั่นก็เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้เหมือนกัน
อย่างไรเสีย หากไม่ใช่เพราะนาง เหตุการณ์ไฟไหม้นั้นก็คงไม่เกิดขึ้น
มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะดูถูกนางเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น
ทุกฉากล้วนแต่อยู่ในความคาดหมายของอวิ๋นปี้ลั่ว
นางไม่เคยหวั่นแม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคใด
แต่ในเวลานั้น นางกลับรู้สึกหวาดกลัวองค์ชายอย่างมาก
เหมือนกับว่านางได้พบยมทูตที่มาจากนรก ดวงตาที่เรืองแสงวาบกับเลือดที่เปื้อนอยู่บนใบหน้านั้นทำให้เขาดูไม่เหมือนกับมนุษย์เอาเสียเลย
ปฏิกิริยาแรกของนางคือการวิ่งหนี
แต่ตอนนี้นางรู้สึกเสียใจในการตัดสินนั้นยิ่งนัก
เพราะตลอดหลายปีที่นางเป็นผู้ติดตามขององค์ชายมานั้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรืออาหารของนาง ทุกอย่างก็ล้วนดีกว่าของสาวใช้คนอื่น
แม้ว่าในเวลานั้นองค์ชายจะยังเด็กและไร้เดียงสา แต่เขาก็ไม่เคยทำให้นางต้องทนทุกข์
แต่นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้องค์ชายสังเกตเห็นความไม่เป็นมิตร และความเป็นศัตรูที่นางมีให้กับสาวใช้คนอื่นได้
เขาไม่ได้ทำอะไรนาง เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ลงโทษนางอยู่แล้ว
เพราะทุกคนรู้กันดีว่าองค์ชายสามมักเข้าข้างนางเสมอ
แต่องค์ชายกลับสั่งห้ามไม่ให้นางแตะต้องตัวเขา
ด้วยเหตุนี้อวิ๋นปี้ลั่วจึงรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
มันเหมือนกับว่านางไม่เคยได้ใกล้ชิดกับองค์ชายเลย แม้ว่านางจะใช้เวลาทั้งหมดของนางร่วมกับเขาก็ตาม
ดังนั้นนางจึงเริ่มรู้สึกไม่พอใจ
นางอายุมากกว่าเขา และยังมีความรู้มากกว่าเขา หลังจากรอคอยมานานหลายปี นางก็ต้องมารู้สึกคับแค้นใจเพราะต้องเห็นเขาแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น
ดังนั้นเมื่อคนของสี่ตระกูลใหญ่มาหานาง นางจึงตอบรับข้อเสนอของพวกเขาทันที
นางนึกไม่ถึงเลยว่าในยาพวกนั้นจะมีผงสลายพลังอยู่ นางไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายเขาเลยแม้แต่นิดเดียว นางเพียงแค่อยากได้เขามาเป็นของตัวเองมากจนเกินไปก็เท่านั้น…